บทที่ 108 ผู้สืบสวนหลัก
เดาได้เลยว่าสวี่หลิงเยวี่ยเป็นคนประเภทคิดมากเกินไป และยังมีนิสัยค่อนข้างเก็บกด นางกดอารมณ์ความรู้สึกไว้ในใจอยู่เสมอ เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่กลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว ในที่สุดก็วางหินก้อนใหญ่ในใจลงได้ จึงร้องไห้เป็นเผาเต่า หยาดน้ำตาไหลกลิ้ง
จนกระทั่งสาวใช้เดินออกมาจากประตู มองเห็นสองพี่น้องกอดกันกลมก็ตะโกนร้องอย่างดีใจ “คุณชายใหญ่ออกจากคุกแล้วหรือ”
ตอนนี้เองสวี่หลิงเยวี่ยถึงนึกขึ้นได้ว่าตนเป็นสตรีวัยกำดัดที่ยังไม่ออกเรือน จึงผละจากอ้อมกอดของพี่ใหญ่ ทางหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ทางหนึ่งก้มหน้าตัวตรง ใบหน้าแดงก่ำราวกับถูกเผา
สวี่ชีอันจูงมือน้องสาวเข้าไปในห้อง สาวใช้ชงชาให้เขา แล้วยืนอยู่อีกด้านอย่างสงบเสงี่ยมฟังคุณชายใหญ่และคุณหนูใหญ่พูดคุยกัน
“เจ้าไปบอกคนรับใช้ให้ต้มน้ำร้อนเอาไว้ ข้าจะอาบน้ำ” สวี่ชีอันเอ่ยสั่ง
สาวใช้ออกไปแพร่คำสั่ง ใครจะรู้ว่าพอพวกคนรับใช้ได้ยินต่างพากันหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ แต่ละคนส่ายหน้าปฏิเสธ
สาวใช้กลับไปบอกคุณชายใหญ่สวี่อย่างน้อยใจยิ่ง คุณชายใหญ่สวี่ก็โมโหมากเช่นกัน ในใจคิดว่าเจ้าพวกคนรับใช้ช่างเอาใหญ่แล้ว หรือว่าคุณชายใหญ่สวี่จะอย่างข้ายกดาบไม่ขึ้นหรือ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยไปต้มน้ำให้ที” สวี่ชีอันกล่าว
สาวใช้ยิ่งน้อยอกน้อยใจเข้าไปใหญ่ แต่ไม่กล้าปฏิเสธ มุ่ยปากจากไป
สวี่ชีอันหันมามองและเอ่ยยิ้มๆ กับสวี่หลิงเยวี่ย “ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ข้าทำดีชดเชย ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”
สวี่หลิงเยวี่ยพยักหน้า ใบหน้ารูปเมล็ดแตงงามประณีตซีดเซียวเล็กน้อย “พี่ใหญ่ลงไม้ลงมือกับสหายร่วมงานได้อย่างไรเจ้าคะ”
สวี่ชีอันจึงเล่าออกไปคร่าวๆ รอบหนึ่ง สวี่หลิงเยวี่ยฟังแล้วก็โมโหหนัก กำหมัดงามแน่น “พี่ใหญ่ทำเรื่องให้น้องสาววางใจได้เสมอเลยเจ้าค่ะ”
นางแย้มยิ้มเพริศแพร้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ความงามวิจิตรชวนหวั่นไหวในพริบตาทำให้สวี่ชีอันอดใจบีบแก้มนางไม่ไหว
สวี่หลิงเยวี่ยก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
หลังจากอาบน้ำและสวมเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเสร็จแล้ว สวี่ชีอันกับสวี่หลิงอินก็นั่งเคียงกันอยู่ใต้ชายคา ในมือของทั้งคู่ล้วนถือบะหมี่หมูเส้นใส่ไข่ชามใหญ่คนละชาม
ภาพนี้กลมเกลียวอบอุ่นยิ่ง
สวี่ชีอันกล่าว “หลิงอิน พี่ใหญ่แลกเนื้อกับไข่ของเจ้าดีหรือไม่”
สวี่หลิงอินครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เอา ท่านแม่บอกว่าคราวก่อนพี่ใหญ่หลอกเอาซาลาเปาของข้า”
“แล้วเจ้าคิดว่าพี่ใหญ่หลอกเจ้าหรือไม่ล่ะ”
นางเอียงหน้า ครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ลืมแล้วเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันบอก “ฉะนั้นแล้วพี่ใหญ่จะไปหลอกเจ้าได้อย่างไร พี่ใหญ่ไม่มีทางหลอกกินไข่ไก่ของเจ้าหรอก พี่ใหญ่ก็แค่…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็เห็นสวี่หลิงอินก้มหน้าไปยังบะหมี่ไข่แล้ว “ถุยๆ” สองครั้ง
สวี่ชีอันหน้าเมื่อย
สวี่หลิงอินบอก “พี่รองสอนข้ามา”
…ปัญญาชนล้วนไม่ใช่คนดีจริงๆ! สวี่ชีอันก้มหน้ากินข้าว ไม่สนใจไข่ไก่ของน้องสาว
แต่เขามันจิตใจชั่วร้าย จึงกล่าวข่มขู่ว่า “หลิงอิน บะหมี่นี้กินไม่ได้ มันมีพิษนะ”
“หือ” สวี่หลิงอินเบิกตาโต มองดูชามที่วางอยู่บนตัก แล้วมองดูพี่ใหญ่ ประหลาดใจสงสัย
สวี่ชีอันอธิบายให้นางฟังอย่างอดทนถึงเกร็ดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ “แต่ก่อนตอนเจ้าหกล้มหนังถลอก พ่อของเจ้าใช้น้ำลายเช็ดบาดแผลของเจ้าใช่หรือไม่”
สวี่หลิงอินพยักหน้า
สวี่ชีอันกล่าว “นั่นเป็นเพราะว่าน้ำลายสามารถ…อืม สามารถฆ่าสิ่งสกปรกได้ ดังนั้นจึงเดาได้เลยว่า ทันทีที่น้ำลายออกจากปาก มันก็จะมีพิษ และเดาได้อีกว่า บะหมี่ไข่ของเจ้าก็มีพิษ กินไม่ได้”
เขาพูดจบก็มองเห็นใบหน้าน้อยๆ ของสวี่หลิงอินเริ่มซีดขาวทีละนิด
“แล้วข้าจะตายหรือไม่” สวี่หลิงอินเบะปาก ร้องไห้น้ำตาไหลพลางเอ่ยถาม
“ไม่ตายหรอก แต่จะปวดท้องไปหลายวัน” สวี่ชีอันบอก
สวี่หลิงอินพยักหน้า แล้วกินบะหมี่ต่ออย่างสบายใจ
สวี่ชีอัน “???”
…
กินบะหมี่เขาเสร็จก็มาที่เรือนของคุณชายรองสวี่ เขาพบกระจกหยกใบเล็กของตนอยู่ในห้องหนังสือ สวี่ชีอันเก็บมันเข้าไปในอก บังเอิญพบกระดาษสองสามแผ่นที่คุณชายรองวางไว้ที่มุมโต๊ะโดยมีที่ทับกระดาษทับเอาไว้
บนกระดาษนั้นเขียนด้วยลายมือหวัดๆ เสียถี่ยิบ เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ของสวี่ชีอัน และประเมินว่าสำนักโหราจารย์กับสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ช่วยได้หรือไม่
คงจะเป็นยามดึกดื่นค่ำคืนแล้วมานั่งครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในห้องหนังสือ พร้อมเขียนความคิดลงไปตามแต่ใจ
น้องชายคนเล็กยังเป็นคนมีความสามารถมากๆ…สวี่ชีอันยิ้มแย้มแล้วเดินออกจากห้องหนังสือ
เขาขี่ม้ารีบเร่งกลับไปยังหน่วยงาน เข้าพบเว่ยเยวียนโดยตรง
เว่ยเยวียนรออยู่นานแล้ว เขาชี้ไปที่ตำแหน่งข้างกายหยางเยี่ยนแล้วเอ่ยอย่างอบอุ่น “นั่งสิ”
หยางเยี่ยนส่งสำนวนความชุดหนึ่งมาให้โดยที่สีหน้าไร้ความรู้สึก
เว่ยเยวียนกล่าว “คดีนี้ข้าให้โถงจินอวี้ โถงชุนเฟิง และโถงเจิ้นเสียทั้งสามโถงร่วมมือกันทำคดี ผู้สืบสวนหลักคือเจ้า”
สวี่ชีอันตกตะลึง
เว่ยเยวียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งมาเป็นการส่วนพระองค์”
เมื่อสบตากัน สวี่ชีอันก็พลันเข้าใจ เว่ยเยวียนคิดจะเลื่อนขั้นเขาผ่านเรื่องนี้…แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบสวนหลักโดยตรง ไม่ใช่ให้ร่วมทำคดีด้วย
สวี่ชีอันเปิดสำนวนความดู อ่านอย่างละเอียดจบแล้วก็เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “ใต้ทะเลสาบซังผอผนึกอะไรบางอย่างไว้ใช่หรือไม่ขอรับ”
แววตาของเว่ยเยวียนส่องประกายแปลกประหลาด
ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มาทั้งปีของหยางเยี่ยนก็เผยสีหน้าตกใจเช่นเดียวกัน
ความจริงที่ว่าใต้ซังผอผนึกของบางอย่างไว้นั้นเป็นเรื่องที่เว่ยเยวียนเพิ่งจะบอกเขาเมื่อเช้าวันนี้เอง ส่วนหนานกงเชี่ยนโหรวนั้น เขาอิงจากเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่ซังผอเมื่อคืนและคิดโยงไปถึงตอนที่พ่อบุญธรรมไปค้นข้อมูลและสำนวนความในคลังเอกสารวันนั้น จึงเริ่มคาดเดาได้รางๆ แต่ไม่กล้ายืนยัน
จนกระทั่งเช้าวันนี้พ่อบุญธรรมจึงบอกความจริงกับพวกเขาอย่างนิ่งสงบ
แต่ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนนี้กลับบอกมาว่าใต้ซังผอผนึกของบางอย่างเอาไว้โดยตรง
เว่ยเยวียนเก็บสีหน้าเหนือความคาดหมายไปแล้วเอ่ยยิ้มๆ “บอกข้อสันนิษฐานของเจ้ามาสิ”
สวี่ชีอันสวมท่าทางรับผิดชอบ แทบอยากจะแสดงความเป็นตัวเองออกมาต่อหน้าเว่ยเยวียนให้ได้ เขากล่าวว่า “แม้ว่าซังผอจะเป็นสถานที่ต้องห้ามแห่งต้าฟ่งของพวกเรา แต่สำหรับคนนอกแล้ว สิ่งมีค่าเพียงอย่างเดียวคงจะเป็นกระบี่เทพคุ้มเมือง”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่สำนวนความ “แต่สิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นบอกว่ากระบี่เทพคุ้มเมืองไม่เป็นอะไร เช่นนั้นเป้าหมายของคนร้ายก็คือของสิ่งอื่น ดังนั้นข้าน้อยเดาว่า ในวัดหย่งเจิ้นซานเหอจะต้องมีของบางอย่างแน่นอน แต่เหตุใดของสิ่งนี้ถึงวางไว้ในทะเลสาบซังผอล่ะ ข้าน้อยคาดเดาอย่างใจกล้าอีกครั้ง บางทีของสิ่งนี้อาจจำเป็นต้องมีกระบี่เทพคุ้มเมืองมาคอยผนึกเอาไว้ขอรับ”
ความจริงแล้วหลังจากสวี่ชีอันรู้คำตอบนั้น เขาก็พลิกกระบวนการวิเคราะห์
ความคิดอันชัดเจนและตรรกะอันรอบคอบของเขาเอาชนะหน้าที่การงานของหยางเยี่ยนได้เลย เขายิ่งรู้สึกชื่นชมและให้ความสำคัญกับฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ ใต้บังคับบัญชาคนนี้มากขึ้น
ไม่ใช่แค่มีพรสวรรค์โดดเด่น แต่ยังเฉลียวฉลาด มีความสามารถมาก คู่ควรแก่การส่งเสริม
“เว่ยกงรู้ใช่หรือไม่ขอรับ…” สวี่ชีอันลองหยั่งเชิง
เว่ยเยวียนส่ายหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน “ฝ่าบาทยังไม่ได้ตรัสอย่างชัดเจน แต่ในใจข้ามีการคาดเดาแล้ว…” สีหน้าของเขาเคร่งขรึม น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งการกล่าวเตือน
“งานของเจ้าคือสืบหาว่าการระเบิดทำลายวัดหย่งเจิ้นซานเหอเป็นการกระทำของใคร เรื่องตามล่าของสิ่งนั้นกลับมาไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า หากเจ้าพบกับปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้ก็ไปบอกฆ้องทองคำหยาง เขาจะออกหน้าเอง ฝ่าบาททรงมอบตราทองคำอันหนึ่งมา สามารถเดินไปในเขตพระราชฐานได้ นอกจากวังหลังและสถานที่พิเศษไม่กี่แห่งแล้ว เจ้าสามารถใช้ตรานี้ผ่านไปได้ทุกที่โดยไร้การกีดขวาง”
สวี่ชีอันรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
เว่ยเยวียนมองส่งเงาหลังของเขาจากไปจนได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาขึ้นที่บันได เขาจึงหันไปมองหยางเยี่ยน “ได้ยินว่าท่านโหราจารย์ป่วยหรือ”
หยางเยี่ยนพยักหน้า
นัยน์ตาของเว่ยเยวียนนิ่งสงบ เงียบงันไปเนิ่นนาน “เจ้าเฒ่า!”
…
เมื่อออกมาจากหอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันก็พุ่งไปยังโถงชุนเฟิงแล้วกล่าวว่า “หัวหน้า เรียกฆ้องเงินทั้งสองคนของโถงจินอวี้กับโถงเจิ้นเสียมารวมตัวที่ลานด้านหน้าหน่วยงานทันทีเลย เร็วเข้า!”
หลี่อวี้ชุนนิ่งงันไป ครู่ใหญ่จึงเบิกตากล่าวว่า “เจ้าเป็นหัวหน้าหรือข้าเป็นหัวหน้า”
เจ้าน้องชายกลับทำตัวสามหาวกับเขาได้
สวี่ชีอันแสดงป้ายทอง “ตอนนี้ข้าคือผู้สืบสวนหลักที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง ตั้งแต่วันนี้พวกเราก็เรียกตัวกันด้วยฐานะเถอะ ข้าเรียกท่านว่าหัวหน้า ท่านเรียกข้าว่าใต้เท้า…หัวหน้า ช่วยไปเชิญฆ้องเงินสองคนนั้นมาให้ใต้เท้าด้วย”
หลี่อวี้ชุนเดินจากไปอย่างหดหู่ เรียกกันด้วยฐานะหรือ คิดอยู่ตลอดว่ามีตรงไหนที่แปลกประหลาด
ฆ้องเงินโถงเจิ้นเสียเป็นคนแซ่หยาง นามว่าเฟิง เป็นชายวัยกลางคนผอมสูงผิวคล้ำ หว่างคิ้วมีไฝเม็ดใหญ่สีดำ
ฆ้องเงินของโถงจินอวี้กลับเป็นชายฉกรรจ์ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครานามว่าหมิ่นซาน มีรอยแผลเป็นเฉียงๆ หนึ่งรอยอยู่ที่แก้ม ดูร้ายกาจยิ่งนัก
รวมกับหลี่อวี้ชุนจากโถงชุนเฟิงแล้ว นอกจากฆ้องเงินทั้งสามก็ยังมีฆ้องทองแดงอีกยี่สิบคน ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันที่ลานด้านหน้า
ตาม ‘ธรรมเนียม’ ของหน่วยงาน ก่อนที่จะเดินทางไปทำคดี จะต้องมารวมตัวกันที่ลานด้านหน้าก่อน โดยมีผู้สืบสวนหลักเป็นผู้นำพูดคุยปลุกเร้าจิตใจ
ขณะเดียวกันก็เป็นการทำให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ ได้เห็น
“เมื่อคืนซังผอเกิดเหตุระเบิด วัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลาย พระพักตร์มังกรของฝ่าบาททรงพิโรธ ทรงรับสั่งให้หน่วยงานสืบหาความจริงภายในครึ่งเดือนแล้วจับโจรขโมยมาให้ได้” สวี่ชีอันกดดาบมือเดียว ร่างกายยืดตรง สายตาเฉียบคม
“ข้าได้รับแต่งตั้งจากพระดำรัสของฝ่าบาทให้สืบสวนคดีนี้ด้วยตัวเอง โดยมีพวกเจ้าร่วมทำคดี จะต้องทุ่มเทกำลังทั้งหมด หาคำตอบเพื่อแทนคุณองค์จักรพรรดิให้ได้”
ในใจของสวี่ชีอันเสริมไปอีกหนึ่งประโยค ทำออกมาดีก็จะได้ทำงานสบาย ทำไม่ดีก็ไปถูกตัดหัวที่ไช่ซื่อโข่ว
“ขอรับ!” ทุกคนรับคำพร้อมเพรียง
เพราะว่าพวกเขาล้วนเป็นฆ้องเงินและฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชาของหยางเยี่ยน ส่วนใหญ่จึงนับว่าเชื่อฟังอยู่ เพียงแต่ไม่ค่อยพอใจนัก คิดว่าสวี่ชีอันเป็นแค่ฆ้องทองแดงคนหนึ่ง จะเอาประสบการณ์และความสามารถที่ไหนมาทำคดีใหญ่ขนาดนี้ได้
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฝ่าบาทถึงแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ทำคดีหลัก
เมื่อออกจากหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลและพลิกตัวขึ้นม้าแล้ว ฆ้องเงินหมิ่นผู้มีใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราก็เอ่ยถาม “ใต้เท้าสวี่ พวกเราจะไปไหนกัน”
“แน่นอนว่าต้องไปสถานที่เกิดเหตุ” สวี่ชีอันกล่าว
คนทั้งคณะขี่ม้าไปยังเขตพระราชฐาน ซึ่งเลือกไปเส้นทางที่ประหยัดเวลาที่สุดนั่นก็คือ ตัดผ่านเขตพระราชฐาน
ความจริงแล้วสามารถอ้อมเขตพระราชฐานเพื่อไปสำรวจที่เกิดเหตุได้ แต่สวี่ชีอันมีป้ายทองอยู่ในมือ ที่ประหยัดเวลาได้ก็ประหยัด
ไม่ว่ากับคดีใด การแข่งกับเวลาถือเป็นหลักการอันดับหนึ่ง
ภายใต้การนำของกองทหารต้องห้าม เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็มาถึงซังผอ ทิวทัศน์ของที่นี่เปลี่ยนแปลงไปมาก แม้แต่ทางเดินยาวที่เชื่อมสองฟากฝั่งก็ถูกทำลายไปกับระเบิดแล้ว แท่นสูงที่ทำจากหินหยกขาวใจกลางทะเลสาบก็หายวับไปด้วยเช่นกัน
ผิวน้ำของซังผอใสสะอาด ไม่มีอะไรอยู่เลย ใครจะคิดว่าที่นี่เคยมีพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษที่จัดเสียยิ่งใหญ่เมื่อไม่กี่วันก่อน
เรือเล็กลำหนึ่งเทียบท่าอยู่ริมทะเลสาบ สวี่ชีอันกล่าวว่า “พวกเราสองสามคนไปดูกัน ต้องลงน้ำด้วย”
สวี่ชีอันก้าวขึ้นไปบนเรือเล็กเป็นคนแรก ยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อเงียบๆ แล้วดึงด้านหลังของกระจกหยกบานเล็กออก เอียง ‘หนังสือเวทมนตร์’ ที่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มอบให้แล้วฉีกออกมาหนึ่งหน้า โยนมาไว้ในมือ
ฆ้องเงินที่เหลือพากันขึ้นเรือตาม เหลือเพียงฆ้องทองแดงยี่สิบคนและกองทหารต้องห้ามหนึ่งกองไว้ริมฝั่ง
หลี่อวี้ชุนขยับไม้พาย พายเรือไปยังใจกลางทะเลสาบ
ฆ้องเงินหยางเฟิงผู้มีร่างผอมสูงเหลือบมองสวี่ชีอัน จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้าสวี่ ให้ข้าลงไปเถอะ”
สวี่ชีอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นท่านลงน้ำด้วยกันกับข้าแล้วกัน”
พูดพลางเขาก็เผากระดาษ เริ่มใช้วิชามองปราณ
‘ชิ้ง’ …เขาชักดาบพก คาบไว้ที่ปากแล้วกระโจนลงไปในน้ำ
น้ำทะเลสาบเยือกเย็นกระตุ้นรูขุมขน ฟองน้ำเล็กๆ ลอยออกมาจากมุมปากที่คาบดาบยาวดำทองของสวี่ชีอันเป็นพรวน
เขาพยายามลืมตากว้างเพื่อสำรวจสถานการณ์ใต้น้ำให้ได้มากที่สุด
ฐานของแท่นหินหยกขาวแผ่ลงมาจนถึงก้นทะเลสาบ ส่วนหักโค่นของแท่นสูงที่พังลงมาอยู่ห่างจากผิวน้ำหนึ่งจั้งกว่า
เสียงคลื่นใต้น้ำขยับไหวดังขึ้นมา สวี่ชีอันหันไปปราดมอง เป็นฆ้องเงินหยางที่ตามมานั่นเอง
ฆ้องเงินหยางผู้มีผิวคล้ำก็สังเกตเห็นการพังทลายของแท่นสูงหยกขาวเช่นกัน ในใจทำการคาดเดาทันที เขากดข้อสันนิษฐานของตนเอาไว้ในใจ คิดจะทดสอบฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ ที่ถูกมอบหมายงานใหญ่เช่นนี้ให้หลังจากขึ้นฝั่งดูสักหน่อย
ตอนนี้เอง ฆ้องเงินหยางก็สังเกตเห็นว่าสวี่ชีอันดำดิ่งลงไปยังก้นทะเลสาบตามฐานของแท่นสูงจากหยกขาว
เขารีบตามไป แต่ยิ่งดำลงไป วิสัยทัศน์ก็ยิ่งพร่าเลือน สุดท้ายก็เหลือเพียงความมืดมิด
ฆ้องเงินหยางไม่ได้ตามต่ออีก ตนลอยขึ้นข้างบนแทน
‘ซ่า~’
เขาผุดขึ้นจากผิวน้ำแล้วปีนขึ้นเรือเล็ก ทางหนึ่งโคจรปราณทำให้น้ำทะเลสาบเย็นเฉียบระเหยจนแห้ง ทางหนึ่งก็มองทุกคนรอบๆ
“ใต้เท้าสวี่ดำลงไปที่ก้นทะเลสาบ ที่นั่นเป็นมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลย”
………………………………