บทที่ 121-2 สัตว์วิญญาณ
“เจ้าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง จะยินยอมอุทิศตนเพื่อรับใช้ข้าหรือ” องค์หญิงใหญ่เห็นสีหน้าซาบซึ้งใจเล็กน้อยของสวี่ชีอัน เมื่อรู้ว่าเขากำลังอึ้ง ก็หัวเราะเบาๆ แล้วขว้างกิ่งมะกอกออกไป
นี่แหละคือสิ่งที่สวี่ชีอันต้องการ แม้ใจปรารถนา ก็มิบังอาจเอื้อนเอ่ย ในเมื่อองค์หญิงใหญ่เสนอเช่นนี้ สวี่ชีอันจึงตอบสนองทันที
“กระหม่อมยินดีสละชีพเพื่อองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่ชีอันคุ้นเคยกับวิธีเช่นนี้เป็นอย่างดี ตอนทำงานที่กรมตำรวจเมื่อชาติกก่อนก็สวามิภักดิ์ต่อหัวหน้าเช่นนี้
แน่นอนว่านี่เป็นแค่พันธมิตรในการทำงาน เอื้อเฟื้อประโยชน์ซึ่งกัน หาได้เป็นสุนัขรับใช้ที่ก้มหัวต่ออำนาจของราชวงศ์ไม่ …เขากล่าวเสริมในใจ
เชื่อว่าด้วยระดับสติปัญญาและอารมณ์องค์หญิงใหญ่ การรักษาความสัมพันธ์ให้ดีคงไม่ใช่เรื่องยาก
องค์หญิงใหญ่หัวเราะอย่างสดใสเสียจนแสงจากทะเลสาบมัวหมอง
“บอกมาเถอะ พบสิ่งใดบ้างแล้ว” น้ำเสียงและอากัปกิริยาขององค์หญิงสัตตบงกชเปลี่ยนแปลงไปมาก ช่องว่างอันเบาบางนั้นได้สลายไปแล้ว
สวี่ชีอันครุ่นคิดสักพัก วางแผนว่าบอกไปตามความจริง เหตุผลคือเขาเพิ่งจะสร้าง ‘พันธมิตร’ กับองค์หญิงใหญ่ ต้องแสดงคุณค่าของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์
ต้องทำให้องค์หญิงใหญ่คิดว่าเจ้าหนุ่มนี่เก่งกาจและใช้ได้ทีเดียว
นอกจากนี้เขาอยากรู้ให้แน่ชัดถึงสิ่งที่ถูกผนึกใต้ซังผอ จะขาดความช่วยเหลือจากองค์หญิงใหญ่ไปไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นองค์หญิงใหญ่เปิดประเด็นสนทนานี้ขึ้นมาก่อน แถมนางยังเผยความลับที่มีเพียงจักรพรรดิหยวนจิ่งเท่านั้นล่วงรู้ให้กับเขาโดยไม่หวั่นเกรง
“จากการสืบสวนของกระหม่อม ยังมีผู้บงการโจวชื่อสวงที่คอยควบคุมเรื่องทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง และยังสมคบคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจด้วยพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันกล่าว
แววตาขององค์หญิงใหญ่เปลี่ยนไป “จะแน่ใจได้อย่างไร”
สวี่ชีอันเอ่ย “นายอำเภอจ้าวจากอำเภอไท่กังเสียชีวิตในคุกใต้ดินของที่ว่าการเมืองเมื่อเช้านี้ กระหม่อมสงสัยว่าเขาจะถูกฆ่าปิดปาก”
องค์หญิงใหญ่หลุบสายตาลง ทรงครุ่นคิดพลางพยักหน้า
สวี่ชีอันเอ่ยต่อ “กระหม่อมสงสัยมาโดยตลอดว่าเหตุใดเผ่าพันธุ์ปีศาจต้องระเบิดซังผอ เหตุใดผู้บงการเบื้องหลังจึงต้องสมคบคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ กระหม่อมให้คนไปตรวจสอบหนังสือราชการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับซังผอ พบเรื่องหนึ่งที่แปลกประหลาดยิ่งนัก เวลาที่เกิดเรื่องคือเมื่อ 500 ปีก่อน!”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดไปชั่วขณะ เว้นช่วงให้องค์หญิงใหญ่ตื่นตระหนก
แต่เขาก็ต้องผิดหวัง องค์หญิงเพียงขมวดคิ้วก่อนจะรับทราบข้อมูล
ฉือจิ้วกล่าวไว้ไม่ผิด…สตรีผู้นี้มีหุบเหวอยู่ในใจ ล้ำลึกสุดจะหยั่งถึง
“500 ปีก่อน องค์รัชทายาทในขณะนั้นไม่ระวังพลัดตกน้ำก่อนจะเป็นโรคหวาดผวา ไม่ช้าก็จมน้ำเสียชีวิตที่ซังผอ” สวี่ชีอันกล่าว
องค์หญิงใหญ่เผยสีหน้าฉงน “ข้าจำเรื่องราวในช่วงนี้ได้”
สวี่ชีอันพยักหน้าและกล่าวต่อ “เมื่อ 500 ปีก่อน จักรพรรดิอู่ตี้ฟื้นคืนกบิลเมืองกวาดล้างคนเลว มีอุปสรรคเพียงผู้เดียวที่เขามิอาจหลีกเลี่ยงได้ ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ องค์หญิงใหญ่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปโดยสิ้นเชิง
สวี่ชีอันจ้องมองใบหน้าสวยไร้ตำหนิขององค์หญิงใหญ่ แล้วเอ่ยถามตามลำดับ “เหตุใดท่านโหราจารย์จึงแสร้งป่วย เหตุใดฝ่าบาทจึงเก็บงำสิ่งที่ถูกผนึกใต้ซังผอไว้เป็นความลับ เหตุใดสิ่งที่ถูกกำราบอยู่ข้างใต้มานานกว่า 500 ปีจึงยังไม่สิ้นอายุขัย เหตุใดโหรจากสำนักโหราจารย์จึงไม่ทราบอดีตของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งเลย”
นี่เป็นความบิดเบี้ยวของความเป็นมนุษย์หรือการสูญสิ้นของศีลธรรมกันแน่…สวี่ชีอันกล่าวเสริม “แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการสันนิษฐานของกระหม่อมเท่านั้น ทว่าหากจะหาผู้แข็งแกร่งที่ตรงตามเงื่อนไขเมื่อ 500 ปีก่อน เห็นจะมีแต่ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งเท่านั้น”
องค์หญิงใหญ่ตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า ไม่ปริปากอยู่นาน สายลมพัดผ่านทะเลสาบจนระลอกคลื่นซ้อนทับเป็นจีบ นางทอดถอนใจ “ดังนั้นเจ้าจึงมาพบข้าสินะ…”
“กระหม่อมอยากตรวจสอบสำนวนคดีที่หาไม่พบจากภายนอกพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันเอ่ย “กระหม่อมค้นพบค่ายกลที่ปิดผนึกอยู่ในซังผอ บนเสาหินค่ายกลสลักด้วยอักษรของศาสนาพุทธ”
“ตัวอักษรศาสนาพุทธหรือ” มือที่องค์หญิงใหญ่สอดเข้าไปในแขนเสื้อ ผละออกจากกันชั่วขณะโดยไม่รู้ตัว นางจดจ้องสวี่ชีอันอยู่สักพักก็ละสายตา แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ได้ งานเลี้ยงสิ้นสุดแล้ว ข้าจะพาไปหอสมุดหลวง”
สวี่ชีอันโล่งใจ หลังจากกล่าวขอบคุณก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะประหนึ่งระฆังเงินและเสียงของน้ำกระเซ็นแตกซ่านดังขึ้น
เมื่อหันหน้าไปมอง องค์หญิงรองในชุดกระโปรงแดงดุจเพลิงยืนอยู่บนหลังของสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง สองมือจับเขาแหลมบนยอดศีรษะของสัตว์ประหลาด โยกไหวกายเพื่อทรงตัวให้มั่น ภาพเบื้องหลังงดงามอรชร
สัตว์ประหลาดตัวนั้นขาวโพลนทั่วทุกส่วน แผ่นเกล็ดละเอียด มีเกราะแบนราบอยู่ที่สันหลังสามารถให้คนยืนได้พอดี ลำตัวยาว 3 เมตร มีกรงเล็บคมงอกออกมาจากช่องท้อง ช่างดูคล้ายมังกร
องค์หญิงใหญ่หันกลับมาอธิบาย “สัตว์ร้ายตัวนี้เรียกว่ามังกรวิญญาณ เป็นสัตว์วิญญาณเพียงหนึ่งเดียวในจงโจว นิสัยว่านอนสอนง่าย เล่าขานว่าเป็นสัตว์พาหนะทางน้ำของจักรพรรดิแห่งมนุษย์[1]ในโบราณกาล”
“มันชอบกินปราณม่วงของโลกมนุษย์จึงถูกราชวงศ์แต่ละยุคสมัยเลี้ยงดูอยู่ภายในวัง ซึ่งแฝงความหมายว่าเมฆาสีม่วงจากบูรพาทิศ สายเลือดโดยตรงของเผ่าพันธุ์มนุษย์”
องค์หญิงใหญ่ตรัสเสริมอีก “อสูรตัวนี้มีวิชามองปราณติดตัว”
ที่แท้สิ่งที่เห็นอยู่ในทะเลสาบก็คือเจ้านี่นี่เอง…สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ ปราณม่วงเป็นปราณที่มีในหมู่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น สัตว์ประหลาดเช่นนี้ต้องหล่อเลี้ยงด้วยปราณม่วง สมแล้วที่เป็นสัตว์มงคล
เจ้าสัตว์มงคลประเดี๋ยวก็แหงนศีรษะ ประเดี๋ยวก็เดินบนน้ำ หยดน้ำแตกกระจายเป็นวง องค์หญิงรองยิ้มแย้มประดุจบุปผา หัวเราะคิกคักไม่หยุดคล้ายกับแม่ไก่สาว ทรงเล่นสนุกอย่างเริงร่า
เหล่าองค์ชายต่างอมยิ้มมองตาม องค์หญิงอีกสองพระองค์ทรงวิ่งไปที่ริมฝั่ง พร้อมตะโกนให้หลินอันขึ้นฝั่ง ทุกคนผลัดเปลี่ยนกันเล่น
“แม้มังกรวิญญาณจะว่านอนสอนง่าย ทว่าก็โอหังมากเช่นเดียวกัน มันจะโจมตีคนธรรมดาที่เข้าใกล้ หลินอันเป็นองค์หญิงจึงเล่นกับมันได้” องค์หญิงใหญ่ตรัสพลางเบ้ปาก แล้วทำในสิ่งที่สวี่ชีอันไม่คาดคิด
นิ้วชี้ของนางจรดริมฝีปากและออกแรงผิวปาก
เมื่อมังกรวิญญาณได้ยินเสียงผิวปาก ก็ผงกหัวขึ้นสูงเฉกเช่นงูและหันกลับมา
ทุกคนเห็นมังกรวิญญาณตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ทันใดนั้นมันก็กระสับกระส่าย ส่งเสียงแผดร้องจากในลำคอ ส่ายหัวไปมาหมายจะเหวี่ยงองค์หญิงรองตกลงไป ราวกับการถูกองค์หญิงรองขี่นั้นเป็นเรื่องอัปยศ
“ว้าย…”
‘ตู้ม!’ องค์หญิงรองกรีดร้องและตกลงไปในทะเลสาบ
มังกรวิญญาณหันกายว่ายไปทางองค์หญิงใหญ่อย่างบ้าคลั่ง ว่ายตีน้ำเข้ามาพลางส่งเสียงร้องไม่ขาดสาย แยกไม่ออกว่าตื่นเต้นหรือเกรี้ยวกราด
‘ซ่า!’
เมื่อใกล้ถึงริมฝั่งมันก็ทะยานขึ้นฟ้า แล้วดิ่งหัวตกลงมาอย่างแรง ศีรษะกระทบเข้ากับริมฝั่ง สาดโคลนกระเซ็นอย่างบ้าคลั่ง
รอยเปื้อนโคลนกระเซ็นอยู่บนชุดกระโปรงขาวบริสุทธิ์ขององค์หญิงใหญ่อยู่หลายจุด
องค์หญิงใหญ่ประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนวันนี้สัตว์วิญญาณจะใกล้ชิดนางเป็นพิเศษ สาเหตุที่นางผิวปากมิใช่เพื่อเรียกหาสัตว์วิญญาณ ทว่าเพื่อดึงดูดความสนใจของมัน แค่มันหันหน้ามาก็ทำให้หลินอันทรงตัวไม่อยู่พลัดตกน้ำได้แล้ว
ใครจะคิดว่ามังกรวิญญาณจะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ ถึงขั้นส่ายหัวเหวี่ยงหลินอันตกลงไปเสียเอง
ท่าทางขององค์หญิงใหญ่ดูคล้ายปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่อย่างไรชอบกล…ช่างหน้าเนื้อใจเสือยิ่งนัก…เจ้าน้องชายบ้านข้าก็หน้าใสใจเหี้ยมเช่นนี้เหมือนกัน…อ้อ องค์หญิงใหญ่เคยเล่าเรียนที่สำนักอวิ๋นลู่มาก่อนนี่หว่า…สวี่ต้าหลางตระหนักในคำเตือนของสวี่เอ้อร์หลางลึกซึ้งยิ่งขึ้น
มีเพียงคนหน้าเนื้อใจเสือเท่านั้นที่จะเข้าใจคนหน้าเนื้อใจเสือดีที่สุด
เหตุการณ์บนผิวน้ำทำเอาบรรดาองค์ชายสะดุ้งกันเป็นแถว องค์รัชทายาทรีบนำหน้าไปยังริมฝั่งและเรียกทหารรักษาพระองค์ให้มาช่วย
“มังกรวิญญาณชอบฮว๋ายชิ่งมากกว่าจริงๆ ด้วย”
“นี่หมายถึงรสชาติปราณม่วงของฮว๋ายชิ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าหลินอันใช่หรือไม่”
“เหมือนจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว…มังกรวิญญาณไม่กระตือรือร้นกับพวกเรามากนัก เจ้าดูท่าทางประจบสอพลอของมันสิ ข้าเคยเห็นเพียงครั้งเดียวเมื่อครั้งเยาว์วัย ยามนั้นผู้ที่เผชิญหน้ากับมันคือพระบิดา”
“ฮว๋ายชิ่งเดินไปแล้ว…”
องค์หญิงใหญ่ยกกระโปรงและเดินไปทางมังกรวิญญาณด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มบางๆ ที่คิดจะขี่มัน
ทางด้านของบรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดา รวมไปถึงองค์รัชทายาทต่างจับจ้องฉากนี้
………………………………………
[1] เป็นหนึ่งในสามจักรพรรดิ ตามตำนานกษัตริย์จีนยุคแรกเริ่ม ได้แก่จักรพรรดิแห่งสวรรค์ จักรพรรดิแห่งพิภพ จักรพรรดิแห่งมนุษย์