ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 77 ข้าน้อยเฉินจิ้นหนาน

บทที่ 77 ข้าน้อยเฉินจิ้นหนาน

นักบวชผู้มีสมญานามเต๋าว่าจินเหลียนกล่าวอย่างเอ้อระเหย “ก่อนหน้านี้หลายวันข้าได้รับบาดเจ็บ ต้องซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงอย่างจนปัญญา สัญชาตญาณบอกข้าว่าจะพบกับคนที่สามารถช่วยข้าแก้ไขวิกฤตได้ ข้ารออยู่ข้างทางมานาน ในที่สุดเจ้าก็มา ถึงอย่างนั้น ข้าก็รู้เพียงแค่ว่าเจ้ามีดาวนำโชค แต่กลับไม่รู้ว่ารากฐานของมันอยู่ที่ใด ทว่าสตรีในรถม้าเมื่อตอนนั้น ภาพปราณโดดเด่นช่วงโชติและจิตวิญญาณที่สงวนไว้ ซึ่งหายากในโลกมนุษย์ เจ้ามอบสร้อยข้อมือให้กับนาง ต่อไปเจ้าทั้งสองจะมีวาสนาเกี่ยวพันกัน”

พูดมาเสียเป็นแบบแผน แต่กลับไม่มีประเด็นเลยสักนิด นี่มันไม่ใช่พวกร่างทรงต้มตุ๋นหรอกหรือ…สวี่ชีอันกล่าว “ท่านก็เลือกคนอื่นๆ อีกเจ็ดคนของพรรคฟ้าดินเหมือนอย่างที่เลือกข้าหรือ”

“ใช่”

“ข้าขอถามเหตุผลได้หรือไม่”

ครั้งนี้นักบวชเฒ่ายิ้มแล้ว “ได้สิ เพียงแต่เมื่อฟังคำพูดต่อไปนี้ของข้า เจ้าก็จะไม่มีทางให้ถอยแล้วหนา”

สวี่ชีอันครุ่นคิดข้อดีข้อเสียในใจอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็พยักหน้า “ท่านว่ามาเถิด”

นักบวชเฒ่าพยักหน้า “ทุกอย่างที่ข้าทำไปล้วนทำเพื่อช่วยเหลือนิกายปฐพี”

ช่วยเหลือนิกายปฐพี?

“เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกประหลาดหรือ นิกายปฐพีฝึกบำเพ็ญพลังบุญกุศล แต่ศิษย์น้องจื่อเหลียนผู้นั้นของข้ากลับอยากจะกำจัดเจ้า จึงสังหารนักโทษประหารที่มาทำการแลกเปลี่ยนแทนเจ้าผู้นั้น สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับปรัชญาการฝึกบำเพ็ญของนิกายปฐพีโดยสิ้นเชิง”

หมายเลขเก้าสังหารตัวแทนของข้าหรือ…ท่าทางของสวี่ชีอันยังปกติ แต่ความเย็นเฉียบกลับผุดขึ้นมาในใจ

เขาไม่รู้เรื่องขั้นตอนการแลกเปลี่ยนนัก เว่ยเยวียนไม่ได้อธิบาย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่ายังมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย

โชคดีที่ความคิดจิตใจไม่ได้มืดบอดเพราะสมบัติและทองคำ แล้วเลือกวิธีการที่รอบคอบที่สุด

ทั้งหลบเลี่ยงวิกฤตครั้งนี้และยังได้แสดงความภักดีอีกด้วย

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของนิกายปฐพี เจ้าจงจำไว้ว่าห้ามแพร่งพรายเป็นอันขาด” หลังจากนักบวชจินเหลียนเห็นสวี่ชีอันพยักหน้าแล้ว เขาก็ไม่ได้อธิบายในทันที แต่เงียบงันอยู่นานก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ผู้นำเต๋ายุคใหม่ของนิกายปฐพีตกสู่ทางมารแล้ว มันแทบจะส่งอิทธิพลต่อทุกคน มีเพียงคนในสำนักส่วนเล็กๆ ซึ่งรวมถึงตัวข้าด้วยเท่านั้นที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากผู้นำเต๋า และสิ่งที่ปกป้องพวกเราก็คือหนังสือปฐพี”

“ตกสู่ทางมารหรือ” สวี่ชีอันรู้สึกเหลือเชื่อ นิกายปฐพีบำเพ็ญบุญกุศล ในฐานะที่เป็นผู้นำของสำนักเต๋า ย่อมต้องมีคุณธรรมไร้ขอบเขต แม้จะออกจากสำนักมาเก็บเงินสักสองสามตำลึงคงไม่เกินไปนัก

แต่คนเช่นนี้ล้วนตกสู่ทางมาร…สังคมเยือกเย็นขนาดนี้เลยหรือ

“สำเร็จก็เป็นบุญ ล้มเหลวก็เป็นบุญเช่นกัน” นักบวชเต๋าจินเหลียนจ้องมองเปลวเทียนราวกับตกอยู่ในภวังค์

“ยามที่ศาสดาแห่งเต๋าก่อตั้งนิกายปฐพี เคยทิ้งพระบัญญัติเอาไว้ว่า ‘ทุกข์สุขไร้ประตูเปิดปิด สุดแท้แต่มนุษย์จะเรียกหา ผลของดีชั่ว ตามติดเป็นเงาตามตัว’ ”

พูดภาษาคนสิท่าน…สวี่ชีอันเอ่ยในใจ

“เจ้าคิดว่าช่วยคนหนึ่งชีวิตได้บุญกุศลหรือไม่” นักบวชเฒ่าจินเหลียนเอ่ยถาม

“แล้วไม่ใช่หรือ” สวี่ชีอันถามกลับ

“ถ้าหากเจ้าช่วยชีวิตคนชั่วช้าไม่น่าอภัยหนึ่งคนเล่า เดิมทีเขาควรจะประสบเคราะห์ร้าย แต่เป็นเพราะเจ้าช่วยเขาไว้ จึงมีชีวิตทำเรื่องชั่วช้าต่อไป” นักบวชเฒ่าจินเหลียนมองดูสวี่ชีอัน “นี่ยังเป็นการสร้างกุศลอยู่หรือไม่”

สวี่ชีอันเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนขมวดคิ้ว “ธรรมชาติของมนุษย์เปลี่ยนแปลงมากมาย แสงสว่างและความมืดผสมผสานกัน ไม่อาจละทิ้งแสงสว่างเพียงเพราะเจ้าเคยพบกับความดำมืดแล้วเกลียดชังโลกใบนี้ได้ ข้าไม่อาจตรวจสอบซักไซ้อดีตของผู้อื่นก่อนที่จะช่วยเหลือคนผู้นั้นได้หรอก นี่มันไม่สมเหตุสมผล”

นักบวชเฒ่ายืดเอวตัวตรงเงียบๆ แววตาแสดงความชื่นชม เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้ ข้าก็วางใจมอบหนังสือปฐพีให้เจ้าอย่างแท้จริงแล้ว อา คนธรรมดาปฏิบัติด้วยหลักการเช่นนี้ย่อมไม่ผิดอะไร แต่สำหรับพวกเราแล้ว นี่คือเหตุต้นผลกรรมที่น่ากลัวที่สุด ยิ่งสะสมบุญกุศลได้มากเท่าไหร่ เหตุต้นผลกรรมก็ยิ่งหนักเท่านั้น ผู้นำเต๋าสร้างบุณกุศลสะสมคุณธรรมมาทั้งชีวิต แต่เมื่อหกสิบปีก่อน เขาล้มเหลวในการก้าวข้ามความทุกข์ยาก เหตุต้นผลกรรมสะท้อนกลับ จึงตกสู่ทางมาร ดั่งคำกล่าวว่าสิ่งต่างๆ ล้วนต้องพลิกกลับ มันก็คือหลักการนี้เอง หากต้องการใช้ผลบุญพิสูจน์เต๋า ก็จะต้องยอมรับเหตุต้นผลกรรมที่เกี่ยวข้องกันให้ได้ ความคิดเดียวอาจกลายเป็นเซียน ความคิดเดียวอาจกลายเป็นมาร นี่คือโชคชะตาที่คนในนิกายปฐพีทุกคนล้วนไม่อาจหลุดพ้น”

ที่แท้นิกายปฐพียังมีความลับเช่นนี้อยู่ด้วย!

เวลาเช่นนี้ก็ต้องใช้ลัทธิขงจื๊อมาสอนพวกเจ้าแล้ว ‘ผู้เรียกตัวว่าสุภาพชน ควรเดินทางสายกลาง…เดินทางสุดโต่งย่อมไม่อาจเดินไปได้นาน’ …จู่ๆ สวี่ชีอันก็คิดถึงอะไรบางอย่างจนทำให้หน้าเปลี่ยนสี

ถ้าหากโชคดีในตัวข้ากับนิกายปฐพีมาจากแหล่งเดียวกัน เช่นนั้นข้าก็เสี่ยงจะตกสู่ทางสายมารใช่หรือไม่

เพราะว่ายังไม่ไว้วางใจนักบวชเฒ่าจินเหลียนอย่างสุดหัวใจ จึงฝืนไม่ถามออกไป

“แล้วสองนิกายสวรรค์กับมนุษย์ไม่ได้สนใจเลยหรือ” สวี่ชีอันฉวยโอกาสนี้ค้นหาข้อมูลวงใน “ถึงอย่างไรก็เป็นลัทธิเต๋าเหมือนกัน”

“นิกายปฐพีมีภัยแฝงคือการกลายเป็นมาร เจ้าคิดว่านิกายสวรรค์และมนุษย์สองนิกายที่มาจากลัทธิเต๋าเหมือนกันจะไม่มีภัยแฝงแบบเดียวกันหรือ” นักบวชจินเหลียนหัวเราะเยาะ “อีกอย่าง นี่เป็นเรื่องนิกายปฐพีของข้า เกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย จะให้พวกเขาเข้ามาวุ่นวายด้วยหรือ”

แล้วภัยแฝงของนิกายสวรรค์กับนิกายมนุษย์คืออะไรล่ะ…หกสิบปี พรรคฟ้าดินก็ปรากฏตัวขึ้นเมื่อหกสิบปีก่อนเช่นกัน เรื่องนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่สวี่ชีอันได้ตรวจสอบมา เขาเอ่ยถาม “เช่นนั้นท่านนักบวชก่อตั้งพรรคฟ้าดินก็เพื่อ…”

นักบวชจินเหลียนเอ่ยเสียงขรึม “ฆ่าผู้นำเต๋า ชะล้างสำนัก”

“ผู้นำเต๋าอยู่ระดับใดหรือ”

“ระดับสอง”

…เจ้ารีบเอากระจกคืนไปเลย ข้ามันหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่ต้องการอาหารเหลือ

นักบวชเฒ่าผู้มีใบหน้าล้ำลึกราวกับมองทะลุถึงความคิดในใจของสวี่ชีอัน เขายิ้มบางๆ พร้อมเอ่ยว่า

“ข้านักบวชเฒ่าฝึกบำเพ็ญมาหลายทศวรรษแล้ว ไม่มีความสามารถใหญ่หลวงใด แต่มองคนแม่นยำนัก ในพรรคฟ้าดินทั้งแปดคนรวมถึงเจ้าด้วยนั้นล้วนไม่ใช่สิ่งของในสระ[1]”

“พวกเจ้าล้วนมาจากทั่วทุกสารทิศ และจะได้พบกันสักวันหนึ่งในภายภาคหน้า เข้าร่วมพรรคฟ้าดินเร็วขึ้นหน่อยจะได้ผูกคำมั่นเป็นพันธมิตร ลดการบาดเจ็บล้มตายยามเกิดสงครามผู้กล้าในอนาคต”

จู่ๆ สวี่ชีอันที่เดิมทีต่อต้านการเข้าร่วมพรรคฟ้าดินอยู่เล็กน้อยก็เปลี่ยนใจ

ถ้าหากตามที่นักบวชเฒ่าพูดมา แต่ละคนในพรรคฟ้าดินล้วนเป็นอัจฉริยะ เป็นความภาคภูมิใจของสวรรค์ เช่นนั้นการที่ตนเข้าไปอยู่ในแวดวงนี้ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ในช่วงวิกฤต สิ่งนี้สามารถมีบทบาทสำคัญได้

“ได้!” สวี่ชีอันพยักหน้า

นักบวชเฒ่าพยักหน้าเล็กน้อย “มีเรื่องไหนที่อยากให้ช่วยก็สามารถขอความช่วยเหลือข้าผ่านทางหนังสือปฐพีได้ และสามารถขอความช่วยเหลือจากสมาชิกคนอื่นๆ ผ่านหนังสือปฐพีได้เช่นกัน ถ้าหากพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงจะคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นี่คือจุดประสงค์ของการก่อตั้งพรรคฟ้าดิน อีกอย่าง ผู้ถือครองหนังสือปฐพีจะใช้หมายเลขของหนังสือปฐพีเป็นนามแฝง”

นักบวชเฒ่ากล่าวจบก็กลายเป็นกลุ่มควันสีครามออกไปจากห้อง ลอยละล่องไปไกล

เทพเจ้าหยิน!

สวี่ชีอันนั่งอยู่ที่โต๊ะ รินชาหนึ่งถ้วยแล้วทบทวนบทสนทนาเมื่อครู่ในสมองซ้ำอีกรอบ

ดูจากปัจจุบัน ยอดฝีมือนิกายปฐพีท่านนี้ไม่ได้คิดร้ายอะไรต่อข้า…แต่เฒ่าเหรียญปากผี[2]ผู้นี้ล้ำลึกนัก ขว้างงูไม่พ้นคอ เจ้าไม่มีวันมองทะลุแผนการที่แท้จริงของพวกเขาได้หรอก…เขามอบกระจกให้ข้า ยืมมือของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาจัดการกับคนในนิกายเดียวกัน…จากนั้นคนหาปลาก็ได้ประโยชน์และกลายเป็นผู้ที่ได้กำไรมากที่สุด แค่อาศัยประเด็นนี้อย่างเดียวก็บอกชัดแล้วว่านักบวชเฒ่าคนนี้เป็นเฒ่าเหรียญปากผีผู้หนึ่ง

แต่ไม่กลัวหรอก สวี่ชีอันมีประสบการณ์ในด้านนี้เต็มเปี่ยม เขาคิดดีแล้วว่าจะเหลือทางรอดให้ตัวเองอย่างไร

ผู้ที่สามารถจัดการกับเฒ่าเหรียญปากผีได้ก็มีแต่เฒ่าเหรียญปากผีด้วยกันแล้ว

เว่ยเยวียน!

ขันทีใหญ่ผู้นี้มีความรู้กว้างขวาง สามารถบริหารประเทศได้ สามารถนำทัพได้ สามารถได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันให้ดำรงตำแหน่งนี้และควบคุมเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนได้อีก

แค่นี้ก็พอจะอธิบายได้แล้วว่าฝีมือของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา

“คิดจะผสานอยู่ในเมืองหลวง ข้าก็ต้องกอดขาใหญ่ขานี้เอาไว้…” หลังจากสวี่ชีอันตัดสินใจได้ก็ไม่ตื่นตระหนก

เขาหยิบชิ้นส่วน ‘หนังสือปฐพี’ บนโต๊ะขึ้นมา แล้วจมจิตสัมผัสลงไปในนั้น

ความโกลาหลแพร่กระจายอีกครั้ง โลกในกระจกตรงหน้ามีจุดแสงแปดดวงลอยขึ้นมาท่ามกลางความโกลาหลอันมืดมิด ดวงหนึ่งในนั้นส่องสว่างที่สุด

หมายเลขหก!

สวี่ชีอันไล่แตะจุดแสงจนสว่างจ้าทีละดวง จากนั้นก็ถอยออกมาจากโลกโกลาหล

เขาใช้นิ้วต่างปากกาแล้วเขียนลงบนกระจกว่า ‘สวัสดีทุกท่าน ข้าคือผู้มาใหม่ ฝากตัวด้วย’

ไม่มีใครตอบกลับอยู่นาน

กระอักกระอ่วนนิดหน่อย…สวี่ชีอันใส่ข้อความลงไปอีกครั้ง ‘ทุกท่าน ข้าน้อยเฉินจิ้นหนาน โปรดชี้แนะด้วย’

‘หก: พี่เฉิน ข้าติดต่อกับท่านนักบวชผ่านหนังสือปฐพี จึงรู้เรื่องจากนักบวชจินเหลียนมาพอสมควร ขอบคุณท่านที่ช่วยท่านนักบวชแก้ไขวิกฤตครั้งนี้’

‘สาม: เรื่องเล็กน้อย ไม่ควรเอ่ยถึง’

เรื่องเล็กน้อยหรือ

การสนทนาในวันนั้นของเขากับนักบวชจื่อเหลียนล้วนสับสนงุนงงในทุกเรื่อง เห็นได้ชัดว่าระดับความสามารถของเขาไม่สูง…แต่กลับสามารถช่วยเหลือนักบวชจินเหลียนให้สังหารจื่อเหลียนได้และชิงหนังสือปฐพีหมายเลขเก้ากลับมา…หมายเลขสามผู้นี้ แม้พลังในตัวเขาอาจจะไม่สูง แต่เบื้องหลังย่อมล้ำลึกสุดหยั่งแน่…หมายเลขหกเห็นว่าหมายเลขสามตอบกลับมาอย่างเรียบเรื่อย ในใจจึงลอบคาดเดา

ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็มองเห็นข้อความจากสมาชิกอีกคนในกระจก

‘สอง: ช่วงนี้ข้าไม่ได้สนใจข้อความในหนังสือปฐพีเลย เกิดอะไรขึ้นหรือ’

……………………………

[1] ไม่ใช่สิ่งของในสระ หมายความว่า ไม่ใช่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสระเป็นเวลานาน อุปมาถึงผู้ที่มีความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่ และจะทำงานใหญ่ในที่สุด

[2] เฒ่าเหรียญปากผี หมายถึง ผู้ที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่ความจริงอันตรายอย่างยิ่ง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท