“ประการที่สาม เหตุใดที่ว่าการอำเภอถึงยืนยันว่าพวกเจ้าเป็นคนฆ่าจางโหย่วรุ่ยแทนที่จะเป็นขโมย ลากศพของจางโหย่วรุ่ยไปไว้ในลานบ้านแล้วแสร้งว่าเป็นฝีมือของโจร ฉลาดมาก แต่พวกเจ้าพลาดไปหนึ่งสิ่ง ตอนที่จางโหย่วรุ่ยตาย ศพนอนอยู่ที่ลานบ้าน เท้าหันไปในบ้าน หัวหันไปด้านนอก บาดแผลถึงแก่ความตายอยู่หลังศีรษะ หมายความว่าคนร้ายลงมือจากด้านหลังแล้วใช้อาวุธไม่มีคมตีเขา นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร หากคนร้ายเป็นโจรเล่าก็ เมื่อเห็นเจ้าของบ้านกลับมา เหตุใดไม่อยู่นิ่งๆ หรือล่าถอย แต่กลับตั้งใจลงมือฆ่าคนตายแล้วกลับไปมือเปล่า”
หยางเจินเจินตะลึงงันไปแล้ว นางคิดไม่ถึงว่าจะมีพิรุธมากมายขนาดนี้
คำพูดของสวี่ชีอันโจมตีนางอย่างหนัก ทำให้นางรู้สึกว่าทุกสิ่งที่ตนกระทำถูกแผ่กางอยู่กลางแดดจ้าตอนกลางวันแสกๆ มานานแล้ว ไร้หนทางปกปิด
ความตื่นตระหนกแทบจะเข้าครอบงำนาง
“ไม่มีอะไรจะพูดแล้วสินะ จางเซี่ยนก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงเปิดโปงเจ้า เขายังพูดด้วยว่าเป็นเจ้าเองที่ยั่วยวนเขาอย่างหน้าไม่อาย เดิมเขาก็ไม่อยากพัวพันกับเจ้าอีกต่อไป แต่เจ้ายกเด็กในท้องมาขู่เขา บีบบังคับเขา เย็นวันนั้น ก็เป็นเจ้าที่ฉวยโอกาสยามวุ่นวายสังหารจางโหย่วรุ่ย จางเซี่ยนเป็นเหยื่อบริสุทธิ์ เขารู้ว่ามีพิรุธมากมายยากจะหนีพ้น จึงสารภาพผิดกับท่านนายอำเภอ ยินดีมอบเงินห้าร้อยตำลึงเงินเพื่อตัดความสัมพันธ์แล้วโยนความผิดมาไว้ที่หัวของเจ้า ให้เจ้าแบกรับความผิดฐานฆ่าสามีแต่เพียงผู้เดียว”
หยางเจินเจินยิ่งฟังยิ่งหวาดกลัว สีหน้ายิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากรู้ว่าจางเซี่ยนขายตนไปแล้ว ใบหน้างามล้ำก็ซีดขาว ไม่มีแม้แต่สีเลือด
“จางเซี่ยนเป็นคนเช่นไร เจ้ารู้ดีกว่าผู้ใด” สวี่ชีอันจงใจพูดเช่นนี้
จางเซี่ยนเป็นคนแบบไหนสวี่ชีอันไม่รู้ เขาเพียงแต่ไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ไร้รักที่มีแต่ตัณหาเช่นนี้จะเชื่อถือได้
อีกอย่างจางเซี่ยนก็เป็นทายาทเศรษฐี บ้านมีทรัพย์สมบัติ ทั้งยังอายุน้อย สิ่งที่รอคอยเขาอยู่คือมหาสมุทรผืนใหญ่ที่มีกลิ่นอายของโอกาสอยู่ทั่วทุกหนแห่ง แล้วไยต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งเล่า
หยางเจินเจินหมดหวังแล้ว
“แต่ว่า” สวี่ชีอันค่อยๆ โน้มน้าว “ท่านนายอำเภอนั้นยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม…หมายความว่าเขาโปร่งใสยุติธรรม เขาไม่เชื่อคำพูดข้างเดียวของจางเซี่ยนจึงสั่งให้ข้ามาสอบถาม ถ้าหากเจ้ายอมรับผิด ท่านนายอำเภอรับปากว่าจะละโทษตายให้เจ้า”
หยางเจินเจินพลันเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาเอ่อคลอเต็มหน่วย นางเอ่ยอย่างเศร้าโศกราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตเอาไว้ได้ “จริงเหรอ”
สวี่ชีอันพยักหน้า “เรื่องจริง”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดจิตใจของหยางเจินเจินก็สั่นคลอน สวี่ชีอันก็รีบเปิดประตูให้เสมียนศาลที่รออยู่หน้าประตูเข้ามาจดบันทึกทันที
แนวปราการในใจของหยางเจินเจินถูกทำลายแล้ว นางเล่าความจริงออกมาละเอียดยิบ
แต่ก็คลาดเคลื่อนกับสิ่งที่สวี่ชีอันพูดมาเมื่อครู่เล็กน้อย เรื่องของหยางเจินเจินกับจางเซี่ยนสรุปออกมาแล้วก็ไม่พ้นเปลี่ยนจาก ‘ลูกเลี้ยง โปรดเคารพตัวเองด้วยเถิด’ เป็น ‘ไอ้ผีระยำ แกหาว่าข้าแก่เหรอ’
ดั่งที่ว่า ‘คบชู้สุขใจชั่วครู่ แต่ทั้งบ้านไฟลุกท่วม’ หลังจากเกิดเรื่องคืนนั้น สองพ่อลูกก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน จางเซี่ยนพลาดทำแจกันหลุดมือไปตีหัวบิดาตาย
เพื่อปกปิดความผิด ตามคำสารภาพของหยางเจินเจิน พวกเขาจึงแสร้งว่าเป็นโจรก่อเหตุ
น่าเสียดายที่ทั้งสองเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่ใช่มืออาชีพ จึงมีช่องโหว่มากเกินไป ไหนจะมาเจอกับตัวโกงเกมอย่างสวี่ชีอันอีก
เมื่อลงบันทึกเรียบร้อย สวี่ชีอันและเสมียนศาลก็ออกมาจากห้องขัง
เสมียนศาลชราทำงานอยู่ในที่ว่าการอำเภอมายี่สิบกว่าปีแล้ว เขาถูกการแสดงออกของสวี่ชีอันทำให้เลื่อมใส “จากกันสามวันต้องกะพริบตามองใหม่ ชายแก่อย่างข้าทำงานในที่ว่าการอำเภอมาครึ่งชีวิตยังไม่เคยพบเคยเจอวิธีการสอบสวนอย่างเจ้ามาก่อน”
การใช้ความลำบากใจของนักโทษถือเป็นกลยุทธ์พื้นฐานอยู่แล้ว…พวกเจ้าคนโบราณนี่แหละที่เป็นกระต่ายตื่นตูมไปเอง สวี่ชีอันโบกมือ “ฝีมือข้าต่ำต้อยนัก”
เขาเลือกทะลวงไปทางหยางเจินเจิน เป็นการเอาเปรียบนางที่ไม่รู้กฎหมาย ‘ไว้ผมยาวความรู้สั้น’ นำมาใช้บรรยายถึงผู้หญิงในสมัยนี้ได้เหมาะสมที่สุด
ครู่ก่อนตอนที่ศาลสอบปากคำ สวี่ชีอันสังเกตอยู่นานก็พบว่านิสัยของหยางเจินเจินนั้นอ่อนแอ ไม่มีความคิดอ่าน ดังนั้นจึงมีความคิดนี้ขึ้นมา
เมื่อครู่เขาหลอกหยางเจินเจิน ตามกฎหมายของต้าฟ่งแล้ว การร่วมประเวณีสมคบกันสังหารสามี ฝ่ายหญิงจะถูกแล่เนื้อเถือหนังจนตาย ชายชู้จะถูกตัดหัวประจาน ไม่อาจละเว้นโทษประหารได้
ในกรณีนี้ผู้ที่มีความผิดฐานฆาตกรรมคือจางเซี่ยน โทษสังหารบิดาก็คือแล่เนื้อเถือหนังเช่นกัน สวี่ชีอันไม่มีความเห็นว่าสัตว์เดรัจฉานที่ฆ่าพ่อตัวเองจะได้ตายอย่างไร เขาเพียงคิดว่าหยางเจินเจินเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด มีโทษไม่ถึงตาย
ประเด็นนี้ขัดแย้งกับกฎหมายที่เขาได้รับการปลูกฝังมาเมื่อชาติก่อน
ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีกฎเกณฑ์ของมัน ทำตามกระแสส่วนใหญ่ถึงจะเป็นหนทางอยู่รอด สวี่ชีอันบอกตัวเองในใจ
เมื่อเห็นคำสารภาพของหยางเจินเจิน จางเซี่ยนก็รับมือไม่ทัน เขาไม่อาจเล่นลิ้นได้อีกแล้ว จึงสารภาพผิดอย่างสิ้นหวัง
สวี่ชีอันถือคำสารภาพทั้งสองฉบับไปยังโถงด้านใน
นายอำเภอจูมือซ้ายถือถ้วยชา มือขวาถือม้วนตำราก้มหน้าอ่าน พอเห็นสวี่ชีอันเข้ามา เขาก็วางทั้งตำราและชาลงไป “เป็นอย่างไร”
สวี่ชีอันวางคำสารภาพทั้งสองฉบับไว้บนโต๊ะ “สำเร็จลุล่วงขอรับ”
นายอำเภอจูรีบคว้าคำสารภาพทันที หลังจากอ่านจนละเอียดแล้วก็โยนกระดาษ ก่อนตบโต๊ะด้วยความโมโห “สารเลว พวกสารเลวเอ๊ย”
เหล่าจูรู้สึกว่าปรัชญาสามทัศน์อย่างคนมีการศึกษาของเขาถูกท้าทายแล้ว
หลังจากโมโหเสร็จ เขาก็มองไปที่สวี่ชีอันอีกครั้ง ความประทับใจที่มีต่อเจ้าหนุ่มนี่ดีอย่างที่สุด
“หนิงเยี่ยน ขุนนางผู้นี้จะจดจำคุณงามความดีของเจ้า ทำได้ดีมาก”
“ล้วนเป็นเพราะใต้เท้าสั่งสอนได้ดี ข้าน้อยได้เห็นได้ยินอยู่เป็นประจำจึงเรียนรู้กลอุบายมาเล็กน้อยขอรับ” สวี่ชีอันพูดอวยยกใหญ่ออกไป
ท่าทางของนายอำเภอจูมีความสุขมาก
…
เมื่อพ้นต้นยามเซิน (เวลา 15.00 – 16.59 น.) หัวหน้ามือปราบหวังก็บอกว่าจะเลี้ยงสุรา แล้วพามือปราบชั้นแนวหน้าแปดคนไปยังร้านเหล้า
มาตรฐานค่าเงินคงที่ หนึ่งตำลึงเงินก็สามารถจองอาหารค่ำเต็มโต๊ะที่เหลาขนาดใหญ่ได้แล้ว นับประสาอะไรกับร้านเหล้า
เพราะการสืบสวนอันยอดเยี่ยมและการสอบปากคำที่ชวนให้คนตบโต๊ะชมเปาะ สวี่ชีอันจึงกลายเป็นดาวเด่น แม้แต่หัวหน้ามือปราบหวังก็ยังขอคำชี้แนะเรื่องกระบวนการสอบสวนกับเขา
“ผู้หญิงคนนั้นมีนิสัยอ่อนแอ ทนความตกใจไม่ไหว อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” สวี่ชีอันเชี่ยวชาญแล้ว เขาไม่โอ้อวดตัวเองและไม่ต่อต้านฝูงชน แต่หัวหน้ามือปราบหวังและพวกเพื่อนร่วมงานได้ยินแล้วสมใจยิ่ง รู้สึกว่าได้เปิดประตูสู่โลกใบใหม่ จึงรินเหล้าให้สวี่ชีอันอย่างกระตือรือร้น
ดื่มไปสามรอบ หัวข้อสนทนาระหว่างใต้เท้าทั้งหลายก็เปลี่ยนไปเป็นสถานที่ประเภทหอนางโลมและหอคณิกาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เรื่องในด้านนี้หัวหน้ามือปราบหวังจึงกลายเป็นตัวเด่นแทน เขาตบบ่าของสวี่ชีอัน “หนิงเยี่ยน วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปหาความสุขที่หอนางโลม ให้เจ้าได้เริ่มกินเนื้อ”
ทุกคนหัวเราะคลุมเครือขึ้นมา พวกเขาต่างก็รู้ว่าสวี่ชีอันยังเป็นไก่อ่อน
“หัวหน้าเลี้ยงหรือขอรับ”
“หลายตำลึงเงินเชียวนะ” หัวหน้ามือปราบหวังปฏิเสธ
ไม่เลี้ยง…สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย”
หากทำลายพรหมจรรย์ ชีวิตนี้ข้าคงไปไม่ถึงขั้นหลอมปราณแล้ว
เมื่อพูดถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างหอนางโลม เนื้อหาจะแฝงความรู้ที่ค่อนข้างลึกซึ้งเอาไว้ สวี่ชีอันตั้งใจฟังแล้วสรุปในใจได้ว่า
หอคณิกาก็คือหอโสเภณีสำหรับชาวบ้านทั่วไป…หอนางโลมมีระดับมากกว่า กลุ่มลูกค้าจะเป็นคหบดีและเจ้าขุนมูลนาย…นี่มันไม่ใช่สถานที่ประเภท ‘ร้านตัดผม’ กับ ‘คลับเฮาส์’ หรอกเหรอ
ในราชวงศ์ต้าฟ่ง เมื่อพูดถึงวัฒนธรรมหอนางโลม ก็ไม่มีทางขาดสำนักสังคีต
“สาวๆ สำนักสังคีตงดงามมากจริงๆ” หัวหน้ามือปราบหวังเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวของนักโทษ ผิวเนื้อแต่ละคนนุ่มบางเสียจนเจียนจะคั้นน้ำออกมาได้”
“เมื่อต้นปีข้าเคยตามท่านรองหัวหน้านายอำเภอไปหาความสุขที่นั่น โชคดีได้เจอแม่นางฝูเซียง งดงามประดุจบุปผาจันทรา…” สีหน้าของหัวหน้ามือปราบหวังล่องลอย
“แม่นางฝูเซียงคือผู้ใด” เสียวหลี่เอ่ยถาม “หัวหน้า ท่านได้หลับนอนกับนางหรือไม่”
“ฝูเซียงคือยอดบุปผาของสำนักสังคีต คืนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะมีแขกอยู่แล้วล่ะก็ ข้าคงได้นอนกับนางไปแล้ว” หัวหน้ามือปราบหวังคุยโม้คำโต
“นอนหนึ่งคืนกี่ตำลึงเงินเหรอ” สวี่ชีอันหวั่นไหว
“สามสิบตำลึงเงิน”
สวี่ชีอันโยนถั่วหนึ่งกำมือใส่เขา “หัวหน้า กินถั่วเสียหน่อยเถอะ ดูท่าท่านคงเมาแล้ว”
สามสิบตำลึงเงินสามารถซื้อสาวน้อยดีๆ หลายคนมาให้ตนหาความสุขที่บ้านได้เลยนะ…ถุย รากเหง้าหนึ่งเดียวของมนุษยชาติที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็คือโก่งราคาของ
เสียสติน่ะสิถึงได้ไปนอนกับยอดบุปผาแห่งสำนักสังคีต
…………………………………………