กฎหลักของบทกวีคือการใช้เสียงวรรณยุกต์ผิงเจ้อ[1]
ตราบใดที่จุดนี้ไม่เปลี่ยน แม้ว่าจะอยู่อีกโลกหนึ่ง แต่การศึกษาภาคบังคับเก้าปีของสวี่ชีอันก็ยังคงมีประโยชน์
สวี่ซินเหนียนเหลือบมองเขา เชิดคางขึ้น “บนท้องฟ้ามีนก บนผืนดินมีแมลง เมื่อนกกระพือปีกลงมา แมลงก็จะจากไป”
“เฮ้อ…” สวี่หลิงเยวี่ยปิดปากหัวเราะเบาๆ แต่ถูกสวี่ชีอันจ้องเขม็ง นางจึงก้มหน้าลงด้วยใบหน้าแดงก่ำ
…ปากร้ายนัก ข้าอยากตีเขาเสียจริง มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก นี่คือบทกวีที่เจ้าของร่างเดิมเขียนตอนอายุสิบปี คนที่ให้ความรู้แก่สามพี่น้องบ้านสกุลสวี่ในสมัยนั้นก็คือพ่อของอาสะใภ้ ท่านตาที่เป็นซิ่วไฉท่านนั้น
ครั้งหนึ่งท่านตาซิ่วไฉทดสอบบทกวีของพวกเขา ดังนั้นบทกวีที่ยอดเยี่ยมบทนี้จึงเกิดขึ้น
อาสะใภ้เยาะเย้ย “หนิงเยี่ยน อาไม่ได้ดูถูกเจ้าหรอกหนา บ้านสกุลสวี่ให้กำเนิดเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาอย่างเหนียนเอ้อร์ออกมา คำของพวกเจ้าอาหลานก็เหมือนกับแมลงคลาน[2]”
“แค่คำก็ยังเขียนได้ไม่ดียังคิดจะเขียนบทกวีอีก” ท่าทางที่อาสะใภ้เหยียดริมฝีปากและกลอกตาดูมีเสน่ห์มาก
อารองอับอายเล็กน้อยจึงกระแอมทีหนึ่ง “หนิงเยี่ยน อย่าไปยุ่งเรื่องของคนเรียนหนังสือเลย วันนี้วันหยุด พวกเราอาหลานไปช่วยกันที่ลานดีหรือไม่”
ความหมายก็คือ ‘เจ้าอย่าไปคอยประสมโรงเลย เจ้าไม่รู้เรื่องของคนเรียนหนังสือ ตัวเองเสียหน้าไม่พอยังทำให้ข้าติดร่างแหถูกภรรยาเยาะเย้ยอีก’
“เมฆสีเหลืองนับพันลี้ท่ามกลางพระอาทิตย์ตก” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างแผ่วเบา
อาสะใภ้กลอกตาและก้มหน้ากินโจ๊ก
อารองสวี่เช็ดคราบมันที่มุมปากให้เด็กหญิง
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว เพียงแค่ประโยคเดียวยังฟังไม่ออกว่าคืออะไร แต่สวี่ชีอันสามารถเขียนบทกวีแบบเจ็ดคำสี่วรรคที่ประณีตเช่นนี้ออกมาได้ก็เกินคาดมากแล้ว
“ลมเหนือพัดพาห่านป่าไปนำหิมะมา”
สวี่ซินเหนียนชะงักไปครู่หนึ่ง ภาพผุดขึ้นมาเองในความคิดอย่างไม่ได้ตั้งใจ
สวี่หลิงเยวี่ยเงยหน้าขึ้น ดวงตาแสนสวยที่มีไหวพริบมองญาติผู้พี่อย่างประหลาดใจ
สวี่ชีอันก้มหน้ากินโจ๊ก ไม่พูดอะไรต่อ
“แล้วต่อจากนั้นล่ะ ต่อจากนั้นล่ะ” สวี่ซินเหนียนไต่ถามทันใด ความรู้สึกเหมือนได้ยินนักเล่าเรื่องเล่าเรื่องที่โรงน้ำชา กล่าวถึงสถานที่แสนวิเศษและจู่ๆ ก็ตบไม้ปลุกสติ ‘คาดการณ์ว่าเรื่องหลังจากนั้นเป็นอย่างไร โปรดติดตามฟังตอนต่อไป’ ทำให้โกรธจนอยากจะตีใครสักคน
“ข้าเขียนบทกวีไม่เป็น” สวี่ชีอันเหลือบมองอาสะใภ้อย่างสบายๆ เขาเพียงแค่รู้สึกว่าวันนี้อาสะใภ้สง่างามและสวยเป็นพิเศษเท่านั้น ไม่ได้มีคำใบ้ที่จะให้นางขอโทษอยู่ในนั้นเลย
อาสะใภ้เบิกดวงตาอันกลมโตของนางกว้างและหันไปถามลูกชาย “บทกวีนี้ดีมากหรือ”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยอย่างอ่อนโยน “มีท่วงทำนองยิ่งนัก!”
แม้ว่าการท่องหนังสือของนางจะยังมีข้อจำกัด แต่นางก็ฟังสองประโยคแรกออกว่าเป็นบทกวีเจ็ดคำที่ยอดเยี่ยม
เมื่อเห็นท่าทีของบุตรสาวและบุตรชาย สวี่ผิงจื้อก็ตกตะลึงและจ้องสวี่ชีอันตาไม่กะพริบ ในดวงตามีทั้งความแปลกใจและความคาดหวัง
“ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน!” สวี่ชีอันเคี้ยวปาท่องโก๋แล้วโพล่งสองประโยคหลังออกมา
‘แกร๊กๆ’… ตะเกียบในมือของสวี่เอ้อร์หลางตกลงบนโต๊ะ
“ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน…” เขาพึมพำกับตัวเองและจมอยู่ในอารมณ์ทางศิลปะอย่างไม่อาจถอนตัวได้
สวี่หลิงเยวี่ยตัวสั่น ขนที่หลังมือลุกชัน
สวี่ผิงจื้อเบ้ปาก “ให้ตายเถอะ เหตุใดจึงฟังดูขนพองสยองเกล้านัก”
อาสะใภ้ขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของสามี
นี่คือพลังของบทกวี เป็นการเขย่าขวัญทางจิตวิญญาณ แม้แต่คนที่เขียนบทกวีไม่ได้และไม่รู้กฎเสียงวรรณยุกต์ผิงเจ้อ แต่เมื่อได้อ่านผลงานชิ้นเอกที่สืบทอดมาแต่โบราณก็ยังรู้สึกชาไปทั้งศีรษะอย่างไม่อาจควบคุมได้
ความรู้สึกแบบนี้เมื่อก่อนตอนสวี่ชีอันเรียนก็มักจะสั่นสะท้านกับผลงานชิ้นเอกที่สืบทอดมาแต่โบราณในหนังสือเรียนวรรณคดีและภาษา
“เมฆสีเหลืองนับพันลี้ท่ามกลางพระอาทิตย์ตก ลมเหนือพัดพาห่านป่าไปนำหิมะมา ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน”
สวี่ซินเหนียนอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นเป็นครั้งที่สองทำให้เขาดูสง่างามและโดดเด่นมากกว่าเดิม…ฉอเลาะยิ่ง
มันคือผลงานชิ้นเอก!
แม้ว่าเขาจะไม่เก่งด้านบทกวี แต่ในฐานะที่เป็นพวกคงแก่เรียนผู้ไม่โหยหาในบทกวี เมื่อได้ยินบทกวีดีๆ ก็อดไม่ได้ที่จะร้องตามจังหวะ เลือดในกายเดือดพล่าน
“เจ้า…เขียนบทกวีเป็นตั้งแต่เมื่อใด” สายตาของสวี่ซินเหนียนจับจ้องอยู่ที่สวี่ชีอัน ดวงตาเป็นประกาย สั่นสะท้านและสงสัย
“ข้าบอกเมื่อใดว่าข้าเขียนบทกวีไม่เป็น” สวี่ชีอันหัวเราะ “บทกวีที่เขียนขึ้นเมื่อเปิดปัญญาสามารถแทนปัจจุบันขณะได้หรือ ข้ามีพรสวรรค์ด้านบทกวีมาโดยตลอด เพียงแค่ไม่แสดงออกมาเท่านั้นเอง”
“ที่แท้หนิงเยี่ยนก็เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาของบ้านสกุลสวี่ของพวกเรา” อารองสวี่รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและยิ้มอย่างสดใส “หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ก็คงให้เจ้าเรียนหนังสือ เลิกเรียนศิลปะการต่อสู้”
อาสะใภ้ไม่พอใจ นางอ้าปากค้าง แต่ก็ไม่อาจพูดโต้แย้งได้อย่างเต็มปาก
ไม่ หากเป็นเช่นนั้นวรรณกรรมข้าก็เขียนไม่ได้ ศิลปะการต่อสู้ก็ไม่เป็น…สวี่ชีอันรู้ดีว่าเจ้าของร่างเดิมเป็นคนไม่กระตือรือร้น เรียนหนังสือไปก็เสียเวลา ลาออกไปทำงานก่อสร้างยังจะดีกว่า
สวี่ซินเหนียนก็ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกวรยุทธ์ หวังจะให้หนุ่มหล่อที่ผิวเนียนนุ่มออกกำลังกายเพื่อฝึกฝนร่างกายหรือ
“แต่นี่เป็นบทกวีที่หนิงเยี่ยนเขียน แค่ฟังก็พอแล้ว ฉือจิ้ว เจ้าไม่อาจเอาไปเป็นของตัวเองได้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คงแก่เรียนควรกระทำ” อารองสวี่กล่าว
สวี่ซินเหนียนร้อง ‘อืม’ ออกมา ไม่ใส่ใจจะตอบกลับพ่อของเขาว่าเขาดูเป็นคนแบบนั้นหรือ และหันไปพูดกับสวี่ชีอัน “บทกวีบทนี้ข้าขอยืมไปใช้ ข้าจะอธิบายว่าคนที่เขียนบทกวีคือเจ้า”
ข้าเองนั่นแหละที่จะตาย…สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย “ไปเถอะ เอามันไปวางมาด…แสดงความสามารถ”
แน่นอนว่าเรื่องของผู้คงแก่เรียนคือการแสดงความสามารถ
บทกวีบทนี้เดิมทีก็วางแผนจะมอบให้สวี่ซินเหนียนใช้เพื่อสานสัมพันธ์อยู่แล้ว เขาไม่ได้สนใจจริงๆ ว่าใครจะลงนาม
เขาไม่ใช่กลุ่มนักปราชญ์ขงจื๊อ บทกวีมีผลต่อเขาเล็กน้อยจริงๆ นี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้ใช้บทกวีเพื่อแสดงความสามารถมาตลอดหนึ่งเดือน
ด้วยสภาพแวดล้อมไม่อำนวย
เขาอยู่กับมือปราบที่เน่าเหม็นกลุ่มหนึ่งตลอดทั้งวัน คิดจะท่องบทกวีให้พวกเขาฟัง สอนพวกเขาร้องเพลงไม้ที่ใช้คล้องม้ายังจะดีกว่า
“ชื่อบทกวีล่ะ” สวี่ซินเหนียนถาม
…ข้าลืมไปแล้ว ใบหน้าของสวี่ชีอันแข็งค้าง “บทกวีบทนี้ข้าแต่งขึ้นจากความรู้สึกจึงยังไม่มีชื่อ เจ้าก็ลองคิดดู”
…
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ สวี่ซินเหนียนก็จูงม้าสุดรักของพ่อออกจากลานด้านหลังและรีบควบไป อาหลานสองคนแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่ที่ลานและถามไถ่พอเป็นพิธี
“ไม่เลว ทักษะมีความก้าวหน้าแล้ว หากอยากก้าวไปอีกขั้นก็มีเพียงก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณเท่านั้น เพียงแต่พลังปราณต้องการการเหนี่ยวนำระหว่างสวรรค์กับโลกจึงจะบังเกิด” อารองสวี่หยิบผ้าเช็ดเหงื่อที่คนใช้ยื่นให้มาเช็ดแก้ม “นอกจากอาบน้ำยาแล้วยังต้องมียอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณเปิดประตูสวรรค์ให้เจ้าอีก ไม่เช่นนั้นจวบจนบั้นปลายของชีวิตเจ้าก็ไม่อาจก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณได้”
ระดับหลอมวิญญาณคือระดับที่เจ็ดของเส้นทางของทหาร
“อารอง ท่านอยากจะพูดสิ่งใด” สวี่ชีอันเช็ดเหงื่อ
“ข้าฝ่าอันตรายในสงครามซานไห่จึงมีความดีความชอบในการสู้รบสั่งสมไว้ แลกกับให้ยอดฝีมือในกองทัพเปิดประตูสวรรค์ให้ข้า จึงก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณ” อารองสวี่ถอนหายใจ “กลับบ้านปีที่สองก็มีซินเหนียน”
“ตอนนี้โลกยังสงบสุข เจ้าไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะสั่งสมความดีความชอบในการสู้รบ จะหลอมปราณได้อย่างไร หากไม่หลอมปราณ เจ้าจะไม่ลงหลักปักฐานมีครอบครัวหรือ หนิงเยี่ยน อารองก็อายุมากแล้ว ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของข้าก็คือเห็นเจ้าแต่งงานมีบุตรเพื่อที่ข้าจะได้ไม่ทำให้พ่อของเจ้าที่ตายไปผิดหวัง”
“ค่อยเป็นค่อยไปเถิด” สวี่ชีอันพูดเป็นพิธี
นอกจากการสั่งสมผลงาน ยังมีวิธีเลื่อนขั้นวิธีอื่นอีก นั่นก็คือใช้เงิน
ใบสั่งยากับยอดฝีมือล้วนแก้ไขได้ด้วยเงิน
วีรบุรุษมักใช้กำลังเพื่อละเมิดกฎหมาย ดังนั้นราชสำนักจึงควบคุมจำนวนทหารอย่างเข้มงวดและกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่ายอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณห้ามเปิดประตูสวรรค์ให้ผู้ใดเป็นการส่วนตัว หากต้องการเปิดประตูสวรรค์ให้ลูกหลานในครอบครัว จำเป็นต้องรายงานให้ทางราชการทราบก่อน
อย่างไรก็ตาม ระบบราชการของต้าฟ่งทุกวันนี้แย่มาก เจ้าหน้าที่ทุจริตอาละวาด ความทรงเกียรติของราชสำนักก็ค่อยๆ ลดลง แม้จะไม่กล้าฝ่าฝืนกฎหมายอย่างเปิดเผย แต่ก็ยังมียอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณไม่น้อยมองหาคู่ค้าในตลาดมืด
สวี่ชีอันทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน เพราะเขามีความคิดที่จะใช้เงินแทนผลงาน
ไม่อย่างนั้นเขาคงติดอยู่ที่ระดับหลอมจิตไปตลอดกาล แล้วแท่งเหล็กที่ติดตัวมานี้จะไปมีประโยชน์อะไร
อาสะใภ้พาลูกสาวสองคนเดินเข้ามา ยืนอยู่ใต้ชายคาตรงทางเดินและตะโกนว่า “ท่านพี่ แดดแรงแล้ว ท่านพาหลิงอินกับหลิงเยวี่ยออกไปเดินเล่นที”
อารองสวี่ขมวดคิ้ว “ข้ามีธุระ”
“วันนี้ไม่ใช่วันหยุดหรือ”
“ข้านัดดื่มเหล้ากับเพื่อนร่วมงานไว้ อีกประเดี๋ยวก็ไปแล้ว เช่นนั้นให้หนิงเยี่ยนพาพวกนางออกไปเดินเล่นเถอะ”
หญิงสาวที่เติบโตในตระกูลวรรณกรรมมักจะถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องส่วนตัว ไม่อาจออกไปเดินเล่นตามใจชอบได้
บ้านสกุลสวี่เป็นครอบครัวผู้บัญชาการทหาร จึงไม่ได้เลี้ยงดูอย่างเข้มงวดมากนัก
สวี่ชีอันหันกลับไปทันเวลาที่จะพบกับดวงตาอันสดใสและเปล่งประกายของสาวน้อยอายุสิบหกพอดี สาวน้อยที่หน้าตาสวยสดงดงามเม้มริมฝีปาก นางเขินอายจึงก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ข้าไม่มีอะไรทำพอดี” สวี่ชีอันพยักหน้า
เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่ข้าอายุสิบแปดพาน้องสาวอายุสิบหกปีออกไปเดินเล่นช่างเป็น ‘ช่วงเวลาที่งดงาม’ แน่นอนว่าน้องสาวในตอนนั้นไม่อาจเทียบกับสวี่หลิงเยวี่ยได้เลย
…………………………………………………
[1] วรรณยุกต์ผิงเจ้อ เป็นเสียงวรรณยุกต์ของคำที่ใช้ในกวีนิพนธ์จีน
[2] แมลงคลาน สำนวนจีน หมายถึง อักขระที่เขียนได้ไม่ดี ไม่เป็นรูปเป็นร่าง