เขารู้ว่ามีอาวุธเวทมนตร์อยู่ อารองเคยพูดไว้ว่าปีนั้นต้าฟ่งเอาชนะสงครามด่านซานไห่[1] ปืนใหญ่ก็มีส่วนช่วยอย่างมาก
อานุภาพของปืนใหญ่ครึ่งหนึ่งมาจากดินปืน อีกครึ่งหนึ่งมาจากค่ายกล
อาวุธเวทมนตร์เป็นอาวุธเฉพาะของราชวงศ์ต้าฟ่งและเป็นความเชื่อมั่นที่ทำให้ราชวงศ์ต้าฟ่งกล้าอ้างสิทธิ์ความเป็นดั้งเดิมในใต้หล้าเช่นกัน
ในขณะนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักได้ว่าอาวุธเวทมนตร์มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสำนักโหราจารย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซ่งชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบคำถามของสวี่ชีอันโดยยึดหลักการการแบ่งปันความรู้ “นี่มิใช่ความลับอันใด เจ้ารู้จักชื่อเรียกของโหรขั้นสี่หรือไม่”
แม้แต่ขั้นเจ็ดของระบบทหารของตนเองข้าก็ยังไม่รู้…สวี่ชีอันส่ายหน้า
“ปรมาจารย์ยุทธ!” ซ่งชิงเอ่ย “สิ่งที่นักเล่นแร่แปรธาตุหลอมออกมาล้วนเป็นของสามัญธรรมดา กระทั่งปรมาจารย์ยุทธสลักค่ายกลไว้บนนั้น มันจึงกลายเป็นอาวุธเวทมนตร์”
ตามความเข้าใจของตนเกี่ยวกับระบบโหรและข้อมูลที่เปิดเผยกับสาวงามฉู่ไฉ่เวยเมื่อไม่นานมานี้ สวี่ชีอันใคร่ครวญมากมายอยู่ครู่หนึ่ง
หมอยาขั้นเก้าของโหรเป็นการปูพื้นฐานสำหรับนักพยากรณ์ขั้นแปด นักพยากรณ์เป็นการปูพื้นฐานสำหรับปรมาจารย์ฮวงจุ้ยขั้นเจ็ด ทว่าปรมาจารย์ฮวงจุ้ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นหกซึ่งเป็นขั้นถัดไปของระบบ…ที่แท้นักเล่นแร่แปรธาตุก็ร่วมเสริมกับปรมาจารย์ยุทธขั้นสี่ของโหร
นักเล่นแร่แปรธาตุสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ ปรมาจารย์ยุทธแปรรูปให้กลายเป็นอาวุธเวทมนตร์…ระบบโหรนี้ช่างน่าสนใจ
มิน่าท่านโหราจารย์จึงดำรงตำแหน่งสูงส่งในราชวงศ์ต้าฟ่งเช่นนี้
ฉู่ไฉ่เวยจะต้องมาอยู่ในกำมือข้าให้ได้ ไม่มีจุดประสงค์พิเศษอันใด เพียงอยากเก็บเกี่ยวความรักอันจริงใจในสังคมที่เย็นชานี้
สวี่ชีอันตกลงใจอย่างเงียบๆ
“อาวุธเวทมนตร์ชิ้นที่สองคือเกราะคันฉ่อง ทำจากวัสดุธรรมดา แต่ความพิเศษจริงๆ คือค่ายกลที่สลักไว้ด้านบน สามารถต้านทานการโจมตีเต็มกำลังจากยอดฝีมือระดับหลอมปราณได้และสามารถต้านทานยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณได้สามครั้ง ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้หนึ่งครั้ง”
ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงเป็นขั้นที่หกของระบบทหาร? ในที่สุดสวี่ชีอันก็รู้ขั้นที่หกของระบบทหารของตนเสียที
“ชิ้นสุดท้ายเรียกว่ากร่อนกระดูกแผดเผาหัวใจ หากเจ้าทาบนลูกศรจะสามารถปลิดชีพยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณได้ ไม่มีผลกับระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง เพราะลูกศรมิอาจทะลุผ่านผิวหนังของอีกฝ่ายได้”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ของสามชิ้นนี้ล้วนถูกใจข้า”
เขาเอ่ยขึ้นหลังจากอึ้งไปชั่วขณะ “การเล่นแร่แปรธาตุเช่นนั้น เรียกว่าการเพาะชำ!”
สวี่ชีอันอาศัยความทรงจำในอดีตบอกวิชาการเพาะชำกับซ่งชิงไม่ละเอียดจนเกินไป แม้กระบวนการไม่ละเอียด ทว่าสาธยายจุดเด่นอย่างชัดเจน เช่น หลังจากเพาะชำสำเร็จจะยกระดับการทนทานความหนาวของพืช ต้านภัยแล้งและต้านทานศัตรูพืชได้ รวมถึงเพิ่มรสชาติของผลไม้
เฉกเช่นเดียวกับการทดลองมากมายในสมุดบันทึกของเขา ความรู้ทางทฤษฎีค่อนข้างสมบูรณ์ ทว่าขาดทักษะทางการปฏิบัติ
ทว่าก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรคนปฏิบัติก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี
หากซ่งชิงล้มเหลว นั่นหมายถึงตัวเขาอ่อนความสามารถเอง หากสำเร็จ ความดีความชอบล้วนเป็นของสวี่ชีอัน
หลังจากได้ฟังซ่งชิงตัวลอยล่อง กระโดดโลดเต้นอย่างตื่นเต้น ปรารถนาให้ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนทันที เพื่อที่เขาจะทำการเล่นแร่แปรธาตุอันยิ่งใหญ่
“คัมภีร์ลับช่างเป็นคัมภีร์ลับเสียจริง มีคัมภีร์เล่นแร่แปรธาตุโบราณเช่นนี้อยู่บนโลก ทว่าข้ากลับไม่เคยรู้” ซ่งชิงแผดเสียงกึกก้องอย่างฮึกเหิม
…
‘ตึงๆๆ…’
สวี่ชีอันสาวเท้าเดินไปที่แท่นบันไดของหอดูดาวอย่างรวดเร็ว ซ่อนอาวุธเวทมนตร์ไว้ที่หน้าอก นี่ไม่ใช่ของที่จะวัดกันได้ด้วยเงินทอง
“ข้าสามารถใช้หนึ่งในอาวุธเวทมนตร์แลกเป็นค่าตอบแทนในการเปิดประตูสวรรค์ที่ตลาดมืดได้…ทว่า ของเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ขาดไปไม่ได้…ของฟรีสมกับเป็นแหล่งน้ำพุแห่งความสุขตลอดกาลของมนุษย์จริงๆ…พรุ่งนี้จะไปหอคณิกาฟังบรรเลงเพลงเสียหน่อย”
เขาไม่ได้ต้องการเหรียญทองแดงของสำนักโหราจารย์ ทว่าของที่เขาได้รับเปลี่ยนเป็นก้อนเงินก็ทำให้อาสะใภ้ยอมศิโรราบได้ทุกนาที ยอมก้มหัวทำตามไม่กล้าถากถางเขาอีก
แลกเป็นตั๋วเงินทั้งหมด จากนั้นก็ตบใบหน้าสวยๆ ของอาสะใภ้แรงๆ…เมื่อคิดเช่นนี้สวี่ชีอันก็ยิ่งมีความสุข
“ข้ายืนอยู่ท่ามกลางสายลมกระโชก ปรารถนาจะลบล้างความโศกเศร้าไม่ขาดสาย ทอดมองท้องนภา เมฆเคลื่อนตัวเรี่ยราย ดาบในมือถามไถ่สวรรค์ผู้ใดคือวีรบุรุษ…” รอบด้านปราศจากผู้คน เขาขับร้องบทเพลงของภพก่อนด้วยจิตใจอันห้าวหาญ
เขาเจอกลุ่มคนแปลกหน้าตรงหัวมุม ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากันโดยบังเอิญ
…ช่างน่าอึดอัดเสียจริง! เสียงบรรเลงดังกังวานของสวี่ชีอันหยุดลง แล้วถอยไปอีกด้านด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ใต้แท่นบันไดมีคนอยู่สามคน คนกลางสวมชุดคลุมยาวสีคราม จอมผมขาวโพลน บุคลิกลุ่มลึก ใบหน้ารูปงาม สายตาประดุจบ่อน้ำลึกอันมืดมิด ตกตะกอนความขมขื่นที่ชะล้างไปตามกาลเวลา
เป็นคุณลุงผู้ทรงเสน่ห์ที่ทำให้สาวน้อยกรี๊ดกร๊าดได้
ด้านซ้ายเป็นชายหนุ่มพูดน้อย สายตามองไปข้างหน้าด้วยแววตาเอาจริงเอาจัง
ด้านขวาเป็นชายหนุ่มที่มุมปากยกขึ้นดูเหลาะแหละ แววตาเปี่ยมด้วยความชั่วร้าย บุคลิกอ่อนหวานที่เผยออกมาทำให้สวี่ชีอันอึดอัดใจ
ทว่าในแง่ของรูปโฉมงดงาม สวี่ชีอันเคยพบชายหนุ่มหน้าหวานผู้นี้มาก่อน ซึ่งยากจะพบเห็นบุรุษรูปงามที่มีรูปโฉมพอจะสู้กับเอ้อร์หลางของบ้านเขาได้
ยามที่ทั้งสามเฉียดผ่านข้างกายของสวี่ชีอัน ชายหนุ่มผู้มีบุคลิกอ่อนหวานก็ยิ้มเย้ยหยัน พร้อมเบนสายตาเหลือบมองเขา
ในชั่วพริบตาสวี่ชีอันรู้สึกว่าตนถูกบางอย่างที่น่ากลัวจ้องมองอยู่ เขากลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว หัวใจกลับเต้นแรงมากขึ้น
สวี่ชีอันราวกับยกภูเขาออกจากอกเมื่อรู้ว่าทั้งสามเดินขึ้นแท่นบันไดหายไปตรงหัวโค้ง
“เจ้าหนุ่มนั่นเหมือนจะดูแคลนข้าระคนกับเจตนาอันเป็นปฏิปักษ์ เนื้อเพลงบ้าระห่ำเกินไปงั้นหรือ”
อืม ต่อจากนี้ไปมีบางอย่างต้องระมัดระวัง จะพล่ามไร้สาระไม่ได้ โดยเฉพาะในที่สาธารณะ
ตัวอย่างเช่น ผืนฟ้ามิอาจปิดตาของข้าได้อีก แผ่นดินฝังกลบหัวใจของข้าไม่ได้ บรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะมลายสิ้น
หรือจะ มีความเสียสละและปณิธานอันยิ่งใหญ่ กล้าสอนเดือนตะวันให้เปลี่ยนวันใหม่
…
ซ่งชิงที่ได้รับรายงานจากศิษย์น้องว่ารออยู่ตรงปากบันไดชั้นเจ็ด เฝ้ารอคนทั้งสามที่มีหัวหน้าสวมชุดคลุมยาวสีคราม
ฉู่ไฉ่เวยแทะอ้อยอยู่อีกด้านของกำแพงด้านหลังอย่างไม่สนใจไยดี
ทั้งสามมาถึงชั้นเจ็ด ซ่งชิงคารวะ ‘เว่ยกง’
ชายวัยกลางคนผู้มีจอนผมขาวประปรายพยักหน้าเล็กน้อย
“เว่ยกง ท่านอาจารย์ดื่มสุราไปมาก กำลังงีบหลับ ขอให้ท่านโปรดสักชั่วครู่”
ชายหนุ่มที่ตีหน้าขรึมยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ ชายหนุ่มที่มีบุคลิกอ่อนหวานกลับขมวดคิ้ว
ชายวัยกลางคนรูปงามไม่ได้ใส่ใจเดินเข้าห้องน้ำชาไปกับซ่งชิง แล้วโพล่งออกมา “ยามที่ขึ้นตึกบังเอิญพบชายหนุ่มที่น่าสนใจผู้หนึ่ง ดูเหมือนจะไม่ใช่ศิษย์ของสำนักโหราจารย์”
ก่อนที่ฉู่ไฉ่เวยจะเอื้อนเอ่ยก็ถูกซ่งชิงห้ามด้วยสายตา แล้วหัวเราะร่า “เป็นเพียงสามัญชนต่ำต้อยผู้หนึ่ง ทว่าก็น่าสนใจทีเดียว”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกิตติศัพท์ฉาวโฉ่ประหนึ่งเสือร้ายในสายตาของเหล่าขุนนางบู๊และบุ๋นทั้งหลาย พวกเขาไม่ต้องการเหตุผล
ซ่งชิงไม่แน่ใจว่าสวี่ชีอันมีเจตนายั่วยุให้ขันทีที่มีอำนาจคับฟ้าผู้นี้ไม่พอใจหรือไม่
“น่าสนใจหรือ” ชายวัยกลางคนรูปงามยิ้มอย่างอ่อนโยน “น่าสนใจอย่างไร”
ซ่งชิงลังเลชั่วขณะ ก่อนจะแสดงความเห็น “ผู้มีพรสวรรค์ พรสวรรค์ของการเล่นแร่แปรธาตุ หากไม่ใช่เพราะเขาเดินบนเส้นทางบำเพ็ญตบะที่ผิดแล้วเทิดทูนสำนักโหราจารย์ คงจะมีชื่อของเขาอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์”
เขาไม่ได้พูดตรงข้ามกับความรู้สึก ขณะเดียวกันก็บอกเป็นนัยว่าสำนักโหราจารย์ให้ความสนใจสวี่ชีอันอยู่
ชายหนุ่มผู้มีบุคลิกอ่อนหวานยิ้มเยาะ
ใบหน้าของชายวัยกลางคนรูปงามประดับด้วยรอยยิ้ม แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
…
ณ จวนสกุลสวี่ ลานชั้นใน
อาสะใภ้พาสาวใช้ไม่กี่คนไปตัดผ้า วาดเส้น ยัดปุยฝ้าย เตรียมทำเสื้อกันหนาวให้ทุกคน
อากาศเย็นลงเรื่อยๆ อาสะใภ้จึงตั้งใจจะทำเสื้อกันหนาวเพิ่มให้ลูกๆ และสามี
ลวี่เอ๋อเย็บตะเข็บสุดท้ายเสร็จ ฟันเงินซี่เล็กกัดเส้นด้ายขาด แล้วจ้องมองดอกบัวที่เย็บปักอย่างประณีตแต่ละดอก พลางคิดว่าพี่หลิงอินสวมใส่จะต้องงดงามเป็นแน่
“ฮูหยิน เมื่อวานข้าไปหาต้าหลาง พบว่าเขาไม่มีเสื้อกันหนาว ยังคงสวมเสื้อของฤดูใบไม้ร่วงอยู่เลยเจ้าค่ะ” ลวี่เอ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
อาสะใภ้ชายตามองสาวใช้ประจำตัว แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าอยากจะพูดอะไร”
ลวี่เอ๋อก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา “ทำให้ต้าหลางสักตัวเถิดเจ้าค่ะ”
“เหลวไหล!” อาสะใภ้เอ่ยเสียงฮึดฮัด “เจ้าเด็กเหลือขอนั่น สบโอกาสก็ยั่วโทสะข้า จะให้ข้าทำเสื้อให้เขา ไม่มีทางเสียหรอก”
เหล่าสาวใช้ทำงานกันอย่างเงียบๆ ทำเป็นไม่ได้ยิน
“มากินข้าวที่บ้านทุกวันก็ไม่รู้จักชดเชยค่าใช้จ่ายในครอบครัวสักน้อย”
“เงินเดือนของต้าหลางก็ให้ที่บ้านแล้วมิใช่หรือ” ลวี่เอ๋อพึมพำ
“ปริมาณอาหารในแต่ละวันของเขาก็เพียงพอแค่สำหรับตนเอง” อาสะใภ้กลอกตาขาวขึ้นอย่างแรง
หลานชายผู้โชคร้าย เดิมคิดว่าเขาช่วยชีวิตคนในครอบครัว ปรับปรุงความสัมพันธ์กับเขาเสียหน่อยก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทว่าเจ้าเด็กเหลือขอสบโอกาสพูดจาทิ่มแทงนาง จงใจหาเรื่องนาง
‘หมาป่าเดินทางพันลี้เพื่อกินเนื้อ สุนัขเดินทางพันลี้เพื่อกินอุจจาระ[2] อาจารย์กล่าวไม่ผิดแม้แต่น้อย’
พ่อบ้านวิ่งมาอย่างเร่งรีบ ก่อนจะหยุดอยู่นอกลานพร้อมตะโกนบอก “ฮูหยิน นายท่านกลับมาแล้วขอรับ”
………………………………………
[1] ด่านซานไห่ (山海关) หมายถึงด่านภูเขาทะเล เป็นป้อมประตูหนึ่งของกำแพงเมืองจีน ซึ่งเป็นด่านของกำแพงเมืองจีนเพียงด่านเดียวที่อยู่ติดทะเล และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่ป้องกันกรุงปักกิ่งจากทางทิศเหนือ ด่านแห่งนี้มีคำกล่าวว่าเป็น ‘ด่านที่หนึ่งในใต้หล้า’
[2] หมาป่าเดินทางพันลี้เพื่อกินเนื้อ สุนัขเดินทางพันลี้เพื่อกินอุจจาระ มีความหมายตรงกับสำนวน สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก ซึ่งหมายถึง สิ่งที่คนเราประพฤติปฏิบัติจนเคยชินติดเป็นนิสัยนั้นยากเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงและแก้ไขได้