หัวหน้ามือปราบหวังนั่งในตำแหน่งประธาน เขามีสีหน้าที่สงบและเงียบขรึม
หลายวันมานี้ ภารกิจแรกหลังจากตื่นนอนของนายอำเภอจูก็คือ สอบถามความคืบหน้าของคดีหัวหน้ามือปราบหวังที่ไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพึงพอใจได้ จึงได้แต่สบถคำหยาบคายออกมา
เขาต้องแบกรับแรงกดดันไว้ทั้งหมด บรรดาลูกน้องทั้งหมดที่หลบอยู่ใต้ร่มเงาของเขา ไม่เพียงไม่ช่วยแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขา แต่ยังกล้าต่อปากต่อคำกับเขาอีก
หัวหน้ามือปราบหวังนั้นมีเหตุผลที่จะโกรธ เขาคิดว่าตัวเองต้องมารับแรงกดดันที่ไม่ควรได้รับในวัยนี้
สวี่ชีอันที่ได้รับสำนวนคดีมานั่งอยู่ข้างโต๊ะ ตั้งใจอ่านอย่างใจจดใจจ่อ รอบข้างล้วนเป็นสหายร่วมงานในหน่วยงานเดียวกัน ต่างสบตากันไปมาอย่างเงียบๆ
ความคิดของสวี่ชีอันนั้นลึกซึ้งมาก วิธีที่ทำให้เหล่าหวัง[1]สบายใจได้ดีที่สุดก็คือการคลี่คลายคดี
ถ้าไม่สำเร็จจริงๆ ก็ให้เหล่าหวังไปวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์แล้วกัน ทุกคนรู้จักกันมาหลายปีแล้ว เรือแห่งมิตรภาพลำนี้นับว่ามั่นคงมาก
นอกจากนี้สวี่ชีอันก็ไม่สนับสนุนวิธีจับปลา ไม่เพียงแต่จะขัดกับปรัชญาสามทัศน์ของเขาแล้ว แต่เขายังมีความคิดที่จะช่วยเหล่าหวังแก้ปัญหา
ผู้ตายชื่อจางโหย่วรุ่ย ปีนี้อายุห้าสิบเอ็ดปี เป็นพ่อค้าฐานะร่ำรวยอาศัยอยู่ที่ถนนคังผิง มีที่ดินมากกว่าสิบฉิ่ง (1 ฉิ่ง เท่ากับ 100 หมู่) ในเขตชานเมืองของอำเภอฉางเล่อ มีร้านค้าสามร้านในเมืองหลวง ขายผ้าไหม ชาด และสินค้าเบ็ดเตล็ด
ภรรยาของเขาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จึงได้แต่งงานใหม่กับหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าเขาถึงยี่สิบปี จางโหย่วรุ่ยมีลูกชายเพียงคนเดียวที่เกิดจากภรรยาผู้ล่วงลับ นอกจากนี้ก็ไม่มีผู้สืบสกุลคนอื่นๆ อีก
อายุห่างกันถึงยี่สิบปี…สวี่ชีอันเย้าหยอกในใจ
เหมือนที่ผู้คนกล่าวกันว่า ตราบใดที่คุณทำงานหนักเพื่อหาเงิน ภรรยาในอนาคตของคุณยังอยู่ในชั้นอนุบาล?
สี่วันก่อน จางโหย่วรุ่ยไปเก็บค่าเช่าที่ชนบท และเวลาประมาณอิ๋นสือ (ช่วงเวลา 3.00 – 5.00 น.) ก็รีบกลับบ้าน จู่ๆ ภรรยาที่หลับลึกอยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวน เมื่อออกไปตรวจดูก็พบว่าจางโหย่วรุ่ยเสียชีวิตอยู่ที่ลานบ้าน ภรรยาเห็นเงาดำปีนข้ามกำแพงไป…
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อสวี่ชีอันเห็นรายงานการชันสูตรพลิกศพแล้วก็สังเกตเห็นประเด็นที่น่าสงสัยประเด็นหนึ่ง
เขาอ่านต่อด้วยความอดทน หลังจากอ่านคำให้การของครอบครัวและคนรับใช้ของผู้ตายแล้ว เขาก็หลับตา ลำดับความคิด
หัวหน้ามือปราบหวังทำเสียง ‘ฮึ’ อย่างเย็นชา พูดเย้ยหยันว่า “ประเดี๋ยวก่อน มือปราบสวี่ ฆาตกรเป็นผู้ใดและมันอยู่ที่ใด”
“อย่าใจร้อนไป หัวหน้า” สวี่ชีอันลืมตามอง “ข้าเห็นในสำนวนคดีว่ามีรอยเท้าอยู่ที่บนกำแพงด้านนอกบ้านสกุลจางใช่หรือไม่ ท่านจึงอนุมานจากจุดนี้ว่าคนร้ายปีนกำแพงหนีไป ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้โกหก”
หัวหน้ามือปราบหวังส่งเสียง ‘อืม’
“รอยเท้าหันออกด้านนอก ดังนั้นจึงเป็นรอยเท้าที่ทิ้งไว้ตอนหลบหนี” สวี่ชีอันพูด
“มีปัญหาอะไร” หัวหน้ามือปราบหวังขมวดคิ้ว
“เหตุใดจึงทิ้งรอยเท้าไว้”
“เพราะมีโคลนติดที่ฝ่าเท้า”
“เหตุใดจึงมีโคลนที่ฝ่าเท้า”
“เพราะด้านข้างมีสวนดอกไม้”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่มีรอยเท้าตอนเข้าไปในลานบ้านในสำนวนคดี”
หัวหน้ามือปราบหวังตกตะลึง
ในความเงียบ มือปราบคนอื่นๆ รู้สึกว่าเขาเสียหน้าจึงกล่าวเสริมแทนเขาว่า “บางทีตอนที่คนร้ายเข้ามาอาจสังเกตเห็นจุดนี้จึงไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้”
อีกคนหนึ่งพูดว่า “แต่หลังจากฆ่าคนแล้วก็รีบหลบหนีจึงทิ้งรอยเท้าไว้เพราะความรีบร้อน”
สวี่ชีอันกวาดตามองพวกเขา “มีความเป็นไปได้ ถ้าเช่นนั้นบริเวณตีนกำแพงเป็นสวนดอกไม้ แล้วในสวนดอกไม้มีรอยตอนแอบเข้ามาหรือไม่ ตามเหตุผลแล้วหากคนร้ายสามารถกระโดดข้ามกำแพงมาจากด้านนอก ข้ามสวนดอกไม้ได้โดยไม่ทิ้งรอยเท้าใดๆ ไว้ วิชาตัวเบาเช่นนี้…ถ้าเช่นนั้นตอนที่เขาหนีไปก็ไม่มีความจำเป็นต้องเหยียบกำแพงเพื่อส่งกำลัง”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่สามารถตอบได้
ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาตอบคำถาม สวี่ชีอันก็รู้คำตอบแล้ว ไม่ใช่ ‘มี’ หรือ ‘ไม่มี’ แต่เป็นเพราะไม่รู้
บรรดามือปราบไม่ได้ตรวจสอบจุดนี้
“หนิงเยี่ยน เรื่องนี้มีอะไรต้องโต้แย้งกันอีกหรือ” มีคนไม่ยอมแพ้
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบ แต่เขามองไปที่หัวหน้ามือปราบหวังซึ่งกำลังขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ แล้วพูดต่อว่า “ผู้ตายเสียชีวิตเนื่องจากถูกอาวุธที่ไม่มีคมทุบที่ท้ายทอยอย่างหนัก ใช่หรือไม่”
หัวหน้ามือปราบหวังพยักหน้า “ตายคาที่”
สวี่ชีอันพูดว่า “ข้ามีข้อสงสัยประการหนึ่ง เหตุใดจึงมีอาวุธที่ไม่มีคม ฆาตกรทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ย่อมต้องพกอาวุธติดตัวมาอยู่แล้ว ฆ่าด้วยดาบจะไม่ง่ายกว่าเหรอ”
ทั้งห้องเงียบงัน เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างตระหนักถึงปัญหานี้ดี เสียวหลี่เดาว่า “บางทีตอนแรกคนร้ายอาจไม่ได้ต้องการฆ่าเขา”
“ไม่ใช่”
ครั้งนี้ไม่ใช่สวี่ชีอันที่เป็นคนโต้แย้ง แต่เป็นหัวหน้ามือปราบหวัง เขายืนขึ้น ตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “อาวุธที่ไม่มีคมทุบที่ท้ายทอยครั้งเดียวก็เสียชีวิต ย่อมต้องเจตนาฆ่า”
เขานั่งลงที่เก้าอี้ แล้วพึมพำว่า “ใช่แล้ว เหตุใดจึงต้องใช้อาวุธไม่มีคม แล้วเหตุใดจึงไม่ใช้อาวุธมีคมล่ะ”
“เว้นเสียแต่ว่าในเวลานั้นฆาตกรไม่มีอาวุธอยู่ในมือ” สวี่ชีอันพูด
ดวงตาของหัวหน้ามือปราบหวังเป็นประกายขึ้นทันทีราวกับว่าเขาจับอะไรบางอย่างได้ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด
“ยังมีประเด็นสุดท้ายและเป็นประเด็นที่ข้าสนใจมาก” สวี่ชีอันมองไปที่สำนวนคดี “เมื่อครอบครัวของผู้ตายถูกนำตัวกลับไปยังที่ว่าการอำเภอเพื่อสอบปากคำ นางจางหยางหมดสติไปเนื่องจากการคุกเข่าเป็นเวลานาน หลังจากหมอตรวจวินิจฉัยแล้วก็พบว่านางกำลังตั้งครรภ์”
“เป็นลูกที่เกิดหลังบิดาถึงแก่กรรม”
“ช่างน่าเวทนายิ่งนัก ลูกยังไม่ทันเกิดก็กำพร้าพ่อเสียแล้ว”
พวกชอบผสมโรงช่างน่ารำคาญ พูดสอดไม่หยุด
“นางจางหยางแต่งงานกับผู้ตายมาเกือบสิบปีแล้ว เหตุใดจึงมาตั้งครรภ์ในเวลานี้” สวี่ชีอันรอให้พวกเขาพูดจบก่อน จึงมีโอกาสพูด “บางทีเด็กอาจจะไม่ใช่ลูกของผู้ตายก็ได้”
หากสุขภาพของชายและหญิงเป็นปกติ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีบุตรมากว่าสิบปี เว้นแต่พวกเขาจะตั้งใจไม่มีลูก
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะมีทายาท และตามเทคโนโลยีการรักษาภาวะมีบุตรยากในสมัยโบราณ ถึงแม้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่อัตราความสำเร็จนั้นต่ำมากอย่างแน่นอน
เสียงลมหายใจของหัวหน้ามือปราบหวังหนักหน่วงขึ้นมาทันที “หนิงเยี่ยน เจ้าพูดให้ชัดเจนสิ พูดให้มันชัดเจน…”
สวี่ชีอันจิบชาเพื่อความชุ่มคอ “บางทีนี่อาจไม่ใช่คดีบุกรุกเคหสถานในยามวิกาลเพื่อลักทรัพย์ แต่อาจจะเป็นคดีฆาตกรรมจากเหตุชู้สาว นางจางหยางลักลอบคบชู้ ชายชู้อาจจะเป็นคนนอกหรืออาจจะเป็นลูกชายของผู้ตาย ทั้งสองฉวยโอกาสตอนที่ผู้ตายออกไปเก็บค่าเช่าลักลอบพบกัน โดยไม่คาดคิดว่าผู้ตายจะกลับมาเร็วกว่ากำหนดและจับชู้ได้คาหนังคาเขา ทั้งสองฝ่ายเกิดการทะเลาะวิวาทกัน จากนั้นด้วยความโกรธชายชู้จึงคว้าแจกันหรืออาวุธไม่มีคมชนิดอื่นฆ่าผู้ตายจนตาย นางจางหยางและชายชู้จึงรีบจัดการกับที่เกิดเหตุ โดยลากผู้ตายไปที่ลานบ้าน ทำเหมือนมีขโมยเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน ในเมื่อชายชู้จะลักลอบพบกัน ดังนั้นย่อมต้องมีการดูลาดเลามาก่อนจนรู้ระเบียบของทหารลาดตระเวนยามวิกาล ดังนั้นจึงไม่พบกับทหารของกองดาบ หากคนร้ายต้องการทรัพย์สินจริงๆ จะไม่เลือกลงมือในคืนนั้นอย่างแน่นอน แต่เขาจะต้องรอให้ผู้ตายนำเงินค่าเช่าที่เก็บมาได้ไปแลกเป็นตั๋วเงินเสียก่อนแล้วซ่อนไว้ในเสื้อก็สามารถนำไปได้ คำให้การของนางจางหยางจึงอ้างเรื่องการเก็บค่าเช่าเพื่อเบนความสนใจของพวกท่านไปที่เรื่อง ‘ต้องการทรัพย์สิน’ ”
มือปราบทั้งห้องต่างตกตะลึง
“นี่ นี่มัน…แค่อ่านสำนวนคดีก็สามารถหาตัวฆาตกรได้”
“หนิงเยี่ยน นี่ไม่ใช่เรื่องตลก อย่าพูดจาส่งเดช”
“แต่ไม่คิดว่ามันสมเหตุสมผลเหรอ”
การอนุมานของสวี่ชีอันครั้งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกเพียงสี่คำ ‘ยอดเยี่ยมจริงๆ’
“ข้าแค่กล้าที่จะคาดเดาจากรายละเอียดของคดี นี่อาจไม่ใช่ความจริงและจำเป็นต้องไปทำการตรวจสอบ” สวี่ชีอันตอบสหายร่วมงานที่กำลังรู้สึกตกใจ
กระบวนการคลี่คลายคดีคือการรวบรวมเบาะแส จากนั้นก็ทำการอนุมาน วิเคราะห์ และสุดท้ายต้องทำการตรวจสอบ และรวบรวมหลักฐาน
คนร้ายหลบซ่อนทหารลาดตระเวนยามวิกาลได้…เวลาที่เข้าขโมยไม่ถูกต้อง…ใช้อาวุธที่ไม่มีคมฆ่าคนแทนที่จะใช้ของมีคม…นางจางหยางกำลังตั้งครรภ์…จากการกลั่นกรองของสวี่ชีอัน รายละเอียดที่ดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญเหล่านี้ประกอบกันแล้วเป็นเบาะแสที่สอดคล้องตามตรรกะ
หัวหน้ามือปราบหวังรู้สึกว่าได้เปิดประตูบานใหม่ให้กับอาชีพของเขา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบอารมณ์ที่ปั่นป่วน หลังจากพิจารณาแล้วก็พบว่าคำพูดของสวี่ชีอันทำให้เขาสงสัยเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าชายชู้เป็นบุตรชายของผู้ตาย”
“สาเหตุที่ข้าสงสัยเขามีสองประการ” สวี่ชีอันจิบชาช้าๆ พูดช้าๆ ท่ามกลางสายตาเร่งเร้าของหัวหน้ามือปราบหวังและสหายร่วมงานของเขา
“ในคำให้การของจางเซี่ยนบุตรชายของผู้ตายบอกว่า ในคืนนั้นเขากำลังดูบัญชีอยู่ในห้องหนังสือและไม่ได้นอนกับภรรยาของเขา ในเมื่อเขาตื่นอยู่ เหตุใดจึงไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ลานบ้าน”
“นางจางหยางถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงร้องโหยหวน แสดงว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่รุนแรง แต่คนที่ตื่นอยู่เช่นเขากลับไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย มันสมเหตุสมผลหรือไม่”
“ประเด็นที่สอง หากไม่พบร่องรอยที่คนร้ายทิ้งไว้ในสวนดอกไม้ตอนแอบเข้ามา ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นคนร้ายอาจไม่มีอยู่จริง จากการอนุมานนี้ความสงสัยในตัวของลูกชายของผู้ตายก็มีอยู่สูงมาก”
กระจ่างแจ้งแล้ว
หัวหน้ามือปราบหวังถาม “ดังนั้นรอยเท้าบนกำแพงจึงเป็นไปได้สูงว่าเป็นการจงใจทำให้พวกเราสับสน”
สวี่ชีอันคาดเดาว่า “ใช่ ถูกต้องแล้ว ลองไปเปรียบเทียบรองเท้าลูกชายของผู้ตายดู”
“เขาคงไม่ทิ้งรอยเท้าของตัวเองไว้เป็นแน่” หัวหน้ามือปราบหวังกล่าว
ใบหน้าของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความเลื่อมใส กล่าวเยินยอว่า “หัวหน้าช่างมีปัญญาล้ำเลิศ มีปฏิภาณไหวพริบจริงๆ สมเป็นมือปราบขั้นเทพแห่งต้าฟ่งยิ่งนัก”
หลังสวี่ชีอันร่ายคำที่น่าตื่นตะลึงออกไปเพื่อสร้างภาพแล้ว ก็กล่าวชื่นชมต่อโดยไม่มีที่ติ แล้วก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง…ใบหน้าดำคล้ำเหมือนชาวนาของหัวหน้ามือปราบหวังยิ้มแก้มแทบปริ รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของตัวเองก็สูงขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
“ข้าจะไปหาใต้เท้าจูเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม ตามข้าไปที่บ้านสกุลจางอีกครั้ง” ใบหน้าที่ดำคล้ำเหมือนชาวนาของหัวหน้ามือปราบหวังปรากฏแววตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
เขาชี้นิ้วไปที่สวี่ชีอัน ส่งเสียงหัวเราะเหมือนเสียงรถแทรกเตอร์ วิ่งออกจากห้องพักไปหานายอำเภอที่ห้องโถงด้านหลังอย่างเร่งรีบ
…………………………………………………
[1] เหล่าหวัง ในที่นี้หมายถึงหัวหน้ามือปราบหวัง คนจีนมักจะเติมคำว่า ‘เหล่า’ หน้านามสกุล แสดงถึงการให้ความเคารพ
นับถือและความสนิทสนม