ฆ้องเงินที่วิ่งมาหาผู้นี้มีชื่อว่าเถาหม่าน ไม่ได้สนิทสนมกับหลี่อวี้ชุนมากนัก เพียงอยู่ในที่ว่าการเดียวกัน มักเจอหน้ากันบ่อยๆ นับว่าคุ้นเคยกันอยู่บ้าง
หลี่อวี้ชุนย่อมปฏิเสธ ‘ล้อเล่นอะไรกัน มาชิงเอาลูกชายสุดล้ำค่าของข้าไปเปล่าๆ เช่นนี้ ข้าจะเห็นด้วยหรือ’
แต่เถาหม่านราวกับไม่สนใจท่าทีของหลี่อวี้ชุน เขาพาคนเข้ามา บอกกล่าวคำหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าจะพาสวี่ชีอันไป
‘ปัง!’
หลี่อวี้ชุนโบกแขนเสื้อ ประตูใหญ่ของโถงชุนเฟิงก็ปิดลงเสียงดัง
“ใต้เท้าหลี่ นี่มันหมายความว่าอย่างไร” ฆ้องเงินเถาตกใจกับปฏิกิริยาของเขา
“ใต้เท้าเถานั่นแลหมายความว่าอย่างไร” หลี่อวี้ชุนลุกขึ้นสีหน้าไร้อารมณ์ ชี้ไปที่มุมกำแพงเป็นท่าทางให้สวี่ชีอันไปอยู่ตรงนั้น
เมื่อเจ้าน้องชายทำตามอย่างว่าง่าย เขาก็หันไปมองฆ้องเงินเถาแล้วกล่าวต่อ “เจ้ากับข้าไม่ได้อยู่ใต้บัญชาฆ้องทองคำคนเดียวกัน ไม่มีกฎเช่นนี้”
หากอยู่ใต้บัญชาของฆ้องทองคำคนเดียวกัน การโยกย้ายพนักงานก็ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไขเอกสารที่ห้องอักษร เพียงรายงานต่อหัวหน้าโดยตรงก็พอ
แต่หากอยู่ใต้บัญชาของฆ้องทองคำคนละคนกันแล้วเกิดการโยกย้ายพนักงานขึ้น จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนมากมาย
หัวหน้าของหลี่อวี้ชุนและเถาหม่านเป็นฆ้องทองคำคนละคนกัน ฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชาของพวกเขาก็ไม่อาจโยกย้ายได้ตามใจชอบ
“เป็นเช่นนี้” เถาหม่านตบหน้าผาก แล้วชี้ไปที่สวี่ชีอันซึ่งอยู่ในมุมห้อง “ใต้เท้าเจียงที่ให้ข้ามารับคน เขาถูกใจเด็กคนนี้ ฮึ ไม่รู้ว่าเขาเอาโชคดีมาจากไหน…เจ้ามัวยืนบื้ออะไรอยู่ได้ มานี่สิ ยังจะอยู่มุมกำแพงอีก ต่อไปเจ้าก็เป็นคนของข้าแล้ว ฆ้องทองคำเจียงถูกใจเจ้า นี่เป็นโชคดีของเจ้านะ”
ทำไมคำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ ล่ะ…ใต้เท้าเจียงอยากจะใช้เกี้ยวแปดคนหาม[1]พาข้าข้ามประตูหรือ พูดไปข้าก็ไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ…สวี่ชีอันค่อนแขวะอยู่ในใจ แล้วหันไปใช้สายตาสอบถามหลี่อวี้ชุน
หลี่อวี้ชุนกล่าว “เช่นนั้นเจ้าไปบอกใต้เท้าเจียงว่าข้าไม่เห็นด้วย”
“อะไรนะ” เถาหม่านสงสัยว่าตนจะฟังผิดไป หลี่อวี้ชุนผู้นี้เขากล้าปฏิเสธใต้เท้าเจียงหรือ วันนี้เขาไปดื่มเหล้าปลอมมาสมองเลยไม่สั่งการหรืออย่างไร
“ข้าขี้เกียจจะพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้าแล้ว ใต้เท้าเจียงยังรออยู่ ตอนนี้ข้าจะพาคนไป ถ้าเจ้ามีความเห็นใดก็ไปหาใต้เท้าเจียงเอาเองเถิด”
“เจ้าคนแซ่เถา เจ้าลองแตะต้องคนของข้าสิ วันนี้ถ้าหากยอมให้เจ้าก้าวออกจากธรณีประตูไปก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าหลี่อวี้ชุน”
“คนแซ่หลี่ วันนี้เจ้าถูกผีสิงแล้วจริงๆ รู้บ้างหรือไม่ว่าตัวเจ้ากำลังพูดสิ่งใด”
การวิวาทของฆ้องเงินสองคนทำให้ฆ้องทองแดงและพวกเจ้าพนักงานที่ห้องข้างตื่นตกใจ ซ่งถิงเฟิง จูกว่างเสี้ยว และพวกฆ้องทองแดงที่เถาหม่านพามาซึ่งนั่งกินถั่วคั่วอยู่ในลานต่างก็ได้ยินเสียงตะโกนด่าทอมาจากข้างใน
“นี่ สหายร่วมงานของพวกเจ้ามีที่มาอย่างไร” ฆ้องทองแดงคนหนึ่งใช้ดาบตีต้นขาของซ่งถิงเฟิง
ซ่งถิงเฟิงกล่าว “ก็ไม่มีที่มาอะไร”
“แล้วฆ้องทองคำเจียงจะระบุชื่อแซ่อยากได้ตัวเขาไปด้วยเหตุใด” พวกฆ้องทองแดงไม่เชื่อ คนเช่นนี้จะต้องมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาแน่นอน
ซ่งถิงเฟิงครุ่นคิด จากนั้นก็ให้คำอธิบายอันสมเหตุสมผลออกมา “เขานอนกับแม่นางคณิกาในสำนักสังคีตได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน”
ทุกคนไม่เชื่อจึงหันไปหาจูกว่างเสี้ยว คนหลังพยักหน้า
ตอนนี้จึงเชื่อแล้ว
“เหตุใดจึงไม่ต้องจ่ายเงิน” พวกฆ้องทองแดงตกอกตกใจ ขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม ได้กินฟรีคือความสุขที่มีมาตั้งแต่โบราณไม่เคยเปลี่ยนแปลงของมนุษย์
“บอกไม่ได้ ข้ารับปากว่าจะเก็บเป็นความลับให้เขา” ซ่งถิงเฟิงส่ายหน้า นิ่งงันไปแล้วเอ่ยเสริม “เขาให้พวกเราหนึ่งตำลึงเงินเป็นค่าปิดปาก”
“หนึ่งตำลึงเงินใช่หรือไม่ เอาไปเลย”
ซ่งถิงเฟิงรับมาเก็บไว้ในอกเสื้อ แล้วส่ายหัวอีก “หนึ่งตำลึงเงินไม่พอหรอก ต้องเพิ่มเงิน”
เพิ่มให้อีกหนึ่งตำลึง
“บอกมาเถิด” เหล่าฆ้องทองแดงมองเขาอย่างคาดหวัง
“เป็นเพราะพวกข้าเลี้ยงเขาน่ะ” ซ่งถิงเฟิงหัวเราะลั่น
“อัดเขาซะ”
ซ่งถิงเฟิงถูกฆ้องทองแดงสองสามคนนั้นอัดทุบอยู่กับพื้นแล้วแย่งเงินกลับมา
เรื่องเกี่ยวกับหุ่นเชิดที่ชื่อหยางหลิงคนนี้ สวี่ชีอันได้เลี้ยงข้าวสหายร่วมงานทั้งสองคนที่ร้านกุ้ยเยว่ไปมื้อหนึ่งเป็นการปิดปากแล้ว
ความจริงในสายตาของซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว การนอนกับฝูเซียงต่างหากถึงจะทำให้คนอิจฉาริษยา ส่วนการเป็นกวีอัจฉริยะเขียนบทกลอนขี้หมาจะไปมีค่าอะไร
ทหารหยาบกระด้างไม่สนใจหรอกว่าเจ้าเขียนกลอนได้ดีหรือไม่
…
เจียงลวี่จงนั่งอยู่ในโถง นำทะเบียนสำมะโนครัวและข้อมูลของสวี่ชีอันมา พออ่านดูถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นมือปราบตัวเล็กๆ ของอำเภอฉางเล่อที่ทำงานได้โดดเด่นในคดีเงินภาษีตอนนั้นนั่นเอง
“ข้าเป็นผู้รับผิดชอบคดีผิงหย่วนป๋อถูกสังหาร ถึงจะบอกว่าเว่ยกงเป็นผู้ต้านแรงกดดันจากราชสำนักทุกฝ่ายแทนข้า แต่ข้าก็ไม่อาจหย่อนยานเพราะเรื่องนี้ได้ เช่นนี้จะทำให้เว่ยกงสงสัยในความสามารถของข้า” เจียงลวี่จงงอนิ้วเคาะโต๊ะโดยไม่รู้ตัวแล้วครุ่นคิด
“คนผู้นี้เก่งกาจในการจับกุมและทำคดี เป็นบุคคลที่ข้าต้องการอยู่พอดี อีกทั้งยังติดต่อกับโหรของสำนักโหราจารย์ได้อย่างใกล้ชิด ข้าสามารถซื้ออาวุธเวทมนตร์กับสำนักโหราจารย์ผ่านทางเขาแล้วเอามาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้ได้”
ผิงหย่วนป๋อตายไปไม่น่าเสียดาย แต่ก็ต้องทำคดี ทำคดีสำเร็จก็เป็นผลงาน สวี่ชีอันแค่อาศัยสำนวนคดีก็ไขคดีเงินภาษีได้แล้ว ความสามารถช่างโดดเด่นนัก นี่คือข้อดีอย่างแรกของสวี่ชีอัน
ข้อดีอย่างที่สอง คนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ไม่เห็นพวกทหารอยู่ในสายตา นอกจากสนับสนุนอาวุธเวทมนตร์ให้กับฆ้องทองแดงตามปกติ อาวุธเวทมนตร์อื่นๆ กลับตระหนี่ไม่ยอมนำมาขาย วันนั้นเขาเห็นคนชุดขาวเคารพนบน้อมสวี่ชีอันเช่นนั้น และรู้ว่าสวี่ชีอันสนิทสนมกับเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุขั้นหก จึงเกิดความคิดจะนำมาเป็นลูกน้องขึ้นมา
อาวุธเวทมนตร์คุณภาพเยี่ยมหนึ่งชิ้น นอกจากต้องให้ปรมาจารย์ยุทธสัมผัสแล้ว การตีขึ้นรูปจากเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
ตอนนี้เอง ฆ้องเงินเถาก็ก้าวยาวราวกับดาวตกเดินเข้ามา หน้าตาโกรธขึ้ง เขากอบหมัดเอ่ย “หัวหน้า หลี่อวี้ชุนไล่ข้ากลับมาขอรับ”
“ไล่กลับมาหรือ” ดวงตาเหยี่ยวของเจียงลวี่จงคมกริบขึ้นมาทันใด อานุภาพน่าเกรงขามทำให้เถาหม่านไม่กล้ามองตรงๆ จึงก้มหัวลงเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น” ฆ้องทองคำเจียงเอ่ยเสียงขรึม
“เขาไม่ให้คน แล้วยังบอกว่าถ้าหากท่านต้องการคน ก็ได้ แต่ให้ไปที่นั่นด้วยตัวเองขอรับ” เถาหม่านบอกตามตรง
เขาอารมณ์เสียกับหลี่อวี้ชุนแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะกฎของที่ว่าการที่ห้ามหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทะเลาะวิวาทกันเป็นการส่วนตัวนอกจากจะอยู่ในลานฝึกยุทธ์แล้วล่ะก็ เถาหม่านคงให้หลี่อวี้ชุนรู้ไปนานแล้วว่าหมัดของตนทั้งใหญ่ทั้งแข็งขนาดไหน
“ได้ ข้าจะไปเอง” ฆ้องทองคำเจียงกล่าวอย่างไร้อารมณ์
อีกฝั่งหนึ่ง หลี่อวี้ชุนวิ่งไปที่โถงเสินเชียงของหยางเยี่ยนรอบหนึ่ง แต่หาคนไม่พบ จึงถามเจ้าพนักงานที่อยู่ห้องข้าง รู้ว่าฆ้องทองคำหยางดื่มชาอยู่กับเว่ยกงที่หอเฮ่าชี่
เว่ยเยวียนมีลูกบุญธรรมสองคน คนหนึ่งคือหนานกงเชี่ยนโหรวผู้เป็นที่รู้จักกันดีในที่ว่าการและมีน้ำมีนวลเสียยิ่งกว่าอิสตรี ส่วนอีกคนก็คือหยางเยี่ยนผู้ ‘มีทิฐิเชื่อมั่นในตนเองสูง’
หลี่อวี้ชุนวิ่งไปยังหอเฮ่าชี่ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะรายงาน ทหารยามก็ขึ้นไปรายงานตามปกติ หลังจากได้รับการเรียกพบแล้ว พี่ชุนก็ขึ้นไปชั้นเจ็ดพร้อมหอบหายใจหนักๆ
เมื่อเห็นหยางเยี่ยนผู้มีท่านั่งคงเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แข็งกระด้างเคร่งขรึมราวกับมนุษย์หิน พี่ชุนก็โล่งอกแล้วเอ่ยเสียงดัง “ฆ้องทองคำหยาง ผู้น้อยมีเรื่องจะรายงานขอรับ”
หยางเยี่ยนพยักหน้าแผ่วเบา สายตามองเขาอย่างสงบนิ่ง “พูดมา”
พี่ชุนพูดใส่อารมณ์เล็กน้อย “ฆ้องทองคำเจียงจะแย่งคนขอรับ”
เว่ยเยวียนและหนานกงเชี่ยนโหรวหันมามอง
หยางเยี่ยนกล่าว “แย่งคนหรือ”
“ขอรับ” หลี่อวี้ชุนกล่าว “แย่งฆ้องทองแดงสวี่ชีอันขอรับ”
หยางเยี่ยนเลิกคิ้ว มองไปยังเว่ยเยวียน “ท่านพ่อบุญธรรม”
เว่ยเยวียนหัวเราะร่า “นั่นเป็นเรื่องของพวกเจ้าสองคน”
หยางเยี่ยนลุกขึ้นยืนทันที แล้วออกจากหอเฮ่าชี่อย่างรวดเร็ว
หลี่อวี้ชุนคำนับให้กับเว่ยเยวียนและหนานกงเชี่ยนโหรว จากนั้นหันกายตามไป
“ไม่รู้ว่าคนแซ่เจียงผู้นั้นเป็นบ้ามาจากไหน จู่ๆ วันนี้ก็มีคำสั่งให้พาคนจากโถงชุนเฟิงของข้าไป เอาแต่ใจยิ่งนักขอรับ” หลี่อวี้ชุนย้ำถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ
ก่อนกล่าวเสริม “สวี่ชีอันเป็นคุณสมบัติเหนือเจี่ย จะส่งมอบให้คนอื่นไม่ได้นะขอรับ”
หยางเยี่ยนไม่พูดอะไร
ฝีเท้าเพิ่มความเร็วขึ้นหลายเท่า ท่าทีของเขาแน่วแน่ยิ่ง ฆ้องทองแดงคุณสมบัติเหนือเจี่ยจะต้องอยู่ในมือของเขา
ใครกล้าแย่งคน เขาจะตีจนสมองเหลวให้ดู
ฆ้องทองคำทั้งสองคนปะทะกันที่ประตูทางเข้าโถงชุนเฟิงพอดี เจียงลวี่จงชะงักไปก่อนแล้วหรี่ตาลง ทำให้ตีนกาที่หางตาเด่นชัดยิ่งขึ้น
“ฆ้องทองคำหยาง ย้ายสวี่ชีอันมาเป็นลูกน้องข้าได้หรือไม่”
หยางเยี่ยนไม่ได้เอ่ยอะไรแต่ส่ายหน้า
‘ไม่เห็นด้วย…เพื่อฆ้องทองแดงคนหนึ่ง…’ สายตาของเจียงลวี่จงส่องวาบเล็กน้อย ส่งเสียง “เฮอะ” ออกมา เบื้องหน้ายิ้มภายในบึ้งตึง “ถ้าข้าจะเอาล่ะ”
หยางเยี่ยนเอ่ยเสียงขรึม “ทำตามกฎ”
“ได้!”
กฎอะไร แน่นอนว่าคือการต่อสู้
นี่คือกฎที่เว่ยเยวียนตั้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นฆ้องทองคำ ฆ้องเงิน หรือว่าฆ้องทองแดง ตราบใดที่มีเรื่องขัดแย้งกัน ก็ให้ใช้กำลังแก้ปัญหา แต่จะต้องอยู่ในลานฝึกยุทธ์ของที่ว่าการ ไม่อาจทะเลาะวิวาทเป็นการส่วนตัวได้
แทนที่จะต่อสู้แบบ ‘เจ้าตาย ข้าอยู่’ แบบการต่อสู้ส่วนตัว ไม่สู้ขึ้นเวที ประลองด้วยดาบจริงหอกจริงสักสนาม
ทหารจะต้องบริสุทธิ์หมดจด ไม่อาจระงับจิตใจไว้ได้
ฆ้องทองคำสองคนต่อสู้กันเพื่อแย่งฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง และจะสู้เห็นดำเห็นแดงกันที่ลานฝึกยุทธ์ ข่าวนี้แพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว
ไอหยา เกลียดเสียจริง คนเขาแค่อยากจะเป็นชายหนุ่มรูปงามเงียบๆ คนหนึ่งเท่านั้น…สวี่ชีอันที่ได้ยินข่าวก็ตามเหล่าสหายร่วมงานไปดูความครึกครื้นที่ลานฝึกยุทธ์
……………………………..
[1] เกี้ยวแปดคนหาม หมายถึง ในสมัยจีนโบราณ ยามแต่งภรรยาหลวงจะใช้เกี้ยวแปดคนหามคนเข้าประตูหน้า เป็นการให้เกียรติเจ้าสาว