บทที่ 146 ข้อความจากนักบวชเต๋าจินเหลียน
ภายใต้ชุดคลุมสีดำ มือทั้งสองข้างยื่นออกมาโดยสัญชาตญาณ ฝ่ามือบันดาลพายุหมุนขึ้น ฟู่… ภิกษุเหิงหย่วนลอยขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ และถูกโยนเข้าไปในพายุหมุนแห่งความตาย
เขาเบิกตากว้างด้วยความเจ็บปวด ผิวหนังเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว เลือดลมไหลออก ใบหน้าซูบโทรมจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งดูโรยราไปเล็กน้อยได้ก้าวสู่ความตายแล้ว… เหิงฮุ่ยที่มองภาพตรงหน้า สีหน้าโหดเหี้ยมก็เปลี่ยนไป แววตาคลายความแข็งกร้าวอำมหิตลงไปจนสิ้น
‘ผัวะ…’ เหิงหย่วนถูกเหวี่ยงออกไป กระแทกกับบ่อน้ำอย่างแรง
มือซ้ายของเหิงฮุ่ย จับมือขวาไว้แน่น และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “อย่าฆ่าเขา อย่าฆ่าศิษย์พี่ของข้า…”
ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนดุร้าย และกล่าวชักจูง “เหิงหย่วนเป็นภิกษุฝ่ายบู๊ เลือดลมลุกโชน ชดเชยอาการบาดเจ็บได้… หรือว่าเจ้าไม่อยากแก้แค้น เจ้าไม่อยากแก้แค้นแล้วหรือ”
จากนั้นสีหน้าที่ดุร้ายก็จางหายไป แทนที่ด้วยการดิ้นรนอย่างเจ็บปวด “ไม่ได้ อย่าฆ่าเขา เขาเป็นศิษย์พี่ของข้า”
“ใครหน้าไหนในใต้หล้าย่อมฆ่าได้ทั้งนั้น เหตุใดจึงฆ่าเขาไม่ได้”
“ในใต้หล้านี้เจ้าจะฆ่าใครก็ฆ่าไป แต่อย่าฆ่าเขา เขาเป็นศิษย์พี่ของข้า เป็นคนที่ข้าเคารพมากที่สุด”
“แล้วผิงหยางผู้นั้นล่ะ”
“ผิงหยาง…”
สีหน้าของเขาทั้งดุร้ายและเจ็บปวด ราวกับมีบุคลิกที่แตกต่างกันสองขั้วต่อสู้กันในตัว เมื่อจนมุม เส้นเลือดในแขนขวาที่แข็งแรงเปล่งแสงสีแดง ขึ้นๆ ลงๆ อย่างต่อเนื่อง ราวกับกำลังหายใจ
ตัวตนหลักของเหิงฮุ่ยดูเหมือนจะถูกสะกดเสียแล้ว ความเหี้ยมโหดค่อยๆ เป็นฝ่ายกำชัย
“เหิงฮุ่ย…” เสียงของเหิงหย่วนอ่อนล้า “จำสูตรแรกที่ศิษย์พี่สอนเจ้าในตอนนั้นได้หรือไม่”
คาถาชะล้างใจ… เหิงฮุ่ยต่อต้านมือขวาที่สูญเสียการควบคุม พิงกำแพงบ่อน้ำ และนั่งลงช้าๆ สองมือประสานกัน และสวดมนต์อย่างแผ่วเบา
ผ่านไปนาน บรรยากาศดุร้ายของเขาก็ค่อยๆ สงบลง แขนขวาไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป
เหิงฮุ่ยลืมตา นัยน์ตายังคงเป็นสีดำที่ไม่มีตาขาว เขาจ้องมองเหิงหย่วนที่ก้นบ่อน้ำอันมืดสลัว และพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“ศิษย์พี่ ท่านไม่อยากรู้หรือว่าหนึ่งปีก่อนข้าเจออะไรมา ตอนนี้ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง”
…
“สาวใช้คนนั้นชื่ออะไร”
ภายในห้องสอบปากคำ สวี่ชีอันดื่มชาอึกหนึ่ง และมองคณิกาที่นั่งกระสับกระส่ายตรงข้ามเขา
“เหอเอ๋อร์…” หมิงเยี่ยนตอบคำถามอย่างเชื่อฟัง
นางลอบมองสวี่ชีอันอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เหลือบมองไปทางประตูที่ปิดสนิท ในฐานะคณิกาแห่งหอนางโลม นางเคยติดต่อกับขุนนางข้าราชการระดับสูงมาไม่น้อย จึงรู้ว่าที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นสถานที่แบบไหน
ตราบใดที่เหล่าเจ้าหน้าที่ถูกจองจำ ไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนัง และผู้หญิงอ่อนแออย่างนาง สิ่งที่ต้องเผชิญอาจจะน่ากลัวเสียยิ่งกว่าความตาย
“นางตามรับใช้เจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่” สวี่ชีอันสีหน้าเคร่งขรึม
“สะ สามถึงสี่ปีแล้ว” นางมองสวี่ชีอันด้วยความหวาดกลัว “ประมาณสามปีครึ่ง ข้าน้อยจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้เจ้าค่ะ”
ชายผู้นี้นั่งนิ่งด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ดูสูงส่งน่าเกรงขาม จนนางไม่กล้าหายใจ ในใจแบกความกดดันอันหนักอึ้ง
คนเราเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้อย่างไร เมื่อคืนเขายังเป็นคุณชายเจ้าสำราญอยู่เลย
สามปีครึ่ง… ว่าแล้วก็หันหน้าเรียกคนไปตรวจสอบดูว่า ในช่วงเวลานี้ยังมีผู้หญิงคนไหนเข้าไปในหอนางโลมอีก สวี่ชีอันพยักหน้า “ปกตินางเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดกับใคร”
หมิงเยี่ยนครุ่นคิดอยู่นาน นางนึกพลางพูดชื่อคนกลุ่มหนึ่งออกมา
หลังจากสอบปากคำอีกสองสามคำถาม สวี่ชีอันก็มองไปทางเจ้าพนักงานที่รับผิดชอบจดบันทึก เจ้าพนักงานพยักหน้า
“ขอบคุณแม่นางหมิงเยี่ยนมากที่ให้ความร่วมมือ เจ้าไปได้แล้ว”
“เอ๊ะ” ความสุขเอ่อล้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับพายุคลั่ง นางไม่เชื่อหูตัวเองไปชั่วขณะ
“ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่หอนางโลมเอง” สวี่ชีอันลุกขึ้น และผายมือเชื้อเชิญ
คณิกาหมิงเยี่ยนตามเขาออกไปอย่างหวั่นเกรง เมื่อเดินมาถึงประตูที่ว่าการ และเห็นรถม้าที่จอดอยู่ด้านนอก นางถึงโล่งใจ และเชื่อว่าตัวเองจะถูกส่งกลับไปที่หอนางโลมจริงๆ ไม่ได้ถูก…อยู่ในที่ว่าการ
นางกลับสู่อิริยาบถเดิมทันที และโค้งคำนับอย่างงามสง่า “ขอบคุณใต้เท้าสวี่”
สวี่ชีอันยื่นมือไปขยำแก้มก้นอันอวบอิ่ม “บุญคุณยิ่งใหญ่อย่าตอบแทนด้วยคำพูด ตอบแทนด้วยการกระทำจะดีกว่า”
ชายผู้นี้เปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก… คณิกาหมิงเยี่ยนรู้สึกเขินอายและแอบกลัวอยู่นิดๆ แล้วเหลือบมองรถม้า
สวี่ชีอันเลิกคิ้ว เขามองรถม้าและจมอยู่ในความคิด
…
รถม้าจอดที่ด้านนอกตรอกหอนางโลม แม่นางคณิกาลงจากรถม้า และเอ่ยอย่างอ่อนหวาน “หากใต้เท้าสวี่มีเวลาก็มาดื่มชาที่ลานชิงฉือได้นะเจ้าคะ”
หลังจากเอ่ยทิ้งท้ายเป็นมารยาท นางก็หันหลังเดินจากไปทันที ฝีเท้าก้าวฉับอย่างรวดเร็ว จนชายกระโปรงปลิวไสว
นางหวาดกลัวสวี่ชีอันนิดๆ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความแข็งกระด้างระดับทองคำบริสุทธิ์ 24K ของเขา บนรถม้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นางค่อนข้างหวาดกลัวคนที่เจ้าอารมณ์แบบนี้เสมอ
สวี่ชีอันนั่งรถม้ากลับไปยังที่ทำการ และเรียกสมาชิกหลักของทีมมาประชุม
ในไม่ช้า ฆ้องเงินสามคน หลี่ว์ชิง และซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยว ทั้งหมดหกคนก็ถูกสวี่ชีอันเรียกมาที่ห้องโถงด้านข้าง
“ทุกคนคงทราบถึงสถานการณ์ในหอนางโลมเมื่อคืนแล้ว” สวี่ชีอันกล่าว
หลี่อวี้ชุนและคนอื่นๆ พยักหน้า พวกเขาได้ฟังจากซ่งถิงเฟิงหมดแล้ว และรู้ด้วยว่าสุดท้ายเป็นคนของสำนักโหราจารย์ลงมือแก้ไขวิกฤต
ส่วนเหตุใดซ่งถิงเฟิงไม่รายงานที่ทำการ พวกเขาร่วมใจกันปิดปากไม่เอ่ยถาม เพราะเมื่อคืนโชคไม่ดีที่คนเข้าเวรคือฆ้องทองคำจู
หลี่ว์ชิงจ้องสวี่ชีอันอยู่นาน จนเขารู้สึกขนลุก ขมวดคิ้วถาม “หัวหน้ามือปราบลวี่ มีเรื่องอะไรหรือ”
หลี่ว์ชิงเม้มริมฝีปากแดง “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าหอนางโลมมีเผ่าพันธุ์ปีศาจซ่อนอยู่”
พวกผู้ชายเผยรอยยิ้มที่รู้กันดีออกมา มีเพียงหลี่อวี้ชุนคนเดียวที่ตีหน้าขรึม เพราะไม่หื่นกามเหมือนกับเจ้าพวกนี้จึงไม่ค่อยเข้าพวกสักเท่าไหร่
สวี่ชีอันกล่าวด้วยหน้าตาจริงจัง “ตอนลาดตระเวนยามวิกาลบางครั้ง ข้าใช้วิชามองปราณสำรวจหอนางโลม และพบว่าที่นั่นมีไอปีศาจ”
“เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินเจ้ารายงานเรื่องนี้” หลี่อวี้ชุนชะงัก
“ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าแสงสีเขียวหมายถึงอะไร จากนั้นก็ถูกจับเข้าคุกเพราะไปฟันไอ้เหลือขอแซ่จูนั่นอีก แล้วจากนั้น…” สวี่ชีอันยักไหล่
จากนั้นเจ้าก็กลายเป็นลูกน้องของข้า แม้ว่าพวกเราจะเรียกกันตามฐานะ แต่ข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องรายงานเจ้า
“เอาเถอะ ข้ามีเรื่องจะมอบหมายให้พวกเจ้าไปจัดการ” สวี่ชีอันวางรายชื่อในอ้อมแขนกระแทกลงบนโต๊ะ
“หัวหน้า พาคนไปตรวจสอบบุคคลในรายชื่อ พวกนางมีความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดกับปีศาจสาว นอกจากนี้ ตรวจสอบผู้หญิงที่เข้าหอนางโลมเมื่อสี่ปีก่อน หรือมีชื่อเสียงโด่งดังด้วย”
“หัวหน้ามือปราบลวี่ เจ้าพาคนไปตามล่าและจับกุมเหิงฮุ่ยตามบ้าน ระวังตัวให้มากด้วยจำไว้ล่ะ”
เมื่อมอบหมายเสร็จสิ้น สวี่ชีอันก็นั่งลงดื่มน้ำ และตั้งใจจะไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอนางโลมกับเว่ยเยวียน
ความรู้สึกใจสั่นแล่นเข้ามา เขาออกจากห้องโถงด้านข้างทันที และเข้าไปในห้องน้ำ หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา กลุ่มแชตหนังสือปฐพีที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมานาน ในที่สุดก็มีคนออนไลน์และส่งข้อความมาสักที
‘ห้า: ข้ามาชำระหนี้หมายเลขสาม อืม พวกข้าสำรวจหุบเหวลึกเสร็จแล้ว และข้าก็พบความลับอันยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง’
อีกฝ่ายจงใจกล่าวถึงตัวเอง สวี่ชีอันจึงไม่อาจนิ่งเงียบได้ และตอบกลับว่า ‘ความลับอะไรหรือ’
‘ห้า: พวกเจ้าล่ะ ตัดสินใจจะติดหนี้ค่าตอบแทนข้าหรือไม่’
‘สอง: พูดมาสิ’
‘สี่: อืม ไม่มีปัญหา’
‘ห้า: หมายเลขหนึ่งไม่อยู่หรือ’
‘หนึ่ง: ได้’
หลังจากทุกคนแสดงจุดยืนจนครบ หมายเลขห้าก็ส่งข้อความมาว่า ‘หลังจากคนในเผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ดเผ่าผ่านความยากลำบากอย่างหนัก และสำรวจจนเกือบตาย ในที่สุดก็ไปถึงหุบเหวลึก…’
‘สอง: น้ำไม่ต้อง ขอเนื้อๆ เลย’
‘ห้า: …พวกข้าพบรูปปั้นของปราชญ์ลัทธิขงจื๊อในหุบเหวลึก เขากำลังจ้องมองไปที่ขุมนรก’
ปราชญ์ลัทธิขงจื๊อหรือ สมาชิกพรรคฟ้าดินต่างพากันตกใจในทีแรก ก่อนที่จะนึกถึงหมายเลขสามพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ในฐานะศิษย์ผู้โดดเด่นสำนักอวิ๋นลู่ เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่าง
แต่เดาว่าเขาคงไม่ยอมบอก… ยิ่งไปกว่านั้น หนี้ที่ติดค้างกับเจ้าตัวก็ยังไม่ได้ใช้คืน… จู่ๆ ก็หนี้ท่วมหัวโดยไม่รู้ตัว…
‘ห้า: หมายเลขสาม เจ้าเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นลู่ เจ้ารู้อะไรบางอย่าง ใช่หรือไม่’
เหล่าสมาชิกของพรรคฟ้าดินดีอกดีใจกันยกใหญ่ หมายเลขห้าถามได้ดี
ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าก็ตกใจมากเช่นกัน… สวี่ชีอันไม่ได้ตอบตรงๆ แต่ใส่ข้อความ ‘ในหุบเหวลึกนอกจากรูปปั้นนักปราชญ์ยังมีอะไรอีก นอกจากนี้ เจ้าอธิบายลักษณะของรูปปั้นนักปราชญ์อย่างละเอียดหน่อย’
ทั้งหมดนี้เป็นการพูดจาไร้สาระ เพียงเพื่อเก็บข้อมูลให้มากขึ้นเท่านั้น
‘ห้า: ในหุบเหวลึกนอกจากเทพเจ้ากู่กับหนอนกู่มากมาย ก็มีเพียงรูปปั้นนักปราชญ์เท่านั้น อา ข้าจำได้ว่า ระหว่างคิ้วของรูปปั้นนักปราชญ์มีรอยร้าว ผู้อาวุโสในเผ่าดูจะกังวลอยู่ไม่น้อย’
ระหว่างคิ้วของรูปปั้นนักปราชญ์มีรอยร้าว… ผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์กู่กังวลมาก… หมายเลขสองฉุกคิดขึ้นมา ‘พวกเจ้าว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่ารูปปั้นนักปราชญ์กำลังผนึกเทพเจ้ากู่เอาไว้ มิเช่นนั้น ทำไมอยู่ดีๆ ภายในหุบเหวลึกถึงมีรูปปั้นนักปราชญ์ปรากฏอยู่ล่ะ’
‘สี่: ความเป็นไปได้นี้ยังไม่ควรตัดทิ้ง การใช้สื่อกลางอย่างรูปปั้น ประติมากรรมสำริดกับเครื่องทองแดงเป็นค่ายกลปิดผนึก เป็นเรื่องที่เห็นกันบ่อยมาก สมัยโบราณ จักรพรรดิทรงหล่อจิ๋วติ่ง ยับยั้งลำธารและภูผาของจิ่วโจว และการรวบรวมชะตาของมนุษย์ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด’
‘หนึ่ง: ที่หว่างคิ้วของรูปปั้นนักปราชญ์มีรอยร้าว ก็หมายความว่าผนึกไม่เสถียรใช่หรือไม่ ดังนั้นเทพเจ้ากู่จึงเริ่มฟื้นคืนชีพ’
‘สี่: ก็เป็นไปได้’
หัวข้อนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว อันที่จริงตำแหน่งของเทพเจ้ากู่กับซินเจียงตอนใต้ห่างไกลจากทุกคนมากเกินไป
สวี่ชีอันใส่ข้อความ ‘หมายเลขหนึ่ง ช่วงนี้เจ้าไม่ได้ถามข้าเรื่องสถานการณ์ของคดีซังผอ เจ้าอ่านหนังสือโบราณได้เบาะแสอะไรบ้างหรือไม่’
‘หนึ่ง: ไม่มีเบาะแสเลย’
เมื่อพูดจบ หมายเลขหนึ่งก็หายไปเงียบๆ
สถานการณ์ของหมายเลขหนึ่งแปลกไปจากเดิมนิดหน่อย ก่อนหน้านี้เห็นๆ อยู่ว่าเขาให้ความสนใจคดีซังผออย่างมาก… แต่ผ่านมาหลายวันแล้ว เขาหรือนางกลับไม่ถามข้าเรื่องความคืบหน้าของคดีเลย… สวี่ชีอันใส่ข้อความ ‘หมายเลขสอง มีเบาะแสเกี่ยวกับที่อยู่ของโจวชื่อสวงหรือไม่’
‘สอง: ไม่มี ข้าจะคอยจับตาแทนเจ้าเอง’
จำนวนคนมหาศาล ใช่จะหาเจอได้ง่ายๆ สวี่ชีอันทั้งผิดหวังและรู้สึกว่าเป็นไปตามคาดอยู่แล้ว
หลังจากพูดคุยกันอีกพักหนึ่ง หมายเลขสี่และคนอื่นๆ ก็แสดงความเป็นห่วงเป็นใยในเบาะแสของหมายเลขหก เรียกนักบวชเต๋าจินเหลียนก็แล้ว แต่นักบวชก็ไม่ตอบกลับ
…วันนี้แดดดี นักบวชเต๋าจินเหลียนคงจะไม่ได้นอนอาบแดดสบายใจเฉิบอยู่บนหลังคาหรอกนะ
สวี่ชีอันนึกสาปแช่งในใจ ทันใดนั้นก็เห็นนักบวชเต๋าจินเหลียนตอบกลับ ‘เก้า: สาม’
“หืม” สวี่ชีอันชะงักไป ก่อนจะถึงบางอ้อ เมื่อเก็บกระจกหินหยกเรียบร้อย เขาก็ออกจากห้องน้ำ และเร่งฝีเท้าไปที่ประตูที่ว่าการ
เขามองไปรอบๆ ที่ประตูครู่หนึ่ง เห็นแมวสีส้มยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน หางตั้งสูง มองมาทางประตูที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเงียบๆ
สวี่ชีอันเดินไปอย่างธรรมชาติ และเดินไปหยุดข้างๆ แมวสีส้ม ไม่มองมัน แต่มองไปรอบๆ แทน
แมวสีส้มเอ่ยเสียงเบา “ข้าหาตัวหมายเลขหกเจอแล้ว”
…………………………………………………………