คนจากกรมอาญาจากไปอย่างรวดเร็วพร้อมสวี่ชีอันที่ถูกติดป้ายว่าเป็นนักโทษ
ชายชราผมหงอกจึงถอนพลังยุทธ์ ไม่มองสวี่ผิงจื้อสักนิด เขาจับแขนของคุณชายโจวเอาไว้ “นายน้อย กระผมจะพานายน้อยกลับจวนไปทำแผลก่อน”
คุณชายโจวเดินตามเขาออกไปข้างนอกพลางพูดเสียงดัง “ข้าอยากให้เจ้าคนชั้นต่ำนั่นตาย”
“ได้ขอรับๆๆ กระผมจะจัดการให้ขอรับ” ชายชรายิ้มอย่างอ่อนโยนใจดี
“ไม่ ข้าจะไปเอง”
“ตามประสงค์ของนายน้อยขอรับ”
ทั้งคู่พาคนรับใช้ออกไปจากที่ว่าการอำเภอ เมื่อเงาร่างหายไป สวี่ผิงจื้อก็พลันหายใจหอบใหญ่คล้ายกับคนเกือบจมน้ำ ทั้งตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
“ข้าจะไปยื่นฎีกา!” สวี่ผิงจื้อกล่าวคำต่อคำ
“เจ้าไม่ได้พบพระองค์หรอก พระราชวังเป็นเขตหวงห้าม ใช่ที่ที่นายกองของกองดาบจะเข้าไปได้หรือ เจ้าไม่มีอำนาจไปทูลเกล้าฯ ถวายรายงานต่อฝ่าบาทด้วยซ้ำ” นายอำเภอจูถอนหายใจ “ช่างมันเถอะ”
“ไม่ได้ๆ…” สวี่ผิงจื้อเดี๋ยวก็ดุร้ายเดี๋ยวก็สิ้นหวัง
นายอำเภอจูครุ่นคิด “สิ่งเดียวที่เจ้าทำได้ในตอนนี้ก็คือไปหาฉือจิ้ว จวี่เหริน[1]ของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจมีวิธี”
ถึงแม้สำนักศึกษาอวิ๋นลู่จะถูกกดขี่จากแวดวงขุนนางจนแทบจะไม่มีช่องทางเอาตัวรอด แต่ผู้คนที่อยู่ในนั้นก็ไม่ใช่บัณฑิตไร้กำลังมัดไก่[2]หรอกนะ
พวกนั้นเป็นกลุ่มลูกศิษย์ของนักปราชญ์
พวกเขาไม่เพียงเชี่ยวชาญการโน้มน้าวคน แต่ยังเชี่ยวชาญการโน้มน้าวคนด้วยเหตุผลเสียยิ่งกว่า
ดังนั้นสวี่ซินเหนียนจึงสามารถหลุดพ้นโชคชะตาที่ต้องถูกเนรเทศในตอนนั้นได้ เพียงถูกถอดยศให้ตกมาอยู่ชนชั้นล่างเท่านั้นเอง
…
ณ หอดูดาว
หัวหน้ามือปราบหวังควบม้ามายังอาคารสูงที่สุดแห่งนี้ในเมืองจิงจ้าว รอบด้านไม่มีทหารยามเฝ้า แต่ตอนที่เข้ามาใกล้เขาก็พบว่าไม่มีร่องรอยของผู้คนอยู่ใกล้หอดูดาวเลย
สำนักโหราจารย์เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยตำนานอภินิหาร ท่านโหราจารย์สามารถสังเกตดวงดาวและทำนายวันเวลา เป็นเทพเซียนจุติที่สามารถสื่อสารกับเซียนบนสวรรค์ได้
ผลงานของนักเล่นแร่แปรธาตุในสำนักโหราจารย์แพร่หลายอย่างกว้างขวางและสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน เมื่อเทียบกับระบบอื่นๆ แล้ว นักเล่นแร่แปรธาตุของสำนักโหราจารย์เป็นภาพลักษณ์ของเทพเซียนที่ผู้คนยอมรับมากที่สุด
สถานที่ที่เทพเซียนอาศัยอยู่จึงไม่มีใครกล้าเข้าไป
หัวหน้ามือปราบหวังอยากจะรั้งบังเหียนม้ากลับอยู่หลายครั้ง แต่ก็อดกลั้นไว้
เขาแบกรับแรงกดดันมหาศาลในใจ หยุดลงที่หน้าหอดูดาว ผูกบังเหียนม้าไว้กับรั้วสลักบนบันไดหินด้วยมืออันสั่นเทา
เขากัดฟัน เดินขึ้นไปตามบันไดหิน
ที่ตั้งของหอดูดาวสูงหกเมตรเต็มๆ สูงยิ่งกว่าหลังคาบ้านเรือนคนทั่วไปเสียอีก
หัวหน้ามือปราบหวังพาจิตใจตุ้มๆ ต่อมๆ เข้ามาที่ชั้นแรกของหอดูดาว แสงสว่างข้างในยอดเยี่ยมมาก แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาตามรูแต่ละแถวบนกำแพงจนเห็นฝุ่นละอองลอยอยู่ในลำแสง
หัวหน้ามือปราบหวังมองเห็นตู้ยาเรียงเป็นแถว มองเห็นกลุ่มคนหนุ่มสาวสวมชุดสีขาวนั่งอยู่ด้วยกันและกำลังสนทนากันอย่างดุเดือดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง
มองเห็นคนถือม้วนตำราอ่านอย่างขะมักเขม้น มองเห็นคนนอนหลับอยู่บนโต๊ะ มองเห็นคนกำลังต้มยาสมุนไพร
มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าเหล่าเทพเซียนแต่ละคนในสำนักโหราจารย์ล้วนเป็นหมอเทวดา ช่วยชีวิตคนตายรักษาผู้บาดเจ็บก็ยังไม่คิดเงิน…ตอนนี้หัวหน้ามือปราบหวังเชื่อแล้ว
“เจ้าเป็นผู้ใด”
คนชุดขาวผู้หนึ่งสังเกตเห็นหัวหน้ามือปราบหวัง จึงเดินเข้ามาพิจารณาดูเขา
รอบๆ สำนักโหราจารย์ไม่มีทหารคอยป้องกัน แต่น้อยคนนักที่จะกล้าเข้ามาใกล้อย่างกำเริบเสิบสาน มีเพียงคนที่ป่วยหนักจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่รู้ว่าตนไม่มีทางรอดถึงจะมาเสี่ยงโชคที่นี่ดู
หัวหน้ามือปราบหวังค่อนข้างระมัดระวัง เขากลืนน้ำลาย พูดตะกุกตะกัก “ข้า ข้า…เป็นหัวหน้ามือปราบของที่ว่าการอำเภอฉางเล่อ”
‘แล้ว?’
คนชุดขาวมองดูเขา ไม่พูดไม่จา
ดวงตาของอีกฝ่ายมีประกายเฉียบคม คมจนเหมือนกับมองทะลุไปถึงภายในใจของผู้คนได้ หัวหน้ามือปราบหวังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันใหญ่ยิ่ง เกือบจะทอดทิ้งน้องชายสวี่ชีอันแล้วก้มหน้าจากไปอยู่รอมร่อ
“ข้า ข้ามาหาแม่นางไฉ่เวย…” หัวหน้ามือปราบหวังกล่าว
“ศิษย์พี่ไฉ่เวยหรือ” คนชุดขาวมองพิจารณาหัวหน้ามือปราบหวัง เห็นว่าสองมือของเขาว่างเปล่าก็ลอบกล่าวในใจ ‘เจ้ามาหาศิษย์พี่ไฉ่เวยแล้วไม่เอาของกินมาด้วยหรือ’
“มีเรื่องอันใด”
หัวหน้ามือปราบหวังหยิบหนังสือปกสีฟ้าเข้มออกมาจากอกเสื้อ “สหายท่านหนึ่งให้ข้านำหนังสือเล่มนี้มามอบให้กับแม่นางไฉ่เวย และฝากมาบอกนางว่า ‘สวี่ชีอันกำลังลำบากให้รีบมาช่วย’ ”
คนชุดขาวรับมา พลิกหน้ากระดาษมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ตัวอักษรบนนั้นยึกยือเหมือนไก่เขี่ย ไร้ความสง่างามเสียจริง
เขาหมดความสนใจ แล้วถือหนังสือไว้ในมือ “ศิษย์พี่ไฉ่เวยไม่อยู่ ออกไปข้างนอก เจ้าจะรออยู่ที่นี่หรือว่าค่อยมาอีกครั้งในภายหลัง หรือมอบหนังสือให้ข้า ข้าช่วยส่งมอบให้เจ้าได้”
“เช่นนั้นก็รบกวนใต้เท้าแล้วขอรับ” หัวหน้ามือปราบหวังวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก
“ศิษย์พี่ มีเรื่องอะไรหรือ”
ชายชุดขาวอีกด้านมองเงาหลังที่จากไปอย่างรีบร้อนของหัวหน้ามือปราบพร้อมเอ่ยถาม
“หัวหน้ามือปราบผู้หนึ่งเขาบอกว่ามาหาศิษย์พี่ไฉ่เวย น่าจะมีเรื่องด่วน…เจ้าเอาหนังสือเล่มนี้ส่งไปที่ชั้นเจ็ด มอบให้ศิษย์พี่ซ่ง ถามความเห็นเขา”
…
ซ่งชิงเป็นหัวหน้าของบรรดานักเล่นแร่แปรธาตุ เป็นศิษย์ลำดับสี่ของท่านโหราจารย์ ทุกคนในสำนักโหราจารย์แห่งนี้ล้วนสามารถกล่าวกับคนภายนอกว่าตนเป็นศิษย์ของท่านโหราจารย์ได้
แต่ความจริงแล้วศิษย์สายตรงที่ท่านโหราจารย์เคยสอนมีเพียงหกคนเท่านั้น เป็นหกศิษย์แห่งสำนักโหราจารย์
ศิษย์คนอื่นๆ ล้วนได้คนเหล่านี้เป็นผู้สั่งสอนแทนอาจารย์ อืม ฉู่ไฉ่เวยเป็นศิษย์ที่อายุน้อยที่สุด นางยังร่ำเรียนไม่สำเร็จ จึงไม่มีคุณสมบัติสั่งสอนเหล่าศิษย์น้องชั่วคราว
ซ่งชิงเพิ่งกลับมาถึงเมืองจิงจ้าวได้ไม่นาน เขาได้ยินเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับคดีเงินภาษีแล้ว เขาได้รับช่วงต่อให้ศึกษาการปลอมแปลงเงินภายใต้การคาดหวังอันกระตือรือร้นของเหล่าศิษย์น้อง
นักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวที่ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเหล่านี้มีความสุขเป็นล้นพ้น อีกนิดก็จะดีใจจนร้องไห้ออกมาแล้ว
“ล้มเหลวอีกแล้ว ศิษย์พี่ซ่ง แม้แต่ท่านก็ทำไม่ได้หรือ”
“เหลวไหล ศิษย์พี่ซ่งจะล้มเหลวได้อย่างไร เพียงแต่การสรรค์สร้าง ศึกษา และพัฒนาการเล่นแร่แปรธาตุจะต้องมีความล้มเหลวนับไม่ถ้วนจึงจะสรุปผลได้”
“ขอเพียงศิษย์พี่ซ่งเข้าใจความลึกลับนี้ได้ พวกเราสำนักโหราจารย์ก็จะมีทักษะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง”
ซ่งชิงผู้ทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลาสิบสองชั่วยามโบกมือ “ไม่ต้องพูดอะไรกันทั้งนั้น ข้าต้องการความเงียบ”
ไม่ได้นอนมาทั้งคืน แต่ดวงตาของซ่งชิงก็ยังสว่างไสวมีชีวิตชีวาเหมือนเดิมถึงขนาดมีความตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ในฐานะที่เป็นคนคลั่งการเล่นแร่แปรธาตุ เขาย่อมยอมรับการท้าทายทั้งหมดในขอบเขตของการแปรธาตุอยู่แล้ว
‘ปริมาณเกลือไม่ใช่ปัญหา…หลังจากผ่านการสรุปมาหลายรอบก็เดาได้ว่าน่าจะต้องควบคุมอุณหภูมิของเปลวไฟให้หลอมละลายเกลือ แต่ห้ามให้เดือด…จุดสำคัญอยู่ที่ไฟฟ้า…’ ซ่งชิงใคร่ครวญ
เขารู้ถึงจุดสำคัญของปัญหาแล้ว เพียงแต่ไม่มีแนวคิดเรื่องแรงดันไฟฟ้า ทำได้เพียงพยายามซ้ำๆ หลายครั้งเพื่อควบคุมความแรงของไฟฟ้าเท่านั้น
‘เกลือธรรมดาก็สามารถหลอมให้เป็นเงินปลอมได้ คนที่สร้างศาสตร์แปรธาตุเช่นนี้ขึ้นมาจะต้องเป็นอัจฉริยะ’ ซ่งชิงทอดถอนใจ ถ้าหากได้แลกเปลี่ยนวิชากับคนผู้นี้ แผนการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ของเขาอาจจะประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลเลยก็ได้
ตอนนี้เองชายชุดขาวคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นบันไดมายังชั้นเจ็ด…สถานที่ที่นักเล่นแร่แปรธาตุมารวมตัวกัน
ชุดขาวเป็นเครื่องแบบของศิษย์สำนักโหราจารย์ เมื่อมองแวบแรกไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่จุดที่แตกต่างกันอยู่ที่หน้าอก หน้าอกของนักเล่นแร่แปรธาตุจะปักลายเตาหลอม
ศิษย์ที่มายังชั้นเจ็ดผู้นี้ ที่ทรวงอกปักลายสมุนไพร หมายความว่าเขาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับเจ็ด…เวชศาสตร์
เรียกอีกอย่างว่าหมอ
“ศิษย์พี่ เมื่อครู่มีหัวหน้ามือปราบผู้หนึ่งมาตามหาศิษย์พี่ไฉ่เวย ทั้งยังฝากข้อความว่า ‘สวี่ชีอันกำลังลำบากให้รีบมาช่วย’ ขอรับ”
ศิษย์ชุดปักลายสมุนไพรที่หน้าอกกล่าว “ข้าสงสัยว่าอาจเป็นเรื่องเร่งด่วน สหายของศิษย์พี่ไฉ่เวยกำลังขอความช่วยเหลือ ดังนั้นจึงขึ้นมาบอกข่าวโดยเฉพาะขอรับ”
‘สวี่ชีอัน…’ ซ่งชิงรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูอยู่สักหน่อย แต่นึกไม่ออก
“เขาได้พูดอะไรอีกหรือไม่”
ศิษย์ปักลายสมุนไพรบนหน้าอกส่งหนังสือปกสีฟ้าเข้มในมือไปให้ “เพียงทิ้งหนังสือเล่มนี้ไว้ขอรับ”
“ตัวอักษรเขียนได้น่าเกลียดมาก…” ซ่งชิงรับมา พลิกดูหน้าแรกก็ถูกตัวอักษรยึกยือเหมือนไก่เขี่ยบาดตาทันที
เปิดมาหน้าแรกก็เป็นคำนำประโยคหนึ่ง เขาตั้งใจอ่านดู
‘การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม คือ หลักการไม่เปลี่ยนแปลงของการเล่นแร่แปรธาตุ โดย เอ็ดเวิร์ด เอลริค’
……………………………………..
[1] จวี่เหริน คือ ผู้ผ่านการสอบรับราชการระดับมณฑล
[2] ไร้กำลังมัดไก่ เป็นคำเปรียบเปรย หมายความว่า อ่อนแอ