บทที่ 152 สอบปากคำเหิงหย่วน
วันต่อมา สวี่ชีอันนั่งยองๆ ล้างหน้าแปรงฟันอยู่ใต้ชายคา แล้วส่งเสียงเรียกขึ้นในหัวว่า “ไต้ซือเสินซู”
ไม่มีการตอบรับ
“ไต้ซือ เมื่อคืนนี้ท่านบอกว่าข้ากับท่านเป็นคนประเภทเดียวกัน ข้าอยากจะถามสักหน่อย ท่านก็เก็บเงินได้ทุกวันเหมือนกันหรือ”
ไม่มีการตอบรับ
ปกติเขาก็หลับไหลมาโดยตลอด ก็เป็นสิ่งที่ถูกผนึกนี่นา… ไว้ค่อยเรียกอีกครั้งแล้วกัน ถ้าหากยังไม่มีการตอบรับอีก จะให้ข้าใช้ร่างกายอันอ่อนนุ่มเร่าร้อนของข้าไปอบอุ่นร่างกายแสนเย็นยะเยือกของเขา ข้าก็คงต้องฝืนใจยอมรับมัน… สวี่ชีอันถอนหายใจเล็กน้อย
เขาสวมเครื่องแบบหล่อเหลา ผูกมวยผมอย่างเรียบร้อย จากนั้นสวี่ชีอันก็ห้อยดาบยาวสีดำทองไว้หลังเอว ปีนข้ามกำแพงสูงหนึ่งจั้งเพื่อไปกินข้าวเช้าที่บ้านใหญ่
มือเขาวางไว้ที่ด้ามดาบ ทันใดนั้นก็นึกถึงตอนที่ท่านโหราจารย์มอบดาบเล่มนี้มาให้เขา แบบนี้นับว่าเป็นการแสดงความเป็นมิตรหรือเปล่านะ
“…ข้าล่องลอยไม่เป็นหลักแหล่งเกินไป ยอดฝีมือระดับหนึ่งจะผูกมิตรกับข้าได้อย่างไร แต่ว่าดาบเล่มนี้ช่างเข้ากันดีกับ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ของข้ายิ่งนัก ขอบคุณท่านโหราจารย์จริงๆ “
หือ?
จู่ๆ สวี่ชีอันก็ชะงักฝีเท้าอยู่กับที่
ดาบยาวสีดำทองเป็นของท่านโหราจารย์ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ก็เป็นสำนักโหราจารย์ที่ส่งมาให้ ดาบยาวดำทองเข้ากันกับ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ได้พอดี อีกทั้งท่านโหราจารย์ยังรู้เรื่องที่ตัวข้ามีโชคดีแปลกประหลาดอีกด้วย…ภายใต้สายลมเย็นเยือกยามรุ่งอรุณ สวี่ชีอันตัวสั่นสะท้านเบาๆ
ตอนนี้เอง เขาก็เกิดความคิดที่ชวนให้ปวดหัวขึ้นมา ‘เส้นทางแห่งต่างโลกล้ำลึกนัก ข้าต้องกลับโลกเดิมได้แล้ว’
“เฮ้อ…ค่อยๆ ดูกันไปทีละก้าวแล้วกัน ยกระดับพลังและฐานะก่อน เรื่องต่อจากนั้นค่อยว่ากัน”
เมื่อสงบจิตสงบใจได้แล้ว สวี่ชีอันก็มายังโถงด้านหน้า ฟ้าสางแล้ว อาสะใภ้และอารองนั่งกินข้าวอยู่บนโต๊ะอาหาร ลวี่เอ๋อก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วย โดยมีเสี่ยวโต้วติงตัวน้อยนั่งอยู่บนตัก
“พี่ใหญ่!” สวี่หลิงอินส่งเสียงเรียกอย่างร่าเริง ก่อนจะค่อยๆ ขยับซาลาเปาไส้เนื้อและปาท่องโก๋มาไว้ในอ้อมแขนของตน
…ช่างเป็นความรักพี่น้องจอมปลอมเสียจริง สวี่ชีอันนั่งลง ตักโจ๊กให้ตัวเองหนึ่งชามแล้วเหลือบตามองฮูหยินคนงาม
“อาสะใภ้ตื่นเช้าขนาดนี้เชียว”
อาสะใภ้ผู้ตื่นแต่เช้าอารมณ์ไม่ดี ไม่ค่อยอยากสนใจหลานชายนัก นิ้วเรียวสีหยกขาวแกว่งช้อนกระเบื้อง คนข้าวต้ม แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“หลิงเยวี่ยไม่สบาย ข้าเพิ่งไปเยี่ยมมา”
“เป็นอะไรหรือ” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว เขาเป็นห่วงน้องสาวผู้งดงามไร้ที่ติคนนี้ยิ่งนัก
“เรื่องของผู้หญิง…” อาสะใภ้พึมพำเสียงเบา ไม่คิดจะอธิบาย
อ้อ ประจำเดือนมาแล้วสินะ…แต่ถ้าประจำเดือนมาจริงๆ คงไม่ถึงขั้นให้อาสะใภ้ไปเยี่ยมหรอก ถ้าอย่างนั้น เป็นเพราะปวดประจำเดือนหรือ
นักสืบชื่อดังสวี่ชีอันได้ข้อสรุป
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ สวี่ชีอันก็กล่าวว่า “ข้าจะไปเยี่ยมหลิงเยวี่ย”
อารองและอาสะใภ้ไม่ว่าอะไร ข้อดีของครอบครัวทหารคือ ไม่มีกฎเกณฑ์หยุมหยิมแบบตระกูลบัณฑิตนักอักษร
ตัวอย่างเช่น ระหว่างพี่ชายน้องสาวกับพี่สาวน้องชาย ยามพูดคุยกันต้องเว้นระยะห่างในระดับหนึ่ง ยามพบหน้าต้องคารวะกันก่อน ไม่อาจเจอกันแบบส่วนตัวได้นานเกินไป เว้นแต่ว่าจะมีพี่น้องหลายคนนั่งอยู่ด้วยกัน
บลาๆๆ
ไม่อย่างนั้น สวี่หลิงเยวี่ยในวัยนี้คงจะกระอักกระอ่วนมาก เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ควรจะปฏิเสธถึงจะถูก
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่…ข้าก็อยากไปเยี่ยมพี่หญิงด้วย” สวี่หลิงอินกระโดดลงจากตักของลวี่เอ๋อแล้วดึงชายเสื้อของสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันไม่ชอบที่นางเดินช้า จึงหนีบนางไว้ใต้รักแร้เสียงดังออดแอด ไม่นานก็มาถึงประตูห้องของสวี่หลิงเยวี่ย เขาเคาะประตูเอ่ยถาม
“น้องหญิง อาสะใภ้บอกว่าเจ้าไม่สบายหรือ”
เสียงอ่อนแอของสวี่หลิงเยวี่ยดังออกมาจากในห้อง “ข้า ข้าไม่เป็นอะไร…”
“พี่ใหญ่เข้าไปได้ไหม” สวี่ชีอันพูดในใจ ต้องทำความสะอาดผ้าเช็ดแผลสักหน่อยไหมนะ
‘แอ๊ด…’ สาวใช้เปิดประตูแล้วเชิญสวี่ชีอันกับเสี่ยวโต้วติงเข้าไปในห้อง
สวี่หลิงเยวี่ยนอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง มือกุมหน้าท้องไว้ คิ้วงามประณีตขมวดมุ่น ใบหน้าชวนมองซีดเซียวเล็กน้อย
นี่มันดูสาหัสอยู่หน่อยนะ…ปวดขนาดนั้นเลยหรือ…สวี่ชีอันกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “ประจำเดือนมาแล้วใช่ไหม กินยาหรือยัง”
สวี่หลิงเยวี่ยชะงักงัน ใบหน้ารูปไข่ซีดขาว สองพวงแก้มแดงก่ำ ส่ายหน้าบอก “ท่านแม่บอกว่าอดทนก็พอแล้ว…”
น้ำเสียงของนางเจือความน้อยใจเล็กๆ
สุดท้ายก็มีเพียงเด็กสาวที่ต้องนอนอดทนต่อความเจ็บปวดอยู่บนเตียงอย่างโดดเดี่ยว ข้างกายมีเพียงสาวใช้เท่านั้น
เรื่องประเภทปวดประจำเดือนเช่นนี้ คนในยุคนี้มักจะปล่อยให้หายปวดไปเองเสียมากกว่า อย่างไรเสียก็ไม่ใช่อาการเจ็บป่วย ผ่านไปพักหนึ่งย่อมหายเอง และสำหรับเหล่าชนชั้นกลางถึงต่ำส่วนใหญ่ หากไม่ตายก็ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ
ข้าจำได้ว่าน้ำขิงน้ำตาลแดงช่วยบรรเทาได้ใช่ไหมนะ ช่างเถอะ กลับไปค่อยถามฉู่ไฉ่เวยดู…
สวี่หลิงอินเดินมาอยู่ข้างเตียงแล้วยื่นนิ้วอวบสั้นออกไปเช็ดหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของพี่สาว จากนั้นมองไปยังพี่ใหญ่ด้วยท่าทางน่าสงสาร
“พี่หญิงจะตายแล้วหรือ”
สวี่หลิงเยวี่ย “…”
“พี่หญิงไม่ตายหรอก” สวี่ชีอันปลอบโยนนาง
“เช่นนั้นพี่หญิงเป็นอะไรหรือ” สวี่หลิงอินเอ่ยถามอย่างหวาดกลัว
เจ้าไม่เข้าใจเรื่องปวดประจำเดือน…ประจำเดือนเจ้าก็ไม่รู้จักเช่นกัน…สวี่ชีอันนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ‘จริงสิ’ เขาลูบหัวของสวี่หลิงอินแล้วอธิบายด้วยคำพูดง่ายๆ
“พี่สาวเจ้ารู้ประสาเกินไป ไม่รู้จักก่อปัญหา ดังนั้นร่างกายจึงไม่สบาย รอให้ภาคหน้ากลายเป็นตัวก่อกวนก็จะไม่ปวดท้องแล้ว”
อาการปวดประจำเดือนเช่นนี้ ต่อไปพอแต่งงานแล้วก็จะน้อยลง ถึงขั้นไม่มีเลย ดังนั้นคำอธิบายของสวี่ชีอันจึงกล่าวได้ว่าแม่นยำตรงจุด เข้าใจได้ง่าย หาได้ยากในโลกนี้
ขนาดเด็กโง่อย่างสวี่หลิงอินยังฟังเข้าใจ จึงพยักหน้าอย่างรู้แจ้งในฉับพลัน ใบหน้าเล็กๆ เคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง “ข้าก็ต้องเป็นตัวก่อกวนด้วย แบบนี้ต่อไปก็จะไม่ปวดท้องแล้ว”
“พี่ พี่ใหญ่…ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกับนางหรือ” สวี่หลิงเยวี่ยฟังไม่เข้าใจ คิดว่าคำพูดที่สวี่ชีอันพูดมาออกจะแปลกไปสักหน่อย
“เจ้าพักผ่อนให้ดีเถอะ” สวี่ชีอันบีบแก้มนวลของน้องสาวเบาๆ แล้วพาเสี่ยวโต้วติงจากไป
ระหว่างทางกลับโถงด้านหน้า เขาเห็นเสี่ยวโต้วติงวิ่งเข้าไปในสวนแล้วคว้าก้อนโคลนกำหนึ่งขึ้น ซ่อนเอาไว้ในมือเล็กท่าทางลับๆ ล่อๆ
นางคิดจะทำอะไร สวี่ชีอันตะลึง
เมื่อกลับมาถึงโถงหน้า อารองและอาสะใภ้ยังคงกินข้าวกันอยู่ อารองเอ่ยถามว่า “หลิงเยวี่ยดีขึ้นหรือยัง”
“ยังป่วยอยู่ขอรับ…” ตอนที่สวี่ชีอันพูด เขาก็เห็นสวี่หลิงอินปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ ร่างกายน้อยๆ ค้ำยันขอบโต๊ะ แล้วโยนก้อนโคลนลงไปในหม้อโจ๊กใบใหญ่ต่อหน้าต่อตาพ่อแม่ของนาง
จากนั้นนางก็ยืนอยู่บนเก้าอี้แล้วถอนหายใจออกมาเหมือนปลดภาระหนักได้ แบบนี้นางก็จะไม่ปวดท้องแล้ว
สีหน้าของอาสะใภ้และอารองแข็งทื่อ ค่อยๆ หันหน้ามามองบุตรสาวทีละนิดๆ “เจ้า…กำลังทำอะไร”
“ข้ากำลังก่อปัญหา!” สวี่หลิงอินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ต่อไปข้าจะต้องตั้งใจก่อปัญหา จะได้ไม่เหมือนพี่หญิงที่มักจะกวนใจท่านพ่อท่านแม่ตลอด”
พูดจบนางก็เท้าเอว รอให้พ่อแม่กล่าวชม
อาสะใภ้นึกไปถึงเรื่องแมลงสาบ ความโกรธเกลียดทั้งใหม่ทั้งเก่าพวยพุ่งขึ้นมาในใจทันใด จึงเอื้อมมือหิ้วคอนางมาวางไว้บนตักแล้วตีก้นเสียหลายที
เสี่ยวโต้วติงไม่ยินยอม ร้องไห้ไป แก้ตัวไปด้วย “ท่านแม่ตีข้าทำไม”
อาสะใภ้ร้องกล่าวทั้งที่มือยังไม่หยุดตี “โยนโคลนใส่ในโจ๊กแบบนี้คิดว่าแน่นักหรือ”
“พี่ใหญ่สอนข้า พี่ใหญ่บอกว่าแค่ตั้งใจก่อปัญหา ก็จะไม่ปวดท้อง…โอ๊ยๆๆ…”
อาสะใภ้ปรี๊ดแตก ขนคิ้วลุกตั้ง “สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าสอนอะไรผิดๆ ให้นางอีก”
“วันนี้อากาศดีจริงๆ อารอง ข้าไปที่ทำงานก่อนนะ” สวี่ชีอันกุลีกุจอเผ่นหนี
…
ณ ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล คุกใต้ดิน
เหิงหย่วนอยู่ในฐานะผู้กระทำผิดชั่วคราว โชคดีที่ไม่ได้เจอกับทัณฑ์ทรมาน เพียงถูกผู้คุมฟาดแส้ใส่สองครั้งตอนเพิ่งเข้ามา เหตุผลคือพวกคนคุกไม่มีใครสะอาดสะอ้านอย่างเขา
เขาเป็นเพียงพระจนๆ ไม่มีเงินทอง
‘เคร้ง…’ ประตูห้องขังถูกเปิดออก ผู้คุมคุกตะโกนบอกพระร่างกำยำที่ถูกใส่เครื่องจองจำว่า “ใต้เท้าเรียกสอบปากคำ ออกมา”
เหิงหย่วนลืมตาแล้วลุกขึ้น ตามผู้คุมมายังห้องสอบสวน
ในห้องสอบสวนที่มีแสงสลัวเล็กน้อย ฆ้องทองแดงรูปร่างแข็งแกร่งหล่อเหลาผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ท่าทางผึ่งผาย สายตาคมกริบจดจ้องมาที่เขา
เหิงหย่วนจำฆ้องทองแดงผู้นี้ได้ ตอนนั้นที่หมายเลขสามกระตือรือร้นช่วยเขาซ่อนตัว ยามหลบหนีการเสาะหานั้น เขาก็เคยพบกับฆ้องทองแดงผู้นี้ ตอนนั้นเขายืนอยู่บนหลังคา มือหนึ่งกุมดาบ แผ่นหลังตั้งตรง บุคลิกไม่ธรรมดา มองดูก็รู้ว่าเป็นหงส์มังกรเหนือปุถุชน
“ไต้ซือเชิญนั่ง ข้าเพียงอยากถามท่านไม่กี่คำถาม” สวี่ชีอันกล่าว เขาพิจารณาดูหลวงจีนผู้มีใบหน้ารูปตัวอักษร 国 และองคาพยพหยาบกระด้าง
มองเผินๆ เขาเหมือนชาวบ้านตาสีตาสาคนหนึ่ง แต่เมื่อสังเกตดูอย่างละเอียดแล้วจะพบว่าดวงตาของเขาสว่างไสว สงบนิ่ง บุคลิกเก็บงำล้ำลึก
เหิงหย่วนประนมมือทักทาย จากนั้นก็นั่งลง
“ชื่อ” สวี่ชีอันก้มหน้าดื่มชา
“อาตมามิศรัทธานาม อาตมาคือเหิงหย่วน”
“อายุ”
“สามสิบ”
สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ เหลือบมองเขา นึกถึงมุกตลกท่อนหนึ่งได้ ‘คุณปู่ ทำอย่างไรถึงดูเด็กขนาดนี้’
‘นอนดึกน่ะ’
‘แล้วปีนี้คุณอายุเท่าไหร่’
‘ยี่สิบ’
เหิงหย่วนดูเหมือนคนอายุสี่สิบกว่าใกล้จะห้าสิบแล้ว…เจ้าก็นอนดึกทุกวันหรือเปล่า…สวี่ชีอันค่อนแคะในใจ
“ฐานะ”
“จอมยุทธ์หลวงจีนวัดมังกรหยก”
“ระดับฝึกตนอะไร”
“จอมยุทธ์หลวงจีนระดับแปด”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะ “อย่าได้เล่นแง่กับข้า”
จอมยุทธ์หลวงจีนขั้นแปดคนหนึ่งสามารถลอบฆ่าผิงหย่วนป๋อยามวิกาลและทำร้ายฆ้องทองแดงระดับหลอมปราณสองนายจนบาดเจ็บสาหัสอย่างง่ายดาย แล้วจากไปโดยที่ตนเองไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนได้หรือ
เหิงหย่วนเอ่ยเสียงขรึม “อาตมาเป็นจอมยุทธ์หลวงจีนระดับแปดจริงๆ”
จอมยุทธ์หลวงจีนระดับแปด…ข้าจำได้ว่าระบบการฝึกตนของสำนักพุทธมีจุดหนึ่งที่แปลกประหลาด ระดับขั้นต่อจากระดับเก้าสามเณรก็คือระดับเจ็ดนักพรต กระโดดข้ามจอมยุทธ์หลวงจีนระดับแปดไปเลย
หรือว่าสำนักพุทธมีสองสาย ในเมื่อมีสองสาย แล้วเหตุใดถึงได้รวมเข้าด้วยกัน อีกอย่าง ระดับถัดจากจอมยุทธ์หลวงจีนคืออะไร
สวี่ชีอันเอ่ยถามข้อข้องใจ เหิงหย่วนส่ายหน้า “วัดมังกรหยกไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก ต้องเดินทางไปแดนประจิมเท่านั้นถึงจะรู้”
ต้องเดินทางไปแดนประจิมเท่านั้นถึงจะรู้หรือ เช่นนั้นเอกสารเกินครึ่งในคลังเอกสารของที่ทำการก็ไม่มีบันทึกที่เกี่ยวข้องแล้ว… แต่เรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญอะไร…สวี่ชีอันกล่าว
“เหิงฮุ่ยมรณภาพแล้ว ศพของท่านหญิงผิงหยางก็หาพบแล้ว ฝ่าบาทจะทรงออกราชโองการวันนี้ ผิงหย่วนป๋อ เจ้ากรมทหารจางเฟิ่ง และจี่ซื่อจงกรมการคลังซุนจงหมิงทั้งสามคนจะถูกประหารสามชั่วโคตรโทษฐานทำร้ายเชื้อพระวงศ์ เจ้าวางใจได้แล้ว”
“อามิตาพุทธ” เหิงหย่วนหลับตาลง ก้มหน้ากล่าวนามพระพุทธองค์
“เดิมทีท่านเป็นเพียงคนที่บังเอิญหลงเข้ามาพัวพันในคดีนี้ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะไม่ถามหาความรับผิดชอบใดๆ จากท่าน แต่ท่านควรจะอธิบายให้เจ้าหน้าที่ฟังสักหน่อยไม่ใช่หรือ ว่าสิ่งนี้คืออะไร”
สวี่ชีอันนำกระจกหยกใบเล็กออกมาจากในอกเสื้อ แล้วโยนลงไปบนโต๊ะเสียงดังเคร้ง
กระจกหยกบานนี้ถูกพบที่ก้นบ่อ เป็นชิ้นส่วนหมายเลขหกของเหิงหย่วน
…………………………………………