ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 123 ผู้มีอิทธิพลที่พัวพันกับคดีทะเลสาบซังผอ

บทที่ 123 ผู้มีอิทธิพลที่พัวพันกับคดีทะเลสาบซังผอ

บทที่ 123 ผู้มีอิทธิพลที่พัวพันกับคดีทะเลสาบซังผอ
องค์หญิงรองทรงประทับที่ ‘ตำหนักเส้าอิน’ เป็นเขตพระราชอุทยานที่กว้างขวางและงดงาม

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์นำสวี่ชีอันเดินข้ามธรณีประตูสูง อ้อมผ่านกำแพงบังตา เบื้องหน้าเป็นลานที่เต็มไปด้วยสีสันของเด็กสาวไร้เดียงสา

ชิงช้าแขวนอยู่บนเถาองุ่น มีโคลนกองอยู่ที่มุมกำแพง ในศาลาทางทิศตะวันออกเห็นของประหลาดกองอยู่รางๆ

ที่ริมสวนดอกไม้ทางทิศตะวันตก องค์หญิงรองหลินอันกำลังเตะลูกบอลแพรปักอยู่กับสาวใช้สองสามคนท่ามกลางเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของหญิงสาว บางครั้งก็มีเสียงหัวเราะราวเสียงระฆังเงินขององค์หญิงหลินอันแทรกมาด้วย

“ฝ่าบาท สวี่ชีอัน ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ทหารรักษาพระองค์กำหมัดอยู่ระยะไกล ถวายรายงานเสียงดัง

องค์หญิงรองทรงเหยียบลูกบอลแพรปัก แล้วหันมามอง พระองค์จ้องหน้าสวี่ชีอยู่หลายวินาที กระตุกมุมพระโอษฐ์เล็กน้อย แล้วทรงเตะลูกบอลแพรปักอย่างแรงจนลอยสูงขึ้นฟ้า

‘ตุบ!’

ลูกบอลแพรปักถูกยิงลอยไป ชายกระโปรงขององค์หญิงหลินอัน ก็บานออกเป็นวงกลม ราวกับดอกไม้บาน

ในใจของสวี่ชีอันที่พบหน้ากันก็ต้องเจอกับการแสดงฤทธิ์เดชรู้สึกสะท้าน ขณะที่เขากำลังจะหลบ จู่ๆ ก็ชะงัก ลูกบอลแพรปักยิงเฉไป กระเด้งตุบๆๆ ไปไกล

“ …จะยอมอภัยให้เจ้าสักครั้ง” องค์หญิงรองทรงกู้ศักดิ์ศรีตนเอง ทรงพระดำเนินไปยังห้องโถงด้านหน้าและตรัสว่า “สวี่ชีอัน เจ้าตามข้าเข้ามา คนอื่นๆ ให้รออยู่ข้างนอก”

ในห้องโถงด้านหน้าที่หรูหรา องค์หญิงรองทรงประทับอยู่บนพระเก้าอี้ขนาดใหญ่ ส่วนสวี่ชีอันยืนอยู่กลางห้องโถง ทั้งสองต่างสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียดอยู่เงียบๆ

องค์หญิงรองทรงใช้วิธีจ้องมองเพื่อบังคับสวี่ชีอันให้ยอมแพ้ โดยผ่านสถานะขององค์หญิง

พระองค์ทรงทราบดีว่าเมื่อครั้งฮว๋ายชิ่งยังเด็ก มีช่วงเวลาหนึ่งเคยล่าเหยี่ยวมาแล้ว สายตาเหยี่ยวนั้นแหลมคมที่สุด ราวกับมีด คนธรรมดาไม่สามารถจ้องตากับมันเป็นเวลานาน ดังนั้น ในกระบวนการล่าเหยี่ยว จำเป็นต้องใช้สายตาที่แหลมคมกว่ามาสยบมัน

ทันทีที่คนล่าเหยี่ยวละสายตา ก็สูญเสียคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าของเหยี่ยวทันที

จุดประสงค์ในการล่าเหยี่ยวของฮว๋ายชิ่งก็เพื่อฝึกสายตาที่แหลมคม จนถึงทุกวันนี้องค์หญิงรองยังไม่กล้าจ้องตากับฮว๋ายชิ่งเป็นเวลานาน

น่าเสียดายที่ดวงพระเนตรกลมโตที่เป็นประกายของพระองค์นั้นไม่มีพลังทำลายล้างจริงๆ เมื่อพระองค์จ้องไปที่ใคร กลับมีความรู้สึกเหมือนอยากพูดแต่ไม่กล้าพูดเสียอย่างนั้น

สวี่ชีอันพินิจพิเคราะห์องค์หญิงรอง พระพักตร์ของพระองค์กลมคล้ายกับใบหน้าของฉู่ไฉ่เวย แต่คนหลังนั้นสวยงามอ่อนหวานดวงตาโตสองมิติ

องค์หญิงรองนั้นทรงงามแบบผู้ใหญ่ ดวงพระเนตรกลมโตทอดพระเนตรไปที่ใครก็เต็มไปด้วยความเสน่หา

“สวี่ชีอัน ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ของฮว๋ายชิ่ง” เมื่อองค์หญิงรองเห็นว่าการจ้องมองด้วยแววตาดุร้ายของพระองค์ ไม่สามารถทำให้สวี่ชีอันหวาดกลัวได้ ดังนั้นจึงทรงหัวเราะเยาะเย้ย และหันไปใช้วาจาโจมตีเขาแทน

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมนามว่าฮาจิโกะ” สวี่ชีอัน กล่าวอย่างจริงใจ

“ฮาจิโกะคืออะไร”

“มันเป็นสุนัขที่จงรักภักดี”

“เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าหรือ” องค์หญิงหลินอันทรงเลิกพระขนง

“มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอัน พูดด้วยกิริยาวาจาที่เหมาะสม

องค์หญิงหลินอันทรงถอนพระปัสสาสะเบาๆ แล้วตรัสว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้า รีบสวามิภักดิ์ต่อข้าเสียแต่ตอนนี้ เพื่อจะได้หลุดพ้นจากผู้หญิงที่ชื่อฮว๋ายชิ่งนั่น มิฉะนั้น…”

สวามิภักดิ์ต่อพระองค์? ตอนนี้กระหม่อมได้โอบกอดพระอูรุขององค์หญิงใหญ่ กอดขาของเว่ยเยวียนไว้แน่นแล้ว ถ้าหากยังสวามิภักดิ์ต่อพระองค์อีก…กระหม่อมจะไม่กลายเป็นข้าสามเจ้า บ่าวสามนายหรือพ่ะย่ะค่ะ

สวี่ชีอัน ส่ายหน้า “ขอประทานอภัย กระหม่อมได้สาบานไว้แล้วว่าจะขอถวายการรับใช้องค์หญิงใหญ่ อย่างถวายชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงรองทรงตัดทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าถวายการรับใช้ข้าเช่นกัน”

ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะให้ค่าตอบแทนกระหม่อมหรือไม่ สวี่ชีอันเข้าใจสถานการณ์แล้ว องค์หญิงรองเห็นว่าเขาได้รับการชื่นชมจากองค์หญิงใหญ่ เป็นผู้ช่วยขององค์หญิงใหญ่ เขาหล่อเหลา แต่งกลอนเป็น และพูดจาน่าฟัง จึงทรงริษยาและอยากจะแย่งตัวเขาไปจากองค์หญิงใหญ่

“องค์หญิงรองอย่าทรงฝืนใจผู้อื่นเลยพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันปฏิเสธสิ้นเชิง เป็นคนต้องรักษาสัญญา ในเมื่อรับปากว่าจะทำงานให้องค์หญิงใหญ่แล้ว ก็ไม่สามารถสวามิภักดิ์ต่อผู้ใดอีก

“หากเจ้าไม่ยินยอม” องค์หญิงรองทรงถลึงพระเนตร แย้มพระสรวลอย่างเย็นชา และทรงข่มขู่ว่า “ข้าจะตะโกนว่าถูกล่วงเกิน และบอกทหารรักษาพระองค์ว่าเจ้าพยายามเกี้ยวพาราสีข้า”

“กระหม่อมยินดีที่จะถวายการรับใช้องค์หญิงรองอย่างถวายชีวิตพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างจริงใจ

องค์หญิงรองทรงดีพระทัยในทันที “คนที่รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์เป็นคนฉลาด เจ้าเป็นคนเก่งคนหนึ่ง..อืม ต่อไปหลังเที่ยงทุกวัน เจ้าก็มาเข้าเฝ้าข้าที่นี่ ไปปฏิบัติงานข้างนอกแทนข้า”

“พระองค์ กระหม่อมมีงานที่ได้รับมอบหมาย ให้ไปตรวจสอบคดีทะเลสาบซังผอ” สวี่ชีอันถอนหายใจ

“…ก็จริงนะ” องค์หญิงหลินทรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ช่างเถิด รอให้ข้าอยากใช้งานเจ้าเมื่อใด เจ้าค่อยมาก็แล้วกัน”

สวี่ชีอันเข้าใจแล้วว่า ผู้หญิงคนนี้แค่ต้องการหาเรื่อง ไม่ได้ต้องการให้เขาทำงานให้จริงๆ เจตนาหาเรื่ององค์หญิงใหญ่อย่างแท้จริง

การข่มขู่เมื่อครู่ไม่ได้มีกำลังสังหารเท่าไหร่นัก เอาชื่อเสียงขององค์หญิงมาแลกกับชีวิตของฆ้องทองแดงเล็กๆ คนหนึ่ง คุ้มแล้วหรือ!

เป็นเพราะว่าเขาเข้าใจดีแล้ว จึงได้เปลี่ยนใจยอมรับปากองค์หญิงรอง ถือว่าเล่นเป็นเพื่อนเด็กน้อยก็แล้วกัน รับปากไปอย่างนั้น

“เจ้าไปได้” องค์หญิงรองทรงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกอย่างเป็นไปด้วยดี

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ช้าก่อน” องค์หญิงรองทรงเรียกเขา ถอดชิ้นหยกที่เอวของออกแล้วทรงตรัสว่า “นี่คือสัญลักษณ์ของข้า สามารถใช้สิ่งนี้เข้าวัง ทหารรักษาพระองค์จะไม่ขัดขวางเจ้า แต่มาที่ตำหนักข้าได้เท่านั้น เจ้าจะไปที่อื่นไม่ได้”

…ใจกว้างขนาดนี้? เจ้าไม่กลัวเลยเหรอ ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกาย รับชิ้นหยกไว้แล้วเก็บไว้ในอกเสื้อ “ต่อไปกระหม่อมจะจงรักภักดีต่อพระองค์อย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”

สวี่ชีอันข้าสามเจ้า บ่าวสามนายออกจากเขตพระราชฐานตอนพลบค่ำ ควบม้ากลับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

หน่วยงานได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและเจ้าพนักงานไม่กี่คน เงียบเหงากว่าตอนกลางวันมาก

ขณะที่สวี่ชีอันเพิ่งเข้าไปในหน่วยงาน ฆ้องทองคำที่มีจมูกโด่งหน้าผากกว้างคนหนึ่งก็เดินมาหา เขาคือจูหยางพ่อของจูเฉิงจู้

เมื่อศัตรูมาพบกัน ไม่ได้ตาแดงก่ำด้วยความโกรธ แค่ต่างสังเกตซึ่งกันอย่างหวาดหวั่น

“ฆ้องทองคำจู บุตรชายของท่านอาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?” สวี่ชีอันยิ้มพร้อมกับหยิบป้ายคาดเอวออกมา แล้วผูกไว้ที่เอวด้วยความมั่นใจ

จูหยางเหลือบมองป้ายทองคำอย่างใจเย็น แล้วพูดเบาๆ ว่า “โชคดีที่ไม่ตาย เกรงว่าใต้เท้าสวี่จะต้องไปก่อน”

สวี่ชีอันโบกมือไปมา ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าจะรอเขา เพื่อพบกัน”

จูหยางจ้องหน้าเขาหลายวินาที แล้วพยักหน้า “ตรวจสอบคดีให้ดี”

“เดินทางปลอดภัย ฆ้องทองคำจู”

เมื่อเข้าไปในห้องชุนฟงที่อยู่ด้านข้าง ฆ้องทองแดงที่อยู่ในสังกัดของหลี่อวี้ชุนและมือปราบของทางการหลายคนล้วนยังคงอยู่ที่นั่น

หลี่อวี้ชุนได้ยินเสียงฝีเท้า จึงเดินออกมาจากห้องชุนถัง แล้วกล่าวว่า “การตายของนายอำเภอจ้าวมีเค้าเงื่อนแล้ว ไม่แน่ว่าจะเป็นการกระทำของลัทธิเต๋า”

สวี่ชีอันพยักหน้า ไม่ได้เข้าไปในห้องโถงด้านข้าง แต่เดินตามหลี่อวี้ชุนเข้าไปในห้องชุนเฟิง

“บ่ายวันนี้ ข้าหลวงเฉินเชิญเจ้าพนักงานของสำนักโหราจารย์มาสอบปากคำทหารประจำคุกและเจ้าพนักงานชั้นผู้น้อย เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาไม่มีอะไรผิดปกติ และเพื่อให้มั่นใจไปอีกขั้นว่านายอำเภอจ้าวตายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในคุกตอนก่อนฟ้าสางจริงๆ”

หลี่อวี้ชุนรินน้ำชาให้กับสวี่ชีอันซึ่งเป็นทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้บังคับบัญชาแล้วก็กล่าวว่า “พวกลัทธิเต๋าสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แล้วยังสามารถเลี่ยงทหารประจำคุกและทหารยามไปได้อย่างเงียบกริบ แต่หลังจากตรวจสอบข้อมูลวันนี้แล้ว พบว่ายังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้”

สวี่ชีอันจิบชา และฟังอย่างอดทน

“พ่อมด!” หลี่อวี้ชุนกล่าว

“พ่อมด?”

“เจ้าเคยได้ยินเรื่อง นิกายพ่อมดหรือไม่”

“เรื่องพ่อมดข้าเคยได้ยินท่านพูด บุคคลระดับเทพที่ไม่ถูกจัดระดับ นิกายพ่อมดเป็นนิกายที่ก่อตั้งโดยพ่อมดเหรอ”

หลี่อวี้ชุนส่งเสียง “อืม พ่อมดเป็นเทพที่แคว้นต่างๆ ทางภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือศรัทธาร่วมกัน นิกายพ่อมดมีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นเดียวกับที่พุทธศาสนาที่มีอำนาจต่อแคว้นต่างๆ ในภูมิภาคตะวันตก”

ต้าฟ่งนั้นพระราชอำนาจของจักรพรรดินั้นเป็นอำนาจสูงสุด ชนเผ่าทางเหนือก็เช่นเดียวกัน

แต่ในภูมิภาคตะวันตกและภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นอำนาจของเทพเป็นอำนาจสูงสุด นิกายจึงเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง

“ในขอบเขตของเทพพ่อมดสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับลัทธิเต๋าได้หรือ” สวี่ชีอันขอคำแนะนำอย่างถ่อมตน

“ไม่ ไม่มีกลุ่มใดในขอบเขตของเทพที่สามารถเปรียบเทียบกับลัทธิเต๋าได้” หลี่อวี้ชุนส่ายหน้าและพูดว่า “แต่พ่อมดระดับสี่ หรือเรียกอีกอย่างว่า พ่อมดแห่งความฝัน สามารถถักทอความฝันและฆ่าคนในความฝันได้ เจ็ดสิบปีที่แล้ว เผ่าพันธุ์ปีศาจทางภาคเหนือและนิกายพ่อมดเคยทำสงครามกันเพราะเรื่องดินแดนมาก่อน ตามข่าวกรองที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลส่งมา มีกองกำลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนสองพันนายกองหนึ่งเสียชีวิตอย่างปริศนาในค่ายทหาร ไม่มีบาดแผลใดๆ บนร่างกายของพวกเขา ทุกคนต่างนอนหนุนอาวุธพักผ่อนและนอนหลับไป แต่ก็ไม่ตื่นขึ้นอีกเลย”

พ่อมดระดับสี่…เหตุใดจึงดึงพ่อมดเข้ามาพัวพันอีก…คดีนี้ยากมากๆ

ปัจจุบันนิกายมนุษย์เป็นศาสนาประจำชาติของต้าฟ่ง และผู้นำศาสนาคือครูแห่งชาติ นับเป็นเกียรติยศสูงสุดแล้ว การที่พวกเขาช่วยอ๋องสยบแดนเหนือแย่งชิงบัลลังก์จะมีประโยชน์อย่างไร?

ไม่สามารถเลื่อนขั้นสูงไปกว่านี้อีกแล้ว ระดับเต็มแล้ว

ดังนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่นิกายพ่อมดจะเข้าร่วม หากคนที่ฆ่านายอำเภอจ้าวคือพ่อมดแห่งความฝัน ถ้าเช่นนั้น ผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังคดีทะเลสาบซังผอก็คือ มือมืดที่อยู่เบื้องหลัง (อ๋องสยบแดนเหนือ) เผ่าพันธุ์ปีศาจทางภาคเหนือ นิกายพ่อมดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ!

สวี่ชีอันจิบชาอึกหนึ่ง ไม่สามารถซ่อนความเหนื่อยล้าในดวงตาของเขาได้

“แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อยเวลานี้ก็สามารถตัดนิกายมนุษย์ออกไปได้ รายละเอียดของคดีมีความคืบหน้าอยู่บ้าง” สวี่ชีอันกล่าวว่า

“หัวหน้า รายงานเรื่องนี้ให้เว่ยกงทราบเถิด”

หลี่อวี้ชุนพยักหน้า แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “ข้ามักจะรู้สึกว่าปลายปีเกิงจื่อเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย”

“พวกเรารับผิดชอบคลี่คลายคดีเท่านั้น อย่าคิดมาก หรือเป็นห่วงเรื่องของประเทศชาติ” สวี่ชีอันตบไหล่เขาและออกจากหน่วยงานไป

เมื่อเขากลับถึงบ้านก็มืดสนิท หิวมาทั้งวัน ท้องร้องจ๊อกๆ เขากินอาหารที่แม่ครัวอุ่นมาให้จนหมด ดื่มนมที่น้องสวี่หลิงเยวี่ยส่งมาให้ เมื่อกลับถึงบ้าน เอนกายลงก็หลับไป

วันที่สาม สวี่ชีอันขี่ม้าไปที่หน่วยงานเมื่อยามฟ้าเริ่มสาง ก็เห็นฉู่ไฉ่เวยที่สวมกระโปรงสีเหลืองกำลังขี่ม้าเสียงดังกุบกับๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามเช่นเดียวกัน

มือหนึ่งนางจับสายบังเหียนม้า อีกมือหนึ่งถือถุงกระดาษไว้ในอ้อมแขน ซาลาเปาสีขาวโผล่ขึ้นมาครึ่งหนึ่ง โคลงเคลงไปตามทิศทางของม้า พยายามจะกระโดดออกมา

“เจ้ากินหรือไม่” ฉู่ไฉ่เวยยื่นซาลาเปาให้อย่างใจกว้าง พร้อมกับพูดเสริมว่า “ไส้เค็ม”

สวี่ชีอันรู้สึกซาบซึ้งใจ เช่นเดียวกับที่ได้ยินว่าสวี่หลิงอินดื่มโจ๊กเพียงชามเดียวเพราะเป็นห่วงเขา นักกินคนนี้เห็นเราเป็นคนกันเองแล้ว

สวี่ชีอันรับซาลาเปามาแล้วงับไว้ที่ปาก แล้วโยนสายบังเหียนของม้าให้เจ้าพนักงานที่ประตู

กินพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน ถามว่า “มีเบาะแสอะไรหรือไม่”

ฉู่ไฉ่เวยกล่าวว่า “ข้าถามมาแล้ว ศิษย์พี่ซ่งบอกว่าติดเครื่องมือบางส่วนของในวังและของสำนักโหราจารย์ไป ในเมืองหลวงนี้ เครื่องมือที่สามารถบังตาของวิชาพยากรณ์ได้ก็มีเพียงศาสนาพุทธเท่านั้นที่มี อืม ไม่ใช่วัดธรรมดาทั่วไป แต่มันคือวัดมังกรเขียว”

วัดมังกรเขียว?!

ผู้สืบทอดของวัดเจดีย์…สวี่ชีอันรู้สึกทั้งประหลาดใจและไม่ประหลาดใจ

เป็นจริงดั่งคาด ศาสนาพุทธเกี่ยวข้องกับคดีทะเลสาบซังผอจริงๆ

สำนักโหราจารย์ ราชวงศ์ นิกายพ่อมด เผ่าพันธุ์ปีศาจทางภาคเหนือ อ๋องสยบแดนเหนือ ศาสนาพุทธ…คดีเล็กๆ ของทะเลสาบซังผอ กลับพัวพันกับผู้มีอิทธิพลสำคัญมากมาย

………………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท