ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 75 จิตหอก

บทที่ 75 จิตหอก

สำนักสังคีต หออิ่งเหมย

สวี่ชีอันเอนกายพิงตั่งอย่างเกียจคร้าน เครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพาดอยู่บนพนักพิง

ภายในห้องกว้างขวาง นางรำหกคนกำลังร่ายรำ เอวคอดกิ่วส่ายไหวอยู่ใต้กระโปรงโปร่งบาง

สาวใช้คนหนึ่งกำลังนวดหลังให้สวี่ชีอัน ส่วนขาของเขาก็วางอยู่ในอ้อมแขนของสาวใช้อีกคนให้นางบีบนวด

นางคณิกาสวมชุดกระโปรงยาวหรูหราสลับซับซ้อนก้มหน้าเล็กน้อย จดจ่อตั้งใจอยู่กับการดีดกู่ฉิน

บางคราวก็เงยหน้ามองสวี่ชีอันที่กำลังเพลิดเพลินในความสุขจนลืมบ้านเกิด

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เสียงกู่ฉินค่อยๆ แผ่วเบา เหล่านางรำถอยออกจากห้อง ฝูเซียงลุกขึ้นอย่างงามสง่า ล้างมือในอ่างทองแดงแล้วเอ่ยอย่างน้อยใจ “ที่แท้คุณชายหยางก็เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนี่เอง”

“ทำให้เจ้าผิดหวังหรือ” สวี่ชีอันก้มหน้าเล่นนิ้วมือน้อยแล้วเอ่ยกลับอย่างเรียบเรื่อย

นางคณิกายกกระโปรงขึ้นตั่งไปนั่งบนร่างของเขา สองมือกดอยู่ที่อกแกร่งแล้วแย้มยิ้มหยาดเยิ้ม “ข้าพึงใจเจ้าค่ะ…”

สาเหตุที่สวี่ชีอันเปลี่ยนมายังสำนักสังคีต หลักๆ ก็เพราะอยู่ใกล้ ไม่ใช่เพราะว่ากินอาหารฟังดนตรีที่หอคณิกาต้องเสียเงิน แต่ที่นี่ฝูเซียงไม่คิดเงินเขาหรอกนะ

หมายเลขหกรู้เนื้อหาที่ข้าคุยกับหมายเลขเก้าได้อย่างไร ชิ้นส่วนของหมายเลขสามถูกผนึก ดังนั้นจึงไม่อาจรับข้อความจากเจ้าของชิ้นส่วนคนอื่นๆ ได้ แต่เจ้าของคนอื่นๆ สามารถมองเห็นข้าได้อย่างนั้นหรือ หนังสือปฐพีนี่เป็นเวอร์ชันโบราณของแอป QQ แน่เลย… รู้อยู่แล้วว่าหลังหยดเลือดเป็นเจ้าของ ข้าจะสามารถเพิ่มเพื่อนทีละคนได้…เวลานั้นตกใจนิดหน่อย คิดเพียงแต่จะโยนเผือกร้อนหัวนี้ออกไปเท่านั้น…พรรคฟ้าดินกับนิกายปฐพีคล้ายจะมีที่มา…สำนักแตกแยกหรือ

ความคิดของสวี่ชีอันถูกขัด เขาขมวดคิ้วมองนางคณิกาที่นัยน์ตาซ่อนแฝงรอยเย้ายั่ว

นางมีดวงตาดอกท้อที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์

“เจ้าอย่าได้ซุกซน” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่พอใจ

ครู่ต่อมา เหล่าสาวใช้ที่เฝ้าอยู่นอกห้องก็ได้ยินเสียง

“พวกเราไปกันก่อนเถิด คาดว่าคงจะถึงยามเย็นนู่น”

ร้านกุ้ยเยว่ ห้องรับรองคู่หงส์เคียงประสาน

ชายสวมชุดจิ้นจวง[1]สีดำผู้หนึ่งมือกุมดาบนั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะกลม

ชายชุดดำของมีรอยแผลเป็นยาวสองนิ้วที่แก้ม ดวงตาสามเหลี่ยม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมีประกายดุร้ายวาบผ่านเป็นครั้งคราว

ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนบ้าหัวรั้น ราวกับหากพูดไม่เข้าหูก็จะชักดาบมาฟันคน ปราณพิฆาตนั้นล้ำลึก

เขาเป็นนักโทษประหารของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เป็นประเภทที่นามของเขาถูกร่างโดยจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน และวันประหารคือหลังฤดูสารทปีหน้า

วันนี้จู่ๆ ก็ถูกฆ้องทองคำคนหนึ่งฉุดขึ้นมาจากคุกประหาร ฆ้องทองคำผู้นั้นบอกเขาว่าขอเพียงเขาทำภารกิจหนึ่งให้เสร็จสมบูรณ์ ก็สามารถปล่อยเขากลับสู่ยุทธภพและหาคนมาแทนที่เขาในฐานะนักโทษประหารได้

คำกล่าวนี้มีความน่าเชื่อถือสูงมาก รายชื่อที่จักรพรรดิเคยร่างนั้น ปกติจะหมายถึงต้องตายอย่างไร้เงื่อนไข ไม่อาจได้รับการอภัยโทษ การหาคนมาแทนที่จึงเป็นการดำเนินการอย่างถูกต้อง

การแลกเปลี่ยนประเภท ‘ใช้ผลงานมาไถ่ถอน’ เช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่แล้ว ตอนที่เขายังไม่ถูกจับกุมก็เคยได้ยินผู้อาวุโสในยุทธภพพูดถึงกัน

ภารกิจของเขาง่ายมาก แค่ต้องทำการแลกเปลี่ยนของอย่างหนึ่ง

แต่ชายชุดดำรู้ว่าจะต้องมีอันตรายใหญ่หลวงแฝงเร้นไว้แน่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดจะต้องใช้นักโทษประหารมาทำการแลกเปลี่ยนง่ายๆ เช่นนี้ด้วย

เหตุผลที่ชายชุดดำรับภารกิจนี้มาก็คือ หนึ่ง ตายไปเฉยๆ ไม่สู้มีโอกาสสักเล็กน้อย สอง ร้านกุ้ยเยว่ในเมืองชั้นในของที่นี่เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด

คนทั่วไปไม่กล้าก่อเรื่องในสถานที่แบบนี้

ตอนนี้เอง เขาก็ได้ยินเสียง ‘ก๊อก ก๊อก’ สองครั้งดังมาจากประตูห้องรับรอง

“ประตูไม่ได้ใส่กุญแจ เข้ามาสิ!” ชายชุดดำเอ่ยตอบเสียงทุ้มต่ำแหบแห้ง

ประตูห้องรับรองถูกผลักออก ชายผู้แต่งกายแบบชาวยุทธ์ก้าวเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมสีเทา ใบหน้าครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในหมวก เผยให้เห็นใบหน้าซีกล่างตรงคางมีไรหนวดสีเขียวอ่อนๆ ที่ดูเหมือนเพิ่งโกน

ทั้งสองฝ่ายมองพิจารณากันและกันอย่างระแวดระวัง

เฮอะ แต่งตัวแบบนี้เข้ามาในเมืองชั้นในไม่ได้แน่…แปดส่วน[2]คงแอบเปลี่ยนหลังเข้ามาในร้านกุ้ยเยว่…ในเสื้อคลุมก็อาจมีอาวุธซ่อนอยู่…ชายชุดดำครุ่นคิดกึ่งดูแคลนกึ่งระแวดระวัง พลางได้ยินเสียงแหบพร่าของชาวยุทธ์ในชุดเสื้อคลุมเอ่ยถามว่า

“ของล่ะ”

ชายชุดดำจ้องมองเขาอย่างนิ่งสงบแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เหมือนว่าข้าจะเคยบอกว่ากระจกบานนี้ใช้เงินไปห้าร้อยตำลึงทอง”

กระจกบ้าอะไรต้องใช้ตั้งห้าร้อยตำลึงทอง…เขาเสริมหนึ่งประโยคอยู่ในใจ

ชาวยุทธ์ในชุดเสื้อคลุมเอ่ย ‘อืม’ แล้วเอื้อมมือเข้าไปในอกเสื้อก่อนหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมา บนตั๋วเงินใบแรกเขียนไว้ว่ามีราคาหนึ่งร้อยตำลึง

แม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้องส่งตั๋วเงินเหล่านี้ขึ้นไป แต่เงินทองก็ยังสั่นคลอนจิตใจคน ชายชุดดำดวงตาเป็นประกายอย่างควบคุมไม่อยู่ สายตาติดตรึงอยู่บนปึกตั๋วเงินหนาๆ จนไม่อาจละสายตาออกมาได้

“กระจก!” ชาวยุทธ์ในเสื้อคลุมวางตั๋วเงินลงบนโต๊ะ เอ่ยเสียงแหบแห้ง

ชายชุดดำมองพินิจบานกระจกอย่างละเอียดแล้ววางกระจกที่มองไม่เห็นความวิเศษพิสดารอะไรไว้บนโต๊ะ

ชาวยุทธ์ในเสื้อคลุมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจนเผยให้เห็นดวงตาคมกริบดุจมีด จดจ้องมองกระจกบนโต๊ะครู่หนึ่ง

“ดีมาก การแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น เมื่อออกจากประตูบานนี้ ถือว่าพวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อน”

เขาหยิบกระจกขึ้นมา นักโทษประหารชุดดำยื่นมือไปยังตั๋วเงินด้วยดวงตาเป็นประกาย

ทันใดนั้น นักโทษประหารชุดดำก็มองเห็นเสื้อคลุมทางด้านซ้ายของชาวยุทธ์ขยับไหวเล็กน้อย…ไม่ได้การแล้ว! นัยน์ตาของเขาหดเกร็งรุนแรงราวกับถูกแสงจ้าส่องเข้ามา เขากลิ้งตลบไปด้านข้างอย่างไม่คิดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

ภารกิจนี้ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นจริงๆ ด้วย…โชคดีที่ข้าระวังอยู่ตลอด…นี่คือยอดฝีมือ ข้าไม่อาจใช้แข็งชนแข็งได้ ต้องทำลายหน้าต่างแล้วออกไปตรงๆ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะกล้าก่อเรื่องฆ่าคนในย่านใจกลางเมืองของเมืองชั้นใน…ความคิดผุดวาบขึ้นมาในหัวของนักโทษประหารชุดดำ

แต่ตอนนี้เอง เขาก็มองเห็นว่าที่ตำแหน่งเดิมที่ตนเคยนั่งอยู่มีร่างหนึ่งนั่งตัวตรง สวมชุดจิ้นจวงสีดำ สองมือกุมดาบ ลำคอถูกมีดคมปาดจนเรียบ มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากปากแผลที่ลำคอ

‘หือ?’

นักโทษประหารชุดดำมีคำถามเป็นชุดลอยขึ้นมาในใจ จากนั้นสติสัมปชัญญะของเขาก็ตกสู่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด

ชาวยุทธ์ในเสื้อคลุมเก็บตั๋วเงินเข้าไปในอกเสื้อ ยิ้มเยาะเบาๆ แล้วหันกายเดินออกจากห้องรับรองไป

ชาวยุทธ์ออกจากร้านกุ้ยเยว่ เขาขึ้นขี่ม้าเร็วแบบตอนที่มาโดยรักษาความเร็วไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เชื่องช้า แล้วจึงออกจากเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก จากนั้นก็ฟาดแส้เร่งม้าเมื่ออยู่บนทางหลวง ฝีเท้าม้าทำให้เกิดฝุ่นควันพวยพุ่ง

เขาควบทะยานมาได้หนึ่งชั่วยามกว่า ด้านหน้าจึงปรากฏโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง มีโต๊ะเก่าตั้งอยู่สามตัว

คนขายชาเป็นชายชราผมหงอกขาว ช่วงนี้ไม่มีลูกค้า ชายชราจึงนั่งดื่มชาอยู่ข้างโต๊ะเสียเอง

ชายชาวยุทธ์ดึงบังเหียนม้า ม้าพันธุ์ดีส่งเสียงร้องยาวแล้วยกขาหน้าขึ้น ก่อนหยุดลงหลังจากควบม้าอย่างรวดเร็ว

ชายชาวยุทธ์ผูกเชือกม้าไว้บนเสาไม้ข้างทาง เขามองซ้ายมองขวาแล้วเดินไปยังโรงน้ำชา

เขาหยิบกระจกหยกบานเล็กออกมาแล้วมอบให้ด้วยสองมืออย่างเคารพนอบน้อม “ท่านหัวหน้า สำเร็จลุล่วงขอรับ”

ชายชราผมหงอกขาวรับกระจกหยกมาแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าพาศัตรูกลับมาด้วยหนึ่งคน”

ชายชาวยุทธ์ตะลึงงัน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ ก็เห็นชายชราโบกมือผลักเขากระเด็น

‘ผัวะ!’

ชายชาวยุทธ์ที่กระเด็นออกไปปะทะเข้ากับพลังปราณแหลมคมสายหนึ่งเข้าพอดีแล้วระเบิดกลายเป็นเศษซากคาที่

เลือดกระเซ็นไปทุกทิศราวกับหยดน้ำหมึก

ชายชราหรี่ตา ทอดมองไปยังสุดทางถนนหลวง เงาร่างสูงตระหง่านกำยำค่อยๆ เดินเข้ามา

ตอนที่เขาปรากฏตัวยังอยู่สุดทางไกลๆ แต่เพียงไม่กี่อึดใจก็เข้ามาใกล้ชายชราไม่ถึงร้อยเมตรแล้ว

“หยางเยี่ยน ไอ้สุนัขเลี้ยงข้างกายเจ้าชุดครามแซ่เว่ย” ชายชราแค่นเสียงเย็น “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง”

หยางเยี่ยนผู้มีใบหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์กล่าว “จะยุ่ง”

ชายชราหน้าบึ้งตึงกราดเกรี้ยว อารมณ์อยู่เหนือการควบคุม เอ่ยเสียงมุ่งร้าย “เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าไม่เกรงใจ”

ชุดเรียบๆ สั่นไหว ควันดำเอ่อล้นออกมาจากร่างของเขาแล้วร่ายรำสะเปะสะปะอยู่กลางท้องฟ้าพร้อมส่งเสียงคร่ำครวญ

หยางเยี่ยนขมวดคิ้ว “นิกายปฐพีฝึกฝนบุญกุศล สามารถใช้กลวิชาภูตผีพวกนี้ได้ตั้งแต่เมื่อใด”

ใบหน้าของชายชรามีเส้นเลือดสีดำนูนขึ้นมาราวกับใยแมงมุม นัยน์ตาเป็นสีแดงก่ำ ปราณมารเข้มข้น “เฮอะ ข้าจะส่งเจ้าไปถามศาสดาแห่งเต๋าเอง”

เสียงกรีดร้องแหลมดังออกมาจากปาก ควันดำเต็มฟ้าทางหนึ่งร้องเสียงประหลาด ทางหนึ่งพุ่งไปหาหยางเยี่ยน

สีหน้าของหยางเยี่ยนไร้อารมณ์ใด เขายกมือซ้ายขวาชกกัน

‘ปัง!’

พลังปราณดุเดือดกลายเป็นระลอกคลื่นแผ่ซ่านออกมาโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง มันม้วนตัดใบหญ้าและฝุ่นผงข้างทางจนสุดท้ายก็กระทบเข้ากับม่านปราณสีดำนั่น

ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยแสงสีดำมีลักษณะบางเรียบลื่นเหมือนชามแก้วขนาดใหญ่

“ค่ายกลร้อยผีของข้าเข้าง่ายออกยาก แม้ว่าเจ้าจะเป็นทหารระดับสี่ก็ต้องตายตกในนี้อยู่ดี” เสียงของชายชราแห้งผากราวกับมารปีศาจที่ผุดออกมาจากนรก

กลางอากาศ ควันดำที่ถูกพลังปราณของหยางเยี่ยนสั่นสะเทือนจนกระจัดกระจายกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

หยางเยี่ยนขมวดคิ้ว ค่ายกลนี้กับค่ายกลของสำนักโหราจารย์เป็นเขตแดนสองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ค่ายกลของสำนักโหราจารย์นั้นยืมพลังจากฟ้าดิน จึงสามารถดำรงอยู่ได้นาน แต่ค่ายกลของลัทธิเต๋าสร้างขึ้นโดยกำลังคน ไม่อาจคงอยู่ได้นาน

ค่ายกลร้อยผีนี้ยุ่งยากอย่างยิ่ง

ในสายการฝึกตนใหญ่ๆ ทั้งหลาย ลัทธิเต๋าเป็นผู้นำในขอบเขตจิตวิญญาณดั้งเดิม เทพเจ้าหยินระดับหกของลัทธิเต๋านั้น ในสมัยโบราณก็มีชื่อเรียกว่ายมทูต มักจะมาตกวิญญาณมนุษย์ยามค่ำคืน บงการความเป็นตายของผู้คน

ค่ายกลร้อยผีนี้ก็คือวิชาที่คล้ายคลึงกัน

ถึงแม้ทหารจะมีการขัดเกลาจิตดั้งเดิม แต่ก็เป็นเพียงการป้องกันการซ้อนทับที่ทำให้จิตดั้งเดิมแข็งแกร่งขึ้น แต่ขาดวิชาโจมตีในขอบเขตที่เกี่ยวข้องกัน

“ข้าได้ยินว่าลัทธิเต๋าระดับแปดมีชื่อเรียกว่าสังเวยปราณ สามารถขับไล่อาวุธเวทมนตร์และเรียกอัสนีสวรรค์ได้ จะไม่ให้ข้าได้สัมผัสหน่อยหรือ” ใบหน้าของหยางเยี่ยนไร้อารมณ์ น้ำเสียงเหยียดหยาม

“เช่นนั้นก็มา!” ชายชราถูกยั่วโมโหอีกแล้ว แสงโลหิตสองดวงพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขาราวกับอัสนีสีเลือด

หยางเยี่ยนไม่หลบเลี่ยง ปล่อยให้อัสนีสีเลือดสองดวงเข้ามาโจมตี

‘ติ๊งๆ!’

อัสนีสีเลือดสองดวงเพียงแค่ตัดเสื้อผ้าเขาเท่านั้นแล้วจึงกระเด็นออกไป

กระดูกเหล็กผิวทองแดง!

“เหตุใดไม่โต้กลับ” ชายชราเอ่ยอย่างโมโห ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีดำราวกับใยแมงมุม ดูวิปริตดุดันนัก

“ข้ากำลังรอหอกของข้าอยู่” หยางเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “มันมาแล้ว”

เมื่อเอ่ยจบ ดาวตกสีเงินสว่างไสวดวงหนึ่งที่ปลายขอบฟ้าก็พุ่งตัดผ่านผืนนภาเข้ามา

ม่านปราณเปียกชุ่มเรียบรื่นแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงดังกึกก้อง ควันดำส่งเสียงระเหย ‘ชี่ ชี่’ ตามจุดที่ดาวตกตัดผ่าน

“หากทำลายค่ายกลจากภายในไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำลายจากภายนอก” หยางเยี่ยนยื่นมือไปจับหอกยาวสีเงินด้ามหนึ่ง

หลังเอ่ยประโยคนี้จบ เงาร่างของเขาก็หายวับไปทันใด ราวกับผสานรวมกับหอกยาวเป็นร่างเดียว จากนั้นจึงแทงไปยังชายชราด้วยอานุภาพที่ไม่อาจหยุดยั้งได้

แสงสีเงินวาบผ่านดวงตาสีเลือดของชายชรา ไม่อาจต้านทานได้ ไม่อาจต้านทานได้เลย มันคือจิตหอกที่รบร้อยครั้งก็ไม่เคยถูกบดขยี้

จิตหอกของทหารระดับสี่

“ไม่!” ชายชราอ้าปากพ่นแสงโลหิตส่องสว่างและแก่นปราณของแสงดำออกมาให้พุ่งเข้าใส่หอกยาว

แก่นปราณกลายเป็นผุยผงเมื่อสัมผัสโดนจิตหอก ร่างกายของชายชราถูกสับเป็นชิ้นเนื้อท่ามกลางจิตหอก แต่ประกายแสงสีเงินนั่นยังคงพุ่งขึ้นสูงหลายร้อยจั้งแล้วพุ่งไปเจาะทะลวงภูเขา

เงาร่างของชายชรารวมตัวกันอยู่กลางอากาศ กึ่งจริงกึ่งลวงตา เขาจ้องหยางเยี่ยนเขม็งอย่างอาฆาตแค้นแล้วกลายเป็นกลุ่มควันสีครามพุ่งไปไกลๆ

หยางเยี่ยนก้มลงหยิบกระจกหยกใบเล็ก ถือหอกเงินก่อนหันร่างเดินทางกลับเมืองหลวง

กลุ่มควันดำหนีไปหลายร้อยจั้ง เมื่อผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็หยุดลง

ใบหน้าของชายชราคล้ายปรากฏคล้ายหลบซ่อนอยู่ในควันดำ จดจ้องไปยังหมู่บ้านด้านล่าง

เทพเจ้าหยินไม่อาจเคลื่อนไหวในยามกลางวันได้นาน เมื่อไม่มีร่างกาย พลังก็ลดลง ไม่อาจรับมือกับวิกฤตที่อาจตามมาได้

ชายชราวางแผนจะหาร่างเนื้อร่างหนึ่ง ขณะเดียวกันก็กลืนกินวิญญาณของชาวบ้านเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเอง

เมื่อมีแผนแล้ว ควันดำก็พัดนวยนาดเข้ามาในหมู่บ้าน

ก่อนหน้านี้หมู่บ้านยังมีชีวิตชีวาเสมือนจริง แต่ต่อมากลับแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ราวกับคลื่นน้ำ ม่านปราณที่มีพลังบุญกุศลห้าสีตลบอบอวลพุ่งขึ้นมากักขังควันดำเอาไว้

ใจกลางของค่ายกลนั้นมีนักบวชเฒ่าผู้สวมชุดคลุมเต๋าโกโรโกโสและองคาพยพทั้งห้าล้ำลึกนั่งขัดสมาธิอยู่

เช้าตรู่ สวี่ชีอันมาเข้าประชุมศาลของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลอย่างตรงต่อเวลา

เพื่อรอคอยผลลัพธ์ของเรื่อง ‘หนังสือปฐพี’

หากเขาไม่รู้ผลลัพธ์ เขาก็มักจะรู้สึกไม่สงบ

เมื่อใกล้เที่ยง เจ้าหน้าที่ชุดดำก็มาพบเขาที่ห้องโถงด้านข้างถัดจากห้องชุนเฟิงแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าสวี่ เว่ยกงเรียกหาขอรับ”

ในที่สุดก็มาสักที…สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ “ได้!”

……………………………..

[1] ชุดจิ้นจวง เป็นชุดโบราณที่เน้นความคล่องตัว เมื่อสวมแล้วชุดจะไม่ลากพื้น ชายแขนเสื้อถูกเก็บรวบกับข้อมือ

[2] แปดส่วน หมายถึง แปดสิบเปอร์เซ็นต์

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท