ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 13 สอบสวน

บทที่ 13 สอบสวน

สวี่ชีอันมองตามหลังเขาไป ไม่ได้มองโลกในแง่ดีมากนัก

หลังจากผ่านไปหลายวัน การหาหลักฐานนั้นยากยิ่ง

ตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือไม่ได้ การหาหลักฐานก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ร่องรอยรองเท้าไม่ใช่ของจางเซี่ยนอย่างแน่นอน…อืม ตัดวิธีเหล่านี้ออกไป ยังมีวิธีไหนที่เหมาะสมกับยุคนี้ที่จะสามารถช่วยคลี่คลายคดีได้… เขาพยายามคิดหาวิธีอย่างสุดความสามารถ…

“ขุนนางเล็กๆ ที่ไร้ความสามารถพวกนี้ ตอนหาเงินแต่ละคนฉลาดเหมือนลิง แม้แต่ก้อนหินก็ยังสามารถสกัดน้ำมันออกมาได้ ถึงเวลาทำเรื่องที่เป็นงานเป็นการกลับเหมือนสุนัขไร้ความสามารถ”

นายอำเภอกำลังโกรธอยู่ในห้องโถงชั้นใน คดีฆาตกรรมเป็นคดีใหญ่ แล้วผู้ตายยังเป็นสหายของจี่ซื่อจง[1]อีก

จี่ซื่อจงเป็นใครกัน

เป็นขุนนางที่หลงตัวเอง เป็นหมาบ้าที่จับกุมใครได้ก็กัดคนนั้น ไม่ชอบหน้าใครก็ยื่นหนังสือต่อเบื้องบนเพื่อกล่าวโทษ

นายทะเบียนสวีผู้มีใบหน้าซูบผอมและไว้เคราแพะที่อยู่ข้างๆ หัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “ใต้เท้าบีบคั้นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาคงต้องทำงานอย่างขอไปที”

มีแต่พวกแก่เกินแกงทั้งนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชากำลังคิดอะไรอยู่ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ย่อมรู้ดี

การทำงานในแวดวงราชการ ขุนนางชั้นผู้น้อยอย่างมากก็มีความรู้แค่ในระดับชั้นประถมศึกษา ตำแหน่งสูงสุดก็อยู่ในราชสำนัก รองลงมาก็ได้รับมอบหมายให้ไปปกครองหัวเมือง

“ทำงานอย่างขอไปทีเหรอ” นายอำเภอจูทำเสียง ‘ฮึ’ “ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงไม่เป็นไร เวลานี้กำลังจะมีการตรวจสอบข้าราชสำนักแล้ว ต่อไปถ้าถูกใส่ความว่าใช้วิธีทรมานให้รับผิดมาเป็นเหตุผลในการกล่าวโทษข้า ข้าจะทำอย่างไร”

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้นก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังแว่วมา หัวหน้ามือปราบหวังเข้าไปในห้องโถงชั้นใน หลังจากก้าวข้ามธรณีประตูและหยุดอยู่กับที่ ท่าทางนอบน้อม น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ใต้เท้า คดีของคนแซ่จาง ข้าน้อยมีเบาะแสแล้ว ใต้เท้าโปรดสั่งการ ข้าน้อยจะไปจับตัวคนร้ายทันที”

นายอำเภอจูและนายทะเบียนสวีชำเลืองมองกันและกัน ฝ่ายแรกยิ้มเยาะ ฝ่ายหลังยิ้มสื่อความหมายเป็นนัยว่าเป็นอย่างที่คาดไว้

เมื่อเห็นว่าสีหน้าทั้งสองคนผิดปกติ หัวหน้ามือปราบหวังจึงเร่งเร้าว่า “ใต้เท้า เวลาไม่คอยท่านะขอรับ”

นายอำเภอจูตบโต๊ะ ด่าว่า “เจ้าโง่ นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังคิดจะทำงานอย่างขอไปทีอีก เจ้าไม่มีสมองเหรอ”

การใช้วิธีทรมานให้รับผิดถ้าเป็นเวลาปกติสามารถใช้ได้ แต่เวลานี้อาจทำให้มีปัญหา

หลังจากคนร้ายสารภาพแล้ว ต้องส่งคำให้การและสำนวนคดีไปยังกรมอาญา หลังจากกรมอาญาตรวจสอบแล้ว จึงทำการตัดสินลงโทษ

ปลายปีก็จะมีการตรวจสอบข้าราชสำนักแล้ว บรรยากาศในแวดวงข้าราชการเริ่มตึงเครียด ขณะที่ทุกคนต้องขจัดมลทินของตัวเองพร้อมกับต่างคนต่างจับตาดูกันและกัน พยายามจับพิรุธศัตรูทางการเมืองอย่างสุดความสามารถ

เป็นช่วงเวลาของการพลิกคดี

หัวหน้ามือปราบหวังรีบพูดแก้ตัวว่า “ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยมั่นใจว่าสามารถจับฆาตกรตัวจริงได้จริงๆ ไม่ได้ทำงานอย่างขอไปที ใต้เท้าได้โปรดเชื่อข้าน้อยด้วยเถิด”

‘เจ้ามีความสามารถแค่ไหน คิดว่าข้าไม่รู้เช่นนั้นหรือ’ …นายอำเภอจูไม่วางใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ มองหน้าเหล่าหวังแล้วพูดว่า “เจ้าพูดมาให้ละเอียดสิ”

หัวหน้ามือปราบหวังคิดในใจว่า ‘ถึงเวลาแสดงความสามารถของข้าแล้ว’

“ใต้เท้า โปรดฟังข้าน้อยพูดอย่างละเอียด มีข้อสงสัยมากมายในคดีของคนแซ่จาง…”

เหล่าหวังพูดตามการอนุมานของสวี่ชีอัน ตั้งแต่ต้นจนจบให้ใต้เท้าทั้งสองฟัง

นายอำเภอจูยิ้มเยาะในตอนแรก แต่เมื่อฟังไปสักพักก็ยืดตัวตรงโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายเขาไม่พูดอะไรเลย แต่ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึม

เขากำลังครุ่นคิด

“เยี่ยมมาก” นายทะเบียนสวีตบมือดัง ‘ฉาด’ แสดงท่าทีตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง “วิเคราะห์ได้อย่างละเอียด แนวคิดชัดเจน สามารถอนุมานคดีตั้งแต่ต้นจนจบจากรายละเอียดที่ไม่อยู่ในสายตาได้ คนเก่าคนแก่ของกรมอาญาก็ทำได้เท่านี้”

แม้จะบอกว่ายังต้องหาหลักฐาน แต่การอนุมานนี้ก็ช่วยชี้ทางให้บรรดาเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอย่างไม่ต้องสงสัย

หัวหน้ามือปราบหวังยิ้มแล้วกล่าวว่า “ทุกท่านชมเกินไปแล้ว”

นายอำเภอจูหัวเราะเยาะเย้ยแล้วพูดว่า “บอกข้ามาสิว่าผู้ใดสอนเจ้า”

หัวหน้ามือปราบหวังคิดอยู่ครู่หนึ่ง ระงับความคิดที่จะเอาความดีความชอบ พูดตามความจริงว่า “มือเร็วสวี่ชีอันหรือ”

มือเร็วไม่ใช่การถ่ายทอดสด และสวี่ชีอันก็ไม่ใช่ผู้ประกาศข่าวเช่นกัน มือเร็วในที่นี้เป็นคำเรียกขุนนางที่มีความปราดเปรียว หรือที่เรียกว่ามือปราบนั่นเอง

สวี่ชีอัน…นายอำเภอจูนึกขึ้นได้ก่อนใคร “เขาเองเหรอ”

นายอำเภอจูกับสวี่ผิงจื้อเคยดื่มสุราด้วยกันสองสามครั้ง สนิทสนมกันระดับหนึ่ง หลายปีก่อนสวี่ผิงจื้อใช้เงินยี่สิบตำลึงเงินซื้อตำแหน่งมือปราบให้หลานชาย

ในราชวงศ์ต้าฟ่ง ตำแหน่งเจ้าพนักงานสามารถส่งต่อให้ลูกชายได้ มั่นคงอย่างยิ่ง

“ใช่เขาแน่แล้ว” นายอำเภอจูยิ้มเยาะ

ดวงตาของนายทะเบียนสวีเป็นประกาย นึกถึงคดีเงินภาษีที่เกี่ยวพันกับสกุลสวี่จึงรีบถามทันที “ท่านหมายความว่าอย่างไร”

หัวหน้ามือปราบหวังก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

นายอำเภอจูยิ้มแล้วพูดว่า “คดีปล้นเงินภาษีเป็นที่โจษจันกันทั่วบ้านทั่วเมือง สกุลสวี่เป็นหนังหน้าไฟ เดิมทีควรถูกถามหาความรับผิดชอบ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดครอบครัวสกุลสวี่จึงรอดไปได้”

หัวหน้ามือปราบหวังตอบทันทีว่า “ได้ยินมาว่าใต้เท้าสวี่แห่งกองดาบมีความดีความชอบในการช่วยจัดการคดี องค์จักรพรรดิทรงไม่ถือสาจึงทรงพระราชทานอภัยโทษให้”

นี่คือสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินมาจากสวี่ชีอันเมื่อสักครู่นี้

นายทะเบียนสวีเหลือบมองดูสีหน้านายอำเภอจูและถามหยั่งเชิงว่า “หรือว่าคดีนี้จะมีเบื้องหลัง”

รายละเอียดของคดีเงินภาษีที่สูญหายนั้น ด้วยตำแหน่งของนายทะเบียนสวีนั้นไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่ถึงแม้นายอำเภอจูเป็นถึงนายอำเภอของอำเภอฉางเล่อ แต่ก็เป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ในเมืองหลวงที่เป็นแหล่งชุมนุมของขุนนางชั้นสูงเช่นนี้ หากไม่มีที่พึ่งคอยหนุนหลังก็ไม่สามารถนั่งในตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง

นายอำเภอจูทำเสียง ‘ชิ’ แล้วพูดว่า “สวี่ผิงจื้อเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย เขาเป็นเพียงแพะรับบาปในคดีนี้…” จู่ๆ เขาก็หยุดพูดกลางคันเหมือนไม่อยากแย้มพรายอะไรมากเกินไปแล้วพูดว่า “คนที่ทำให้สกุลสวี่ได้รับการปลดปล่อยไม่ใช่เขา”

“แล้วเป็นผู้ใด” หัวหน้ามือปราบหวังถามอย่างลืมตัว

นายทะเบียนสวีมีคำตอบแวบเข้ามาในใจ รอนายอำเภอจูพูดต่อ

“เขาคือสวี่ชีอัน เขาเป็นคนเปิดโปงความจริงของคดีเงินภาษี เรื่องนี้มีบันทึกไว้ในสำนวนคดี สหายของข้าคนหนึ่งเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองจิงจ้าว” นายอำเภอจูกล่าว “บุตรชายรับผิดแทนบิดา ทำความดีชดใช้ความผิดแทนบิดา แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงหลานชาย แต่หลักการนี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน”

นายทะเบียนสวีสูดหายใจลึก “หลังจากเกิดคดีนี้ สวี่ชีอันควรจะถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ เขาทำได้อย่างไรกัน”

นายอำเภอจูพึมพำว่า “เดิมทีข้าก็รู้สึกเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว”

นายทะเบียนสวีก็คิดเช่นเดียวกัน พูดอย่างเหลือเชื่อว่า “อาศัยแค่สำนวนคดีเท่านั้นหรือ!”

อาศัยแค่สำนวนคดีเท่านั้น…สมองของหัวหน้ามือปราบหวังสับสนไปหมดแล้ว ความลับของทางการแบบนี้เป็นไปได้ที่จะได้ยินขุนนางทั้งสามที่มีอำนาจเหนือเขาพูดคุยกันบ้างเป็นครั้งคราว

สิ่งที่เขาไม่อยากจะเชื่อก็คือสวี่ชีอันแสดงความสามารถช่วยให้สกุลสวี่พ้นภัยจากคดีปล้นเงินภาษีได้

หัวหน้ามือปราบหวังคิดในใจว่า ‘นี่มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่สมเหตุสมผลเลย’

ตอนที่เด็กคนนี้เพิ่งมาใหม่ๆ เป็นคนซื่อๆ ดื้อรั้น วันๆ ทำแต่งาน เป็นคนบุ่มบ่ามอย่างแท้จริง

คนบุ่มบ่ามเช่นนี้เหตุใดในพริบตาก็สามารถไขคดีได้เหมือนเทพเลย

ตอนที่หัวหน้ามือปราบหวังรับหนังสือคำสั่งแล้วก็กลับมาที่ห้องรับรอง สวี่ชีอันกำลังฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ เมื่อคืนเขาครุ่นคิดถึงเรื่องสับสนวุ่นวายมากเกินไป หลังเวลาจื่อสือ (ช่วงเวลา 23.00 – 1.00 น.) จึงเข้านอน

คนข้างๆ เอื้อมมือไปผลักสวี่ชีอัน หัวหน้ามือปราบหวังรีบห้ามเขาทันทีและพูดเสียงเบาว่า “ปล่อยให้เขานอนเถอะ”

จากนั้นก็เลือกลูกน้องมาสองคน “พวกเจ้าไปที่บ้านสกุลจางพร้อมข้า”

มือปราบทั้งสามพาเจ้าหน้าที่พลเรือนของตัวเองไปด้วย รวมทั้งหมดเก้าคน ออกจากที่ว่าการอำเภอฉางเล่อไปอย่างเร่งรีบ

เจ้าหน้าที่พลเรือนคือเจ้าหน้าที่ชั่วคราว เป็นแรงงานค้างชำระที่ถูกบังคับมาใช้แรงงานประเภทหนึ่ง ไม่ได้รับค่าตอบแทน เป็นบุคคลธรรมดาไม่มีเงินเดือน ไม่มีอาหาร ไม่มีที่อยู่อาศัยแต่ยังมีข้อดีคือ พวกเขาไม่ต้องรับผิดแทนคนอื่น

สวี่ชีอันสะดุ้งตื่นด้วยเสียงอัน ‘ทรงพลัง’ เช็ดน้ำลายที่มุมปากแล้วก็เดินไปที่ห้องโถงใหญ่

คาดว่าจับกุมคนร้ายมาได้แล้ว และนายอำเภอคงกำลังสอบสวนอยู่ที่หน้าห้องโถง

ในศาล ด้านหลังโต๊ะสอบสวนตัวสูงของนายอำเภอจู ทางซ้ายและทางขวาคือผู้ตรวจสอบคดีและผู้ติดตาม

ด้านล่างโต๊ะ ทางด้านซ้ายและขวาคือเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ตรงกลางมีคนคุกเข่าอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มสวมชุดสีดำปักลายก้อนเมฆ อีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสวมชุดกระโปรงสีม่วง

สีหน้าผู้หญิงดูหวาดกลัวและกระวนกระวาย ในขณะที่ชายหนุ่มค่อนข้างสงบ

‘ปัง!’

นายอำเภอจูตบแท่งไม้ด้วยความโกรธเคือง พูดเสียงดังว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ใด”

หญิงสาวชำเลืองมองชายหนุ่มตามสัญชาตญาณ ชายหนุ่มมองเธออย่างสงบและยืดตัวตรง “ข้าน้อยจางเซี่ยนขอรับ”

ผู้หญิงพูดเสียงเบา “ข้าน้อยหยางเจินเจินเจ้าค่ะ”

นายอำเภอจูตะโกนว่า “เจ้าทั้งสองคนสังหารจางโหย่วรุ่ยอย่างไร ยอมรับมาตามตรงเสียดีๆ”

ผู้หญิงคนนั้นตกใจจนตัวสั่น ขนตายาวสั่นระริก สีหน้าหวาดหวั่น

ชายหนุ่มจางเซี่ยนตกใจเป็นอย่างยิ่ง “เหตุใดใต้เท้าจึงกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยจะฆ่าพ่อผู้ให้กำเนิดได้อย่างไรขอรับ”

นายอำเภอจูถามว่า “ตอนเกิดเหตุ เจ้าอยู่ที่ไหน”

“ข้าน้อยอยู่ในห้องหนังสือขอรับ”

“เหตุใดจึงไม่อยู่ร่วมเตียงกับภรรยาของเจ้า”

“ข้าน้อยกำลังตรวจดูบัญชีขอรับ”

“มีพยานบุคคลหรือไม่”

“เวลาดึกดื่นจะมีพยานบุคคลได้อย่างไรขอรับ”

คำตอบของจางเซี่ยนมีเหตุผลชัดเจน ไม่ลนลาน ถ้าไม่เป็นเพราะบริสุทธิ์ใจก็คงเป็นเพราะมีการเตรียมตัวมาอย่างดี

ตามการอนุมานของตัวเอง สวี่ชีอันเชื่อมั่นประการหลังมากกว่า

ถึงแม้เขาจะไม่มีข้อพิสูจน์ว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ก็ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเขาฆ่าคน การอนุมานก็ส่วนการอนุมาน หากไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ก็ต้องยกฟ้อง…

นายอำเภอจูหันไปมองที่ฝ่ายหญิงแล้วกล่าวว่า “นางจางหยาง ข้าขอถามเจ้า เจ้าแต่งงานกับจางโหย่วรุ่ยมาสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยตั้งครรภ์ เหตุใดตอนนี้จึงตั้งครรภ์ได้ บอกมาตามตรงว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับลูกเลี้ยงและวางแผนสังหารสามีตัวเอง”

นางจางหยางตกตะลึง ร้องไห้แล้วพูดว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยถูกใส่ความเจ้าค่ะ ข้าน้อยร่างกายไม่แข็งแรง หลายปีมานี้ต้องดูแลรักษาร่างกายทุกวันกว่าจะอุ้มท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของสามีได้ เหตุใดใต้เท้าจึงอาศัยเหตุนี้ใส่ความว่าข้าน้อยวางแผนสังหารสามีตัวเองเล่าเจ้าคะ”

นางร้องไห้สะอึกสะอื้น

สอบสวนเช่นนี้จะตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อย่างไร สวี่ชีอันมองไปที่ผู้หญิงที่ดูมีน้ำมีนวลอยู่ครู่หนึ่งก็คิดอะไรขึ้นมาได้ มีวิธีที่ไม่เลวอยู่วิธีหนึ่ง

………………………………………………

[1] จี่ซื่อจง ตำแหน่งขุนนางในสมัยโบราณ เป็นขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดองค์จักรพรรดิ

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท