บทที่ 129 หวาดกลัว
ชั่วพริบตาที่มังกรวิญญาณสะบัดจักรพรรดิหยวนจิ่งตก จอมพลังระดับสูงสองสามคนที่อยู่ริมทะเลสาบก็มีปฏิกิริยาทันที พวกเขาพุ่งออกไปราวกับลูกศร เท้าเหยียบลงบนผิวน้ำจนระเบิดเป็นวงกระเพื่อมหลายวง
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตัวมั่นอยู่กลางอากาศ ปลายเท้าแตะเบาๆ ที่ผิวน้ำ ก่อนจะลอยไปริมฝั่งประดุจขนนก
แม้ว่าเขาจะให้กำเนิดทายาทเร็วเพราะเป็นราชวงศ์และเลิกฝึกวรยุทธ์แล้ว แต่การฝึกเต๋ากับราชครูในช่วงหลายปีมานี้ก็ให้ความสำเร็จมากมายในสายลัทธิเต๋า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เปลี่ยนจากผมขาวมาเป็นผมดำหรอก
จักรพรรดิหยวนจิ่งทั้งโมโหทั้งแปลกใจ คิดไม่ถึงว่ามังกรวิญญาณจะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้
“โฮก!”
หลังจากสะบัดจักรพรรดิหยวนจิ่งตกไปแล้ว ความเกรี้ยวกราดของมังกรวิญญาณก็ไม่ลดลงเลย มันใช้หัวกระแทกทหารระดับสูงคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาจนกระเด็น พลังปราณระเบิดกลางอากาศ ทำให้น้ำทั้งทะเลสาบซัดโหมขึ้นมา
เหล่าทหารรักษาพระองค์พากันลงมือสยบมังกรวิญญาณที่พยศขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“อย่าทำร้ายมัน” จักรพรรดิหยวนจิ่งตะโกนบอก
ตูม ตูม ตูม…แท่งน้ำสิบกว่าแท่งพุ่งขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วโจมตีเอาชีวิตเหล่าทหารรักษาพระองค์ที่ป้องกันอยู่ทั้งกลางอากาศและบนทะเลสาบอย่างแม่นยำ พวกเขาที่ก้าวสู่ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงนานแล้วจึงมีเกราะคุ้มกันต่ออาการบาดเจ็บ เพียงแต่การถูกแท่งน้ำพุ่งเข้าใส่ทำให้ร่างกายสะบักสะบอม ไม่อาจเข้าล้อมมังกรวิญญาณได้เลย
มังกรวิญญาณเชี่ยวชาญทางน้ำ จึงดุร้ายยามอยู่ในทะเลสาบอย่างยิ่ง
เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าสัตว์วิญญาณตัวนี้จะชูคอสูงแล้วร้องคำราม ก่อนพุ่งออกมาจากทะเลสาบไปที่ฝั่ง
เกิดอะไรขึ้น มังกรวิญญาณคล้ายถูกบางอย่างกระตุ้น…จักรพรรดิหยวนจิ่งรับรู้ถึงความผิดปกติ เขาเอ่ยเสียงนิ่งขรึม “หยุดมันไว้”
ครืดคราด…
ลำตัวใหญ่โตของมังกรวิญญาณพุ่งขึ้นฝั่ง กระแทกทำลายต้นสนหิมะและต้นสนมังกรมากมาย ก่อนควบทะยานดุเดือดราวกับบ้าคลั่ง กรงเล็บแหลมคมข่วนทำลายพื้นกระเบื้องหินสีเขียวจนแตกละเอียดอย่างง่ายดาย
มันจะไปไหน
“เสด็จพ่อ…”
“ฝ่าบาท”
องค์รัชทายาทและเว่ยเยวียนพุ่งเข้ามา
จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ แสดงออกว่าตนไม่เป็นอะไร
“เสด็จพ่อ มังกรวิญญาณเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทตื่นตระหนก ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่เคยเห็นมังกรวิญญาณสูญเสียการควบคุมเช่นนี้มาก่อน
เดิมทีมันเชื่องและอ่อนโยน ปฏิบัติต่อพี่น้องในราชวงศ์ของตนหลายคนอย่างสุภาพใจดียิ่ง ไม่เคยแสดงท่าทีรุนแรงออกมาเลย
“มันกำลังวิ่งหนี” จักรพรรดิหยวนจิ่งสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
มังกรวิญญาณกำลังวิ่งหนีเหรอ ทำไมเสด็จพ่อถึงใช้คำว่า ‘วิ่งหนี’ มาอธิบาย มันกำลังกลัวอะไร กำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างใช่หรือไม่
แต่ว่าจะมีที่ไหนปลอดภัยยิ่งกว่าวังหลวงอีกล่ะ
องค์รัชทายาทสับสนไม่เข้าใจกับเรื่องนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่ให้โอกาสเขาซักถาม พระองค์สั่งทหารรักษาพระองค์ให้เตรียมม้า ก่อนจะพุ่งตามไปทางที่มังกรวิญญาณวิ่งหนี
มังกรวิญญาณเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์สายตรง เป็นสัตว์วิญญาณที่กินปราณม่วงเพื่อฝึกตน ไม่มีทางเสียสติได้โดยง่าย
จักรพรรดิหยวนจิ่งไล่ตามรอยอุ้งเท้าไป เหล่าทหารรักษาพระองค์ก็กลัวว่าจะพลาดอะไร จึงตามติดไปทั้งสองด้าน
ไม่นาน จักรพรรดิหยวนจิ่งก็มองเห็นมังกรวิญญาณอยู่บนป้อมยิงธนู กรงเล็บแหลมคมแข็งแรงของมันเกาะติดกับตัวป้อม ฝังลึกลงไปในผนังหิน
กล้ามเนื้อที่ลำคอของมันขยายใหญ่ ส่งเสียงกรีดร้องคำรามสั่นสะเทือนออกมา พยายามขู่ให้ยอดฝีมือประจำวังที่ขวางทางมันอยู่ถอยไป พลางสะบัดหางโจมตี
ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสภาวะหยุดชะงัก เกล็ดของมังกรวิญญาณแข็งแกร่ง มีดดาบทำอันตรายได้ยาก พอบ้าคลั่งขึ้นมาพลังก็ยากจะดูถูกได้ เหล่าทหารรักษาพระองค์ก็กังวลว่าจะไปทำร้ายมันเข้า จะใช้มือเปล่าก็ยากจะปราบมันได้ ทำได้เพียงสู้ไปพลางรอให้เพื่อนร่วมงานนำอาวุธเวทมนตร์ที่สามารถพันธนาการมังกรวิญญาณได้มา
ปังๆๆ…ป้อมยิงธนูร้าวอย่างต่อเนื่องจากการสะบัดตีของหางมังกร ในที่สุดก็พังทลายลง
ทหารรักษาพระองค์สิบกว่านายรีบรุดไปข้างหน้า
เมื่อเห็นภาพนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งที่เพิ่งจะโล่งอกก็คิดจะส่งเสียงเรียกดึงสติว่าห้ามทำร้ายสัตว์วิญญาณของราชวงศ์
ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปาก ก็เป็นมังกรวิญญาณที่ดิ้นรนต่อต้าน มันสะบัดทหารรักษาพระองค์บนตัวทิ้ง แล้วพุ่งไปยังทิศทางหนึ่งอย่างมีเป้าหมายชัดเจน
เมื่อมองตามไปยังทิศทางนั้น นัยน์ตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็หดเกร็งอย่างรุนแรง
เขามองเห็นองค์หญิงผู้สวมชุดสีแดงสดใสน่ารักของตน องค์หญิงหลินอันที่เขาโปรดปรานที่สุด
และข้างกายของหลินอันในตอนนี้ก็มีเพียงนางกำนัลสองคนและฆ้องทองแดงสวมชุดเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหนึ่งคนเท่านั้น
“คุ้มกันหลินอัน” จักรพรรดิหยวนจิ่งตะโกนลั่น
…
เจ้าบัดซบตัวนี้มีนิสัยเชื่องอะไรกัน
สวี่ชีอันคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเรื่องแบบนี้ เขากับองค์หญิงรองเดินไปคุยไป อาศัยทักษะการสนทนาและทักษะตีสนิทกับทุกคนที่สะสมมาในชาติก่อน สวี่ชีอันจึงทำให้องค์หญิงรองขบขันด้วยรูปแบบน้ำเสียงตลกสนุกสนาน จนยกระดับมิตรภาพระหว่างทั้งคู่ขึ้นไปอีก
คิดว่าจะส่งนางไปยังทะเลสาบเล็กๆ ที่มังกรวิญญาณอยู่แล้วเล่นกับนางอีกครู่หนึ่ง จากนั้นตนค่อยกลับไปทำคดีต่อ
ผลคือวิ่งมาเจอกับเรื่องนี้เสียอย่างนั้น…
สวี่ชีอันกำลังจะพูดว่า ‘องค์หญิงที่นี่อันตราย กระหม่อมจะอารักขาพระองค์กลับไป’ แต่มังกรวิญญาณดันพุ่งเข้ามาอย่างกับรู้ใจ
สัตว์วิญญาณตัวนี้แข็งแกร่งมาก พลังไม่ต่ำกว่าจอมยุทธ์ขั้นหก สวี่ชีอันคิดหลบหนีโดยสัญชาตญาณ เขาหันหน้าเหลือบมององค์หญิงรอง พบว่านางตะลึงทึ่มทื่อไปแล้ว
ใบหน้าไข่ห่านกลมเกลี้ยงมีเสน่ห์กลับไร้สีเลือด ดวงตาแข็งค้าง ตกใจจนสูญเสียความสามารถในการคิดคำนวณ
สวี่ชีอันกวาดมองไปรอบๆ มองเห็นยอดฝีมือของพระราชวังมากมายพุ่งเข้ามา มองเห็นจักรพรรดิหยวนจิ่งที่ควบม้าทะยานมาหา และมองเห็นภายในดวงตาราวกับกระดุมดำของมังกรวิญญาณเปล่งประกายสดใสเสียดตา
ความรู้สึกนั้นช่างคล้ายกับเด็กน้อยหวาดกลัวได้พบหน้าพ่อแม่ จึงพุ่งเข้าสู่อ้อมอกของบิดาด้วยความดีใจจนแทบบ้า
หือ?
นี่คงไม่ใช่รับรู้ว่าข้ามาแล้ว ถึงได้จงใจพุ่งมาหาข้าหรอกนะ
ชั่วพริบตานั้น สวี่ชีอันก็อ่านแววตาของมังกรวิญญาณออก มันเป็นสัตว์วิญญาณที่มีสติสัมปชัญญะ
นอกจากความดีใจ ในแววตาของมังกรวิญญาณยังมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ด้วย เวลาไม่พอให้เขาคิดอะไรมาก
พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย มังกรวิญญาณกำลังจะพุ่งมาถึงในชั่วพริบตาแล้ว
สวี่ชีอันตัดสินใจได้ทันที เขาก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยไม่ลังเล ขวางไว้ตรงหน้าองค์หญิงหลินอัน มอบเพียงแผ่นหลังตั้งตระหง่านให้กับนาง
สวี่ชีอันกุมด้ามดาบเอาไว้ด้วยมือเดียว งอเข่าเล็กน้อย สงบสติอารมณ์ทั้งหมด หลังจากสะสมพลังในช่วงสั้นๆ นิ้วหัวแม่โป้งก็ดันเบาๆ
ชิ้ง…เมื่อเสียงหลุดจากฝังดังชัดเจน เส้นเล็กๆ สีทองหม่นก็ส่องวาบ ตรงหน้าหนึ่งจั้งถูกฟันจนเกิดรอยมีดลึกยาวสามจั้งกว้างสองนิ้วขึ้น
ภาพที่ทำให้คนตกตะลึงเกิดขึ้นแล้ว มังกรวิญญาณที่พยศบ้าคลั่งหยุดรั้งตัวเองเอาไว้ทันใด อุ้งเท้าทั้งสี่งอลง เล็บของมันครูดกับพื้นจนเป็นร่อง คาดไม่ถึงว่ามันจะหยุดลงหน้ารอยฟันดาบจริงๆ
มันกลับไม่กล้าก้าวข้ามไปแม้แต่ก้าวเดียวอย่างนั้นเหรอ
ภาพนี้ประทับอยู่ในใจขององค์หญิงหลินอันอย่างล้ำลึก และตกอยู่ในสายตาของจักรพรรดิหยวนจิ่ง เว่ยเยวียน และองค์รัชทายาทด้วย
“เอ๋ง…”
มังกรวิญญาณนอนหมอบอยู่บนพื้น ร้องออกมาอย่างกังวลใจเล็กน้อย
สวี่ชีอันอ่านความรู้สึกของมันออกได้อย่างง่ายดาย มังกรวิญญาณจะให้เขาหนี กล่าวให้ถูกคือ หนีไปด้วยกัน
มันร้อนใจมาก หวาดกลัวมาก ราวกับถูกอะไรบางอย่างคุกคาม…แต่เมื่อได้อยู่ตรงหน้าข้า มันกลับนิ่งและสงบลงมาก…ทว่าความหวาดกลัวยังคงไม่ลดน้อยลง…มันอยากให้ข้าพามันหนีไปด้วยกัน ไม่ก็อาจเป็นมันที่จะพาข้าหนีไปด้วยกัน…สวี่ชีอันเริ่มคาดเดาขึ้นในใจ
“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่” สวี่ชีอันกล่าว
องค์หญิงรองคิดว่าประโยคนี้ของสวี่ชีอันพูดกับนาง ในใจจึงรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเต็มเปี่ยมทันที
เมื่อได้ยินคำพูดของสวี่ชีอัน มังกรวิญญาณก็ไม่ร้อนรนแล้วจริงๆ มันร้องออกมาอย่างหงอยเหงา
ตอนนี้เอง ทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งก็มาถึงในที่สุด พวกเขาร่วมแรงกันลากตาข่ายใหญ่มหึมาสีทองหม่นผืนหนึ่ง
ฟึบ!
ตาข่ายยักษ์ถูกโยนไปคลุมตัวสัตว์ประหลาดตัวยาวสามเมตรไว้
กุบๆๆ…จักรพรรดิหยวนจิ่งขี่ม้าเข้ามา พิศดูองค์หญิงหลินอันอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าองค์หญิงรองไม่เป็นอะไรจริงๆ ก็โล่งอก
“เสด็จพ่อ…” องค์หญิงหลินอันเบะปากแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปอยู่ข้างม้าก่อนดึงแขนเสื้อของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
จักรพรรดิหยวนจิ่งแพ้ท่าทางแบบนี้เป็นที่สุด จึงเอ่ยปลอบนางไปสองสามประโยคอย่างอ่อนโยน
จากนั้น องค์จักรพรรดิที่มีอายุเกินกว่าห้าสิบปีแต่สีผมยังดำขลับก็มองพินิจสวี่ชีอันตั้งแต่บนลงล่าง
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท” สวี่ชีอันโค้งกายคำนับ
ราชวงศ์ต้าฟ่งมีข้อดีอย่างหนึ่ง นอกจากในโอกาสพิเศษบางอย่างแล้ว ยามปกติเมื่อเจอหน้าองค์จักรพรรดิแค่ต้องโค้งคำนับเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าคำนับ
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าเบาๆ “ทำได้ดีมาก เจ้ามีนามว่าอะไร”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสวี่ชีอันพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งชะงักไป แล้วพิจารณาดูอีกครั้ง รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย “เจ้าก็คือสวี่ชีอันเหรอ”
“พ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันพูดจบก็เผชิญหน้ากับสีหน้างุนงงของจักรพรรดิหยวนจิ่ง เขากล่าวอธิบายว่า “กระหม่อมพบปัญหาบางอย่างในการสืบคดี จึงตั้งใจเข้าวังมาปรึกษากับองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้ถามต่อ เพียงแค่พยักหน้า สายตาตกอยู่ที่ดาบในมือของสวี่ชีอัน “นำดาบมาให้เราดูหน่อย”
สวี่ชีอันมอบดาบยาวสีดำทองออกไปด้วยมือสองข้าง
ทหารรักษาพระองค์เดินหน้าเข้ามารับแล้วมอบให้กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง คนหลังพินิจดูอย่างละเอียดแล้วก็เอ่ยชื่นชม “ดาบดี”
เว่ยเยวียนเดินเข้ามายิ้มพลางกล่าวรับ “ท่านโหราจารย์มอบให้พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านโหราจารย์งั้นเหรอ หางคิ้วของจักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุก อาจเพราะไม่เข้าใจว่าท่านโหราจารย์จะยอมมอบดาบล้ำค่าให้กับฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่งด้วย
“ฝ่าบาท สวี่ชีอันเชี่ยวชาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุ มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับโหรของสำนักโหราจารย์ ครั้งหนึ่งกระหม่อมยังเคยเห็นเขาบรรยายความรู้ให้กับนักเล่นแร่แปรธาตุด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยเยวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
สวี่ชีอันเห็นก้นบึ้งนัยน์ตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งมีประกายประหลาดใจวาบผ่าน แต่ไม่นานก็ถูกเก็บกลับมา จักรพรรดิเหล่าเอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ “ข้าจำได้แล้ว เจ้าก็เคยแสดงทักษะการเล่นแร่แปรธาตุในคดีเงินภาษีด้วยนี่”
จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งดาบให้กับทหารรักษาพระองค์ ให้เขานำไปคืนให้กับสวี่ชีอัน
เว่ยเยวียนกำลังช่วยสร้างภาพลักษณ์ขุนนางมีความสามารถและเพิ่มความสำคัญให้กับตัวข้าอยู่…เว่ยเยวียนอะไรกัน เป็นท่านพ่อเว่ยต่างหาก สวี่ชีอันแอบรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ
องค์หญิงหลินอันส่ายกระโปรงชุดราชวงศ์แล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวล “เสด็จพ่อ สวี่ชีอันช่วยเหลือหม่อมฉัน เสด็จพ่อต้องตกรางวัลให้เขานะเพคะ”
“ควรตกรางวัล” จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า จ้องมองสวี่ชีอัน ก่อนกล่าวด้วยเสียงชัดเจน “หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอัน ทำความดีช่วยเหลือองค์หญิงหลินอัน ตกรางวัลเป็นทองคำพันตำลึง ผ้าแพรไหมห้าร้อยพับ”
“เสด็จพ่อ” องค์หญิงหลินอันไม่ยอม นางชี้ไปที่สวี่ชีอันแล้วกล่าว “เมื่อครู่เขาเพิ่งจะช่วยชีวิตหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันต้องคืนให้เขาหนึ่งชีวิต หม่อมฉันขอให้เสด็จพ่อละเว้นโทษประหารให้เขาเพคะ”
ทันใดนั้นสายตาคมกริบของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็มองไปยังสวี่ชีอัน เห็นเขาก้มหน้าท่าทางเชื่อฟังเจริญหูเจริญตา จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ถอนประกายคมกริบในดวงตากลับมาเล็กน้อย แล้วส่ายหน้ากล่าว “ข้าอนุญาตให้เขาใช้ผลงานชดเชยความผิดแล้ว ไขคดีซังผอได้ก็ย่อมละเว้นโทษประหารของเขา วาจาเป็นดั่งทองคำ จะกลับคำได้อย่างไร”
หลินอันไม่เชื่อฟัง นางตะโกนเสียงดัง “เช่นนั้นถ้าเขาไขคดีไม่ได้ไม่ใช่ต้องตายหรอกเหรอเพคะ เสด็จพ่อตกรางวัลเขาเป็นทองพันตำลึงจะยังมีประโยชน์อะไรกัน”
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวอย่างจนปัญญา “พอถึงเวลานั้น ข้าจะจัดการตามดุลยพินิจเอง”
เดิมทีเขาไม่คิดจะพูดคำพูดเหล่านี้ต่อหน้าสวี่ชีอัน มันจะทำให้เขาไม่เกรงกลัวเพราะมีที่พึ่งจนทำให้สืบคดีล่าช้า
ดังนั้นจึงกล่าวเสริมว่า “เวลาจำกัดยังคงเป็นครึ่งเดือนเหมือนเดิม ถ้าเจ้าไขคดีได้ ข้าย่อมละเว้นโทษประหารให้เจ้า แต่หากไม่สำเร็จ ในเมื่อหลินอันขอความเมตตาให้ เราก็จะไม่ฆ่าเจ้า แต่จะเนรเทศเจ้าไปชายแดนแทน เข้าใจหรือไม่”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” สวี่ชีอันกล่าวเสียงดัง เขาเห็นองค์หญิงหลินอันขยิบตาน่ารักมาให้ตน รอยยิ้มราวกับบุปผา
การลงทุนครั้งนี้ได้กำไรมากยิ่ง แม้ว่าสุดท้ายจะสืบหาตัวบงการเบื้องหลังของคดีซังผอไม่ได้ ข้าก็ไม่ต้องตาย มากสุดคือถูกเนรเทศ ฮึ เรื่องเล็กๆ อย่างเนรเทศน่ะ มีเว่ยเยวียน มีหลินอัน มีฮว๋ายชิ่งอยู่ ข้าที่เป็นทาสรับใช้ของทั้งสามฝ่ายย่อมไม่ห่วงกังวลเลยสักนิด
จักรพรรดิหยวนจิ่งเหลือบมองมังกรวิญญาณที่ทำตัวสงบเสงี่ยมไม่เกรงกลัวใดๆ แล้วก็ระเบิดโทสะออกมา กล่าวอย่างกราดเกรี้ยวว่า “ลากเจ้าสัตว์ป่าตัวนี้กลับทะเลสาบไปให้ข้า”
มังกรวิญญาณมองจักรพรรดิหยวนจิ่ง อุ้งเท้ายันตัวมันขึ้นแล้วดุนจมูกไปที่จักรพรรดิหยวนจิ่งแรงๆ
“ได้ เจ้าไสหัวกลับไปเอง” จักรพรรดิหยวนจิ่งด่าว่า
เหล่าทหารรักษาพระองค์ดึงตาข่ายยักษ์ออกมา มังกรวิญญาณก็เดินกลับเองด้วยท่าทางสบายเฉิบจริงๆ
หลังจากจักรพรรดิหยวนจิ่งปลอบโยนองค์หญิงรองแล้วก็กระทุ้งท้องม้า ก่อนเดินตามมังกรวิญญาณไป
สวี่ชีอันจ้องมองเงาหลิงของจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างเงียบงัน
เมื่อครู่ตอนที่องค์หญิงหลินอันขอความเมตตาให้ข้า แววตาของเขามองข้าเสียคมกริบ…นี่คิดว่าข้ากำลังล่อลวงชักจูงหลินอันอยู่เหรอ
ข่าวลือไม่ผิดเลย จักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นคนมีความเผด็จการอย่างแรงกล้าจริงๆ…ก็จริง จักรพรรดิที่ปรารถนาอยากจะมีอายุยืนก็จะมีความปรารถนาต่ออำนาจอย่างแรงกล้าเช่นกัน
เหนื่อยจริงๆ…ต่อหน้ายอดฝีมือด้านอำนาจเช่นนี้ ข้าไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิด เพราะกลัวว่าแววตาและการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของข้าอาจทำให้คนอื่นคาดเดาความคิดในใจได้…อืม ทักษะการแสดงของข้ายังพอได้อยู่นะ สีหน้าทั้งกลัวทั้งเกรงก็แสดงได้ไม่เลว
…
ริมทะเลสาบ บนแท่นสูง
จักรพรรดิหยวนจิ่งยืนอยู่ริมฝั่ง เอ่ยพูดเสียงต่ำ มังกรวิญญาณโผล่หัวขึ้นมาจากผิวน้ำแล้ววางไว้ที่ขอบของแท่นสูง
ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่นาน จากนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งก็สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างโมโห
เว่ยเยวียนเดินเข้ามารับจักรพรรดิหยวนจิ่ง เห็นสีหน้าของเขานิ่งขรึมก็เอ่ยปลอบ “เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงกริ้วเพราะสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ เจ้าโง่นี่ยิ่งนานยิ่งไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้ว” จักรพรรดิหยวนจิ่งยังโมโหไม่หาย “ข้าพูดกับมัน มันก็ไม่สนใจ”
แน่นอนว่าไม่ได้ถามถึงสาเหตุที่จู่ๆ มังกรวิญญาณก็พยศขึ้นมาเลย
“มังกรวิญญาณไม่คลั่งโดยไร้สาเหตุหรอก เว่ยเยวียน ประกาศคำสั่งของข้า เสริมกำลังคุ้มกันเขตพระราชฐาน หลังเวลาห้ามออกนอกเคหสถานแล้วต้องไม่มีผู้ใดเข้าออกเขตพระราชฐาน”
เว่ยเยวียนพยักหน้ารับคำสั่ง
จักรพรรดิหยวนจิ่งเดินเงียบๆ อยู่นาน ก็พลันกล่าวขึ้นว่า “เหตุใดเมื่อครู่เจ้าสัตว์ป่านั่นถึงเลือดร้อนขึ้นมาได้ล่ะ”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า “อาจเป็นเพราะหมดฤดูผสมพันธุ์แล้วก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ในใจของเขามีการคาดเดารางๆ อยู่ เพียงแต่มันไร้สาระเกินไป
…………………………………………..