บทที่ 134 ความสัมพันธ์แบบพ่อลูกจอมปลอม
“แม่ย่าแห่งเทียนกู่ ท่านเป็นอะไรไป”
ลี่น่าได้ยินเสียงของท่านพ่อ จึงหันไปมอง และเห็นชายวัยกลางคนที่รูปร่างกำยำ กล้ามเนื้อแข็งราวกับหิน โครงหน้าแข็งกระด้างเดินเข้ามา
เขาสูงเก้าฟุต ซึ่งโดดเด่นมากในฝูงชน เขาสูงกว่าคนเผ่าพันธุ์กู่ที่อยู่รอบๆ สองหัว ต้นแขนหนากว่าเอวของลี่น่า ( ตั้งแต่ราชวงศ์เว่ยเหนือ ความสูงหนึ่งฟุตอยู่ระหว่าง 29.6 ถึง 31.1 เซนติเมตร)
ขณะที่เดินแววตาของเขาดุจอินทรีกิริยาดังหมาป่าเหลียวหลัง รู้สึกเต็มไปด้วยแรงกดดัน
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ที่รูปร่างงองุ้ม เมื่อเทียบกับคนคนนี้ก็เหมือนเด็ก
แม่ย่าแห่งเทียนกู่เงยหน้าขึ้น และพยักหน้าเล็กน้อย นางหันกลับมามองลี่น่าอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “สาวน้อย เจ้าพูดมา แม่ย่ารอฟังอยู่”
แม่ย่าร้อนใจเล็กน้อย… นี่นางเป็นอะไรไป อยากเก็บเงินได้ทุกวันเหมือนกับเพื่อนของหมายเลขสามเหรอ ลี่น่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะการตอบสนองอย่างรุนแรงของแม่ย่าแห่งเทียนกู่
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ไม่ยอมเดิน กองกำลังขนาดใหญ่จึงหยุดลง เหล่าหัวกะทิของเผ่าเทียนกู่หันมามองลี่น่า คนของเผ่าอื่นกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่าทางนี้เกิดอะไรขึ้น
แม่ย่าแห่งเทียนกู่หันกลับ และพูดกับลูกหลานในเผ่าคนหนึ่งข้างหลังนาง “ไปแจ้งหัวหน้าแต่ละเผ่า หยุดพักครู่หนึ่ง มาเถอะ สาวน้อย พวกเราไปคุยกันทางนั้น… หลงถู เจ้าห้ามตามมา”
หัวหน้าเผ่าลี่กู่ที่ชื่อหลงถูหยุดฝีเท้า และมองลูกสาวถูกแม่ย่าแห่งเทียนกู่พาออกไปอย่างเงียบๆ
หัวหน้าของอีกห้าเผ่ารวมตัวกัน เดินมาข้างๆ หลงถู และทอดมองหญิงชรากับเด็กสาวที่จากไปเคียงข้างเขา
“หลงถู เกิดอะไรขึ้น”
หัวหน้าเผ่าลี่กู่ส่ายหน้า “บางทีพวกเจ้าควรจะถามคนของเผ่าเทียนกู่”
เหล่าหัวหน้ามองไปข้างหลังอย่างแม่นยำ
“ลี่น่าพูดเรื่องล้อเล่นกับแม่ย่า ใครจะรู้ว่าแม่ย่าจะตื่นเต้นเช่นนี้”
“พูดว่าอะไรเหรอ”
“ลี่น่ามีเพื่อนคนหนึ่ง เก็บเงินได้ทุกวัน”
“…”
…
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ถือคบเพลิง เดินมาที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่นี่ไกลจากกองกำลังขนาดใหญ่มาก มองเห็นเพียงแสงไฟเล็กๆ ด้านหลังเท่านั้น
พระจันทร์เสี้ยวแขวนอยู่บนท้องฟ้า สาดแสงสีขาวบริสุทธิ์ลงมา แสงไฟสะท้อนใบหน้าอันแก่ชราที่มีรอยย่นของแม่ย่าแห่งเทียนกู่ เวลานี้นางไม่ได้ร้อนใจกับตื่นเต้นอีกต่อไป และสงบลง
“สาวน้อย บอกกับแม่ย่า มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ลี่น่าเม้มริมฝีปาก และพูดว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ข้าได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขามีเพื่อนคนหนึ่ง มักจะเก็บเงินได้อย่างอธิบายไม่ถูก จึงรู้สึกวิตกกังวลกับเรื่องนี้ และไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่หรี่ตา และขอคำยืนยัน “เก็บเงินได้อย่างไร เก็บได้เท่าไหร่ นอกจากเก็บเงินได้แล้วยังมีอะไรเป็นพิเศษอีกหรือไม่ เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เข้าบอกข้ามาให้ชัดเจน”
ลี่น่าเกาหัวอย่างไร้เดียงสา และกล่าวขอโทษ “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ อันที่จริงเป็นเพื่อนของเพื่อน แต่ได้ยินสาม… เพื่อนของข้าเล่าว่า ดูเหมือนแค่เก็บเงินได้ก็สามารถมีชีวิตที่รุ่งเรืองและร่ำรวยได้แล้ว”
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของลี่น่า นางคิดว่าเผ่าเทียนกู่สามารถตรวจสอบทุกอย่างได้ และรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย จึงถามไปอย่างนั้น
เรื่องอย่างเก็บเงินได้ทุกวัน ใครจะไม่อยากรู้อยากเห็นบ้าง
“คนคนนั้นอยู่ที่ไหน”
หมายเลขสามอยู่ที่เมืองหลวงต้าฟ่ง เพื่อนของเขาก็น่าจะอยู่ที่นั่นเช่นกัน… ลี่น่าตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “ดูเหมือนจะอยู่ที่เมืองหลวงต้าฟ่ง”
“เมืองหลวงต้าฟ่ง” แม่ย่าแห่งเทียนกู่ตกตะลึง และส่ายหน้าซ้ำๆ “เป็นไปไม่ได้ ไม่ควรเป็นเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่เมืองหลวงต้าฟ่ง… มันไม่สมเหตุสมผลเลย…”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ขมวดคิ้วขาวแน่น เดี๋ยวก็เข้าใจในทันที เดี๋ยวก็สับสน สีหน้าเปลี่ยนไปไม่แน่นอน
“แม่ย่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ลี่น่ารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียว นางสังเกตเห็นว่าสถานการณ์มีความผิดปกติ หากเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ อย่างเก็บเงินได้ แม่ย่าแห่งเทียนกู่คงไม่ดึงนางมาคุยในสถานที่เปลี่ยว
คงไม่แสดงความสนใจเช่นนี้
แต่นางรู้สึกว่ามันไร้สาระ เรื่องสนุกที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงต้าฟ่ง กลับทำให้แม่ย่าแห่งเทียนกู่จริงจังและสนใจเช่นนี้ได้
เหมือนกับนางได้รู้จักเพื่อนที่ดีคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ และพบว่าแม่ย่าแห่งเทียนกู่พลัดจากลูกมาหลายปี
“เพื่อนของเจ้าคนนั้นน่าเป็นจะคนที่เก็บเงินได้ทุกวัน ไม่ใช่เพื่อนของเพื่อน” แม่ย่าแห่งเทียนกู่เหลือบมองหญิงสาวที่โง่บริสุทธิ์
ลี่น่าอ้าปากสีแดงก่ำเล็กน้อย นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนหยุดนิ่ง
หมายเลขสามหลอกลวงนาง ไม่คิดว่าเขาจะเป็นไอ้สารเลวที่ชอบหลอกลวงคนเช่นนี้ โชคดีที่นางยังรู้สึกว่าหมายเลขสามเป็นนักปราชญ์ที่กล้าหาญ
คนเฒ่าคนแก่ในเผ่าบอกว่านักปราชญ์ล้วนเป็นคนที่เข้มงวดกวดขันและซื่อตรงไม่ใช่เหรอ
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ถอนหายใจเบาๆ นางเงยหน้ามองพระจันทร์เต็มดวง และเอ่ยเสียงเบา “เมื่อหลายปีก่อน หัวขโมยสองคนแอบเข้าไปในบ้านของครอบครัวเศรษฐีด้วยเป้าหมายบางอย่าง และขโมยของที่สำคัญมากๆ ชิ้นหนึ่งออกไป จนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าของชิ้นนั้นอยู่ที่ไหน โจรที่ขโมยของไปก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลยเช่นกัน”
“ในครอบครัวเศรษฐี บางคนรู้ว่าของถูกขโมยไป บางคนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้”
ลี่น่ากะพริบตา “ขโมยอะไรไปเหรอ”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ไม่ได้อธิบาย และพูดซ้ำๆ ว่าเป็นของที่สำคัญมากๆ
…
จากนั้นไม่นาน ทีมหัวกะทิร้อยคนของเผ่าพันธุ์กู่ก็มาถึงหุบเหวลึก หุบเหวที่ไร้ก้นบึ้ง
ในหุบเหวมีบรรยากาศพิษแผ่ซ่านอยู่ ทำให้เกิดพืชพรรณที่อุดมไปด้วยพิษและสัตว์ดุร้ายที่มีพิษขึ้น นี่คือฟาร์มเพาะพันธุ์หนอนกู่ตามธรรมชาติ ซึ่งจัดเตรียม ‘วัตถุดิบ’ ให้เผ่าพันธุ์กู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ลี่น่าเคยมาที่นี่มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ก็แค่จับหนอนกู่รอบๆ ไม่เคยเข้าไปลึก
ขบวนเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ผงไล่แมลงกับยาต้านพิษที่กระจายอยู่บนร่างทำให้พวกเขามีภูมิต้านทานต่อบรรยากาศพิษกับการก่อกวนของแมลงมีพิษ
คนในเผ่าของเผ่าตู๋กู่เสมือนปลาได้น้ำเมื่ออยู่ที่นี่ ทุกคนยิ้มแฉ่ง
ตามทางที่บรรพบุรุษเหยียบย่ำ ลึกเข้าไปในหุบเหว ทิวทัศน์ค่อยๆ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง บนพื้นดินสีน้ำตาลเข้มเต็มไปด้วยพืชที่ผิดรูปและแปลกประหลาด
ระหว่างกิ่งก้านใบกับพุ่มไม้อันเขียวชอุ่ม เสียง ‘กรอบแกรบ’ ดังขึ้น แมลงมีพิษที่อาศัยอยู่ที่นี่ถูกแขกที่ไม่ได้รับเชิญกลุ่มนี้ทำให้ตกใจ
“อ้า…” ทันใดนั้น ก็มีคนกรีดร้องขึ้นมา นั่นคือผู้ชายที่สวมชุดผ้าป่านคนหนึ่ง ผิวตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขาแดงก่ำ…
“ผู้หญิง ข้าต้องการผู้หญิง…” เขาตะโกนใส่เพื่อนชายที่ล้มอยู่ข้างๆ และกอดเขาไว้แน่น
แต่เพราะผ่านเสื้อผ้า ทำให้เขาเกือบจะเสียสติ
เสียงกรีดร้องแปลกๆ ดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง มีคนเกิดอาการแปลกๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผู้ชายกอดต้นไม้ ผู้หญิงก็กอดต้นไม้เช่นกัน…
ลี่น่ารู้ว่า คนเหล่านี้ถูกพิษของอวี้กู่
คนของเผ่าพันธุ์กู่ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย พวกเขาถอยออกมาอย่างมีสติ และชี้ไม้ชี้มือด้วยรอยยิ้ม
คนของเผ่าอวี้กู่กระจายตัวออก และรักษาคนของแต่ละเผ่าที่ถูกพิษ พวกเขานำแมลงตัวนิ่มสีดำที่เหมือนกับทากออกมาจากในกระเป๋า และพรมที่หน้าอก คอกับเป้าของผู้ถูกพิษ
“ทาก” ยึดติดกับผิวหนัง ปากเจาะเข้าไปในเส้นเลือด และกินเลือดอย่างบ้าคลั่ง
ไม่นานนัก ทากเหล่านี้ก็ขยายใหญ่ขึ้น และหลุดออกจากผิวหนังอย่างพึงพอใจ อาการของคนในเผ่าที่ถูกพิษดีขึ้นทันที
นอกจากคนที่อ่อนแอจากการถูกดูดพลังออกจากร่างกายอย่างรวดเร็วแล้ว คนที่ทนทานก็แทบจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร
ยิ่งเดินเข้าไปในส่วนลึกของหุบเหว หนอนกู่ที่เจอก็ยิ่งเยอะและหลากหลายพันธุ์มากขึ้น ตัวอย่างเช่นแมลงยักษ์ที่ร่างกำยำราวกับวัว ผีเสื้อที่สีสันฉูดฉาดทั่วทั้งตัว งูที่มีสิบสองตา ฝูงสัตว์ที่ตายแล้วเดินได้ สุนัขเร่ร่อนตัวผู้ที่มีสามอวัยวะเพศและอื่นๆ
ทีมสุดท้ายหยุดที่พื้นราบ ที่นี่ไม่มีพืชพันธุ์ใดๆ มีเพียงหินที่ขรุขระเท่านั้น
ท่ามกลางพิษที่แพร่กระจาย ลี่น่าเห็นรูปปั้นหินสูง เป็นผู้ชายรางๆ สวมชุดคลุมหลวม และมงกุฎสูง มือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งวางอยู่ที่หน้าท้อง ก้มหน้าเล็กน้อย มองรอยแยกในหุบเหวลึก
หัวหน้าเผ่าทั้งเจ็ดคนก้าวไปข้างหน้าอย่างสามัคคี และเดินไปที่รูปปั้นหิน
“โม่ซาง คนนั้นคือใครเหรอ” ลี่น่าดึงแขนเสื้อของพี่ชาย
โม่ซางที่ใบหน้าข้างซ้ายมีรอยแผลเป็นและบุคลิกดื้อรั้นพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าไม่รู้นามของเขา แต่เจ้าน่าจะเคยได้ยินสมญานามของเขา…”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเคารพ “นักบุญลัทธิขงจื๊อ”
…
ณ ลานเล็ก แสงเทียนส่องสว่างราวกับเมล็ดถั่ว
“ข้าค้นหาที่อยู่ของเหิงหยวนมาตลอด แต่จนถึงตอนนี้ ข้ารู้เพียงแค่เขายังอยู่ในเมือง ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” นักบวชเต๋าจินเหลียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง และส่ายหัวพูด
“ท่านกำหนดทิศทางผ่านหนังสือปฐพีไม่ได้เหรอ” สวี่ชีอันจำได้ว่า ตอนนั้น ‘หมายเลขเก้า’ สามารถล็อกตำแหน่งของตัวเองผ่านหนังสือปฐพีได้ และก็ใช้เวลาไม่นานเลย
ตามหลักและเหตุผล หมายเลขหกหายตัวไปจนถึงตอนนี้ ก็เกือบจะสิบวันแล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนควรจะหาเขาเจอได้แล้ว
“ข้าเดาว่าหมายเลขหก อาจจะพูดว่าหนังสือปฐพีถูกปิดผนึก”
…หือ หากถูกปิดผนึกควรทำอย่างไร นี่ทำให้ไจแอนท์อย่างข้าลำบากใจ สวี่ชีอันมึนงงเล็กน้อย
“เว้นแต่ข้าจะเข้าไปใกล้ได้ ในช่วงสิบวันนี้ ข้าเดินไปรอบๆ เมืองชั้นนอกกว่าครึ่ง และค้นหาด้วยวิธีที่โง่และปลอดภัยมากที่สุด หากชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของเหิงหยวนอยู่ห่างจากข้าไม่เกินสามสิบจั้ง ข้าก็จะรู้สึกถึงมันได้ทันที แม้ว่าจะถูกปิดผนึกก็ตาม” นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ้มอย่างมั่นใจ
“ไม่ต้องสงสัย นี่คือคุณสมบัติที่มีอยู่ในสมบัติแห่งฟ้าดิน”
วางมาด… สวี่ชีอันพูดในใจ และถอนหายใจในเวลาเดียวกัน
แม้ว่าวิธีจะโง่เขลา แต่ก็มีประสิทธิภาพ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือไม่มีวิธีเลย
“หากมีข้อมูลของหมายเลขหก ข้าจะแจ้งเจ้าทันที ฮ่าๆ การปรากฏตัวของเจ้าปรากฏตัวดีกว่าข้าปรากฏตัว ข้าเองก็ต้องการพลังของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเช่นกัน ที่นี่คือเมืองหลวง เป็นอาณาเขตของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ราวกับนึกอะไรบางอย่างออก
“จริงสิ เว่ยเยวียนคิดเห็นอย่างไรกับคดีนี้”
“ไม่มีความเห็น เพียงแค่บอกให้ข้าตั้งใจทำงาน” สวี่ชีอันส่ายหน้าและถอนหายใจ
เวลานี้ เขาพบว่าสีหน้าของนักบวชเต๋าจินเหลียนแปลกมาก เพราะสีหน้าของเขาเป็นแบบนี้ (﹁﹁)
มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก เขาพูดอย่างหดหู่ “เหตุใดท่านนักพรตมองข้าเช่นนั้น”
นักบวชเต๋าจินเหลียนพูดว่า “เว่ยเยวียนอาจจะอยากเปลี่ยนเจ้าให้เป็นหน่วยสอดแนมของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หรือขับไล่เจ้าออกจากเมืองหลวง”
…สวี่ชีอันเบิกตากว้างอย่างตกใจ
นักบวชเต๋าจินเหลียนเหมือนจะพอใจกับปฏิกิริยาของสวี่ชีอันมาก เขาอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เขามอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้เจ้า ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาให้ความสำคัญกับเจ้ามากพอ แต่เขาไม่ให้คำแนะนำใดๆ เกี่ยวกับคดีนี้แก่เจ้า”
“นี่พิสูจน์ว่าเขาตั้งตารอเจ้ายั่วยุโทสะจักรพรรดิหยวนจิ่ง และทำให้เจ้าอยู่เมืองหลวงไม่ได้”
สวี่ชีอันไม่พอใจ และอยากอธิบายแทนเว่ยเยวียน แต่พอจะพูดออกไปกลับพูดไม่ออก เพราะเว่ยเยวียนสงบนิ่งมาก จึงเผยความคิดด้านนี้ออกมา
“ไม่ เว่ยเยวียนเพียงแค่นิ่งดูดายเล็กน้อย แต่อย่างมากก็ปล่อยตามยถากรรม ไม่สนใจก็ไม่เข้าไปแทรกแซง อาศัยความสามารถของข้าไปจัดการ”
“เจ้าดูถูกเว่ยเยวียนมากเกินไป คนคนนี้กุมอำนาจในฐานะขันที และเป็นผู้นำกองทัพนับแสนในฐานะขันทีเอาชนะสงครามซานไห่ แม้แต่อ๋องสยบแดนเหนือก็ถูกเขากดหัว ความสามารถ ทักษะและแผนการล้วนยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า ข้ากล้ายืนยันว่า เรื่องคดีซังผอ เขารู้มากกว่าเจ้าแน่นอน”
“…” สวี่ชีอันนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่นาน
เป็นความสัมพันธ์แบบพ่อลูกจอมปลอมจริงๆ เหรอ
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองพินิจเขา “แต่ข้าคิดไม่ตก ทำไมเว่ยเยวียนถึงบีบให้เจ้าออกจากเมืองหลวง เขาไม่ได้ขาดกรงเล็บเหยี่ยว”
ภายในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนพยายามจะล้วงความคิด “ยังมีเรื่องอะไรอีกงั้นเหรอ”
“มี” สวี่ชีอันไม่ปล่อยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ไป “ข้าอยากไปจวนของผิงหย่วนป๋อสักครั้ง แต่ที่นั่นมีการคุ้มกันแน่นหนา ข้ามีวิธีเข้าไป แต่ไม่มีวิธีในการปราบคนโดยไม่พูดไม่จา จึงอยากขอให้ท่านนักพรตช่วย”
“เจ้าอยากไปหาทายาทของผิงหย่วนป๋อ” นักบวชเต๋าจินเหลียนรู้
“เหิงหยวนเคยบอกว่า ศิษย์น้องเหิงฮุ่ยถูกคนกลางลักพาตัวไป เขาคงไม่พูดซี้ซั้ว ในเมื่อตอนนี้ยังหาเหิงหยวนไม่เจอ เช่นนั้นก็ลองค้นหาช่องโหว่จากผิงหย่วนป๋อดูก่อน” สวี่ชีอันกล่าว
“แต่เขาตายไปแล้ว”
“เขายังมีทายาทอยู่”
…………………………………………………………