บทที่ 155 เทพีแห่งสงคราม
หอเฮ่าชี่ ชั้นเจ็ด
ในห้องน้ำชานอกจากเว่ยเยวียนแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก สวี่ชีอันที่ยืนตัวตรงอยู่ก้าวเข้ามาอย่างมั่นคง ประสานมือคารวะแล้วพูดว่า “เว่ยกง”
พอดีกับที่เว่ยเยวียนเพิ่งรินชาถ้วยหนึ่งจึงวางไว้ที่ฝั่งตรงข้าม ผายมือแล้วพูดว่า “นั่งลง”
สวี่ชีอันนั่งลงอย่างระมัดระวังและจิบชาพอเป็นพิธี จากนั้นก็จ้องไปที่เว่ยเยวียน เขามีลางสังหรณ์ว่าเว่ยเยวียนเรียกเขามาเพื่อคุยเรื่องคดีของท่านหญิงผิงหยาง
“คดีท่านหญิงผิงหยางสิ้นสุดแล้ว แต่คดีทะเลสาบซังผอยังต้องดำเนินต่อไป ฝ่าบาททรงปฏิเสธข้อเสนอของข้า” เว่ยเยวียนดื่มชา น้ำเสียงสบายๆ ราวกับว่ากำลังคุยเล่นอย่างสบายอารมณ์ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทรงพระอักษรให้สวี่ชีอันฟัง
สวี่ชีอันใบหน้าบึ้งตึง “เจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญา และโจวเสี่ยนผิงรองเจ้ากรมแห่งกรมการคลังสนิทสนมกันและเกลียดชังข้าตั้งแต่แรกแล้ว…”
เว่ยเยวียนโบกมือ พูดตัดบทอย่างไม่พอใจ “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงกังวลใจว่า “ฝ่าบาทไม่ทรงโปรดเจ้า นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่”
ใบหน้าของสวี่ชีอันบึ้งตึงขึ้นในทันที
บังเอิญแท้ ข้าก็ไม่ชอบพระองค์เช่นกัน ตอนที่เห็นจักรพรรดิหยวนจิ่งสวมชุดคลุมลัทธิเต๋าตอนบวงสรวงบรรพบุรุษ ในใจก็รู้สึกเกลียดชังนิดๆ แล้ว ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นตัวแทนของอำนาจศักดินา ต่อมาหลังจากประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ และได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิด เขาก็พบว่าความเกลียดชังของตัวเองที่มีต่อจักรพรรดิหยวนจิ่งนั้นบริสุทธิ์มาก ไม่มีเหตุผลอื่นใด มีแต่ความรังเกียจจากใจนั่นเอง
บางทีอาจเป็นเพราะดวงของข้ากับจักรพรรดิชงกันก็ได้…ข้าปีวอกพระองค์ปีมะแม? สวี่ชีอันยิ้มแหยๆ
“ข้าน้อยไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่ทำให้ฝ่าบาททรงรังเกียจ”
“บางทีอาจเป็นเพราะไม่ถูกชะตากันกระมัง” เว่ยเยวียนขมวดคิ้ว พูดว่า “เจ้าจงอดใจรอ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปสืบแล้ว มาถึงวันนี้เบาะแสต่างๆ ได้ถูกลบไปหมดแล้ว เจ้าไม่มีวันหาเบาะแสเจอ เมื่อหมดเวลาหากฝ่าบาททรงยืนยันที่จะตัดหัวเจ้าให้ได้ ข้าจะหานักโทษประหารมาแทนเจ้าเอง เฮ้อ วางใจเถิด ไม่มีใครสนใจฆ้องทองแดงชั้นผู้น้อยเช่นเจ้าเป็นพิเศษหรอก”
หลังจากนั้นข้าก็กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่สร้างความอัปยศ…แก่ท่าน สวี่ชีอันกล่าวว่า “ถ้าหากสามารถจับกุมตัวโจวชื่อสวงได้เล่าขอรับ”
เว่ยเยวียนยิ้ม “เรื่องนี้ก็จบลงด้วยดี”
เขาส่ายหัวและหัวเราะอีกครั้ง
เมื่อออกจากหอเฮ่าชี่สวี่ชีอันก็กลับไปที่ห้องชุนเฟิง เล่าเรื่องนี้ให้ซ่งถิงเฟิง จูกว่างเสี้ยวและหลี่อวี้ชุนฟัง
สีหน้าของซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวบึ้งตึง ฝ่ายแรกตบโต๊ะอย่างแรงพร้อมกับสบถคำหยาบออกมา เดินวนไปวนมาในห้องด้วยท่าทางฮึดฮัด ส่วนฝ่ายหลังนั้นเคียดแค้นยิ่งกว่า ขมวดคิ้วแน่น
หลี่อวี้ชุนพึมพำว่า “คดีของท่านหญิงผิงหยางนั้นเสียเวลามากเกินไป เป็นการยากที่เจ้าจะไปสืบคดีทะเลสาบซังผออีก วิชามองปราณของสำนักโหราจารย์ไม่สามารถกล่าวโทษขุนนางที่สูงกว่าระดับสี่ได้ เว้นแต่เจ้าจะสามารถขอร้องท่านโหราจารย์ ได้”
ไปหาท่านโหราจารย์หรือ ไม่ต้องพูดถึงว่าท่านโหราจารย์จะยินดีช่วยเหลือหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะยินดีก็ตาม แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งจะทรงยอมเชื่อหรือ สวี่ชีอันคิดในใจว่า ข้าไม่มีวันไปหาชายชราที่น่ารังเกียจคนนั้นหรอก
…
หอดูดาว
“พี่ไฉ่เวย ข้ามีธุระจะขอพบท่านท่านโหราจารย์ เจ้ามีวิธีพาข้าไปที่แท่นแปดทิศหรือไม่” ในมือสวี่ชีอันหิ้วห่อของกินทั้งเล็กและใหญ่ รอยยิ้มเหมือนคนขี้ประจบในชาติก่อนไม่มีผิด
ฉู่ไฉ่เวยกินอาหารที่สวี่ชีอันนำมาให้โดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย แต่ปากกลับพูดว่า “ไม่ได้หรอก ท่านอาจารย์อยู่ระหว่างการเก็บตัวจึงปิดเส้นทางสู่แท่นแปดทิศแล้ว ผู้ใดก็ขึ้นไปไม่ได้”
เหมือนเทพธิดายางอะไหล่มากๆ (กินสำรองไว้)
“ไม่มีวิธีเลยหรือ”
“ไม่มีวิธี”
“ท่านอาจารย์ของพวกเราจะออกมาเมื่อไร”
ฉู่ไฉ่เวยเหลือบมองเขา คิดในใจว่าท่านอาจารย์ของพวกเราหมายความว่าอย่างไร
นางกล่าวว่า “ถ้าระยะเวลานานก็หลายเดือน ระยะสั้นก็ครึ่งเดือน คาดว่าคงกำลังคาดคะเนปรากฏการณ์ของดวงดาวอยู่ที่แท่นแปดทิศ”
…สวี่ชีอันแทบกระอักเลือด นี่มันกรรมตามสนองแท้ๆ วันๆ ชอบหลอกกินฟรี ในที่สุดสักวันหนึ่งก็ต้องถูกคนอื่นหลอกกินฟรีจนได้
ไม่ได้ จะยอมเสียเปรียบเช่นนี้ไม่ได้…เขาวางอาหารทั้งหมดที่เขาซื้อด้วยเงินสองตำลึงลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “น้องหญิงที่บ้านมีระดูและปวดท้องมากจนทนไม่ไหว ต้องทำอย่างไร”
เมื่อฉู่ไฉ่เวยได้ยินดังนั้นก็บิดเอวแล้ววิ่งตึงๆ ออกไป สักพักก็หยิบขวดลายครามกลับมา “กินหนึ่งเม็ดเวลาปวดแล้วจะเห็นผลในทันที”
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเห็นแก่กินแต่ก็ใจกว้างมาก ไม่ว่าจะเป็นยาราคาแพงหรือราคาถูกก็เต็มใจที่จะมอบให้ผู้อื่น
…
อวิ๋นโจว
ท่ามกลางเทือกเขาอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตามีค่ายขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นตามแนวเขา แสงไฟทอดยาวประดับประดาค่ำคืนที่มืดมิด
ค่ายนั้นง่ายต่อการป้องกันและโจมตีได้ยาก แต่ตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่ได้เปรียบ ช่วงแรกที่สร้างค่าย ทางการส่งทหารมาล้อมและปราบปราม แต่หลังจากรบแพ้หลายครั้งจึงแสร้งทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
การโจรกรรมในอวิ๋นโจวค่อนข้างรุนแรง มีโจรเร่ร่อนรวมตัวกันเข้ามาปล้นสะดม และยังมีโจรภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วน ประชาชนเดือดร้อนมาช้านาน ทางการก็ปวดหัวมานับสิบปี
เวลาผ่านไปนับสิบปีจึงค่อยๆ กลายเป็นความเคยชินแล้ว ในพื้นที่ที่วุ่นวายย่อมมีวิธีการใช้ชีวิตในแบบพื้นที่ที่วุ่นวาย
พอตกกลางคืนลมภูเขาก็พัดอย่างรุนแรง และหลังจากนั้นไม่นานก็มีฟ้าแลบและฟ้าร้องแล้วฝนก็เทกระหน่ำลงมา
บนหอลูกธนู โจรที่รับผิดชอบรักษาการณ์อดทนกับหยาดฝนเย็นยะเยือกที่พัดเข้ามาและมองไปทางค่ายด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
วันนี้ในค่ายได้ทำงานใหญ่ ปล้นผ้าไหม ใบชา และเครื่องลายครามของคาราวานพ่อค้ากลับมา…มีของมีค่ามากมาย
ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของหัวหน้าที่หกของค่ายที่เพิ่งมาใหม่ เขามีวิทยายุทธสูงส่งและเชี่ยวชาญศิลปะการโจมตีแบบผสมผสาน อีกทั้งยังมีฝีมือในการฝึกทหารเป็นอย่างมาก
ว่ากันว่าเขาเกิดในกองทัพ เมื่อก่อนทำงานในเมืองหลวงของต้าฟ่ง ต่อมาได้เข้าป่าไปเป็นโจรเพราะทนเห็นความเหลวแหลกเสื่อมทรามของราชสำนักไม่ได้
ขณะนี้ในค่ายกำลังมีการจัดงานเลี้ยงฉลองความดีความชอบอยู่
ในห้องที่ไฟจากถ่านลุกโชน หัวหน้าทั้งหกและหัวโจกเล็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังกินดื่มขนานใหญ่ พูดจาหยาบคายและชูชามใบใหญ่ขึ้นสูง
เหล่าหญิงสาวที่แต่งกายกึ่งเปลือยคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ฝืนใจยิ้ม พวกนางทั้งหมดเป็นผู้หญิงที่ถูกจับมาเป็นเชลย บางคนเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา บางคนก็เป็นลูกสาวของครอบครัวที่ร่ำรวย
ผู้ที่มีรูปโฉมงดงามจะถูกเลือกออกมาเพื่อคอยปรนนิบัติบรรดาหัวหน้าและหัวโจก ส่วนหญิงที่มีรูปโฉมธรรมดาก็แบ่งปันกับพี่น้องคนอื่นๆ ในค่าย
โจวชื่อสวงนั่งอยู่หน้าโต๊ะ หลังตรงด้วยความเคยชิน แตกต่างจากบรรดาโจรภูเขาที่ดูอาจหาญและเจ้าชู้ ข้างกายเขามีหญิงงามคอยปรนนิบัติอยู่ แต่ท่าทางโจวชื่อสวงดูเหมือนคร้านที่จะมองอีกฝ่าย
ผู้หญิงธรรมดาสามัญเช่นนี้ ความรู้สึกอยากจะแตะต้องยังแทบไม่มีเลย
โจวชื่อสวงพาครอบครัวของเขามาอวิ๋นโจว ภรรยาและลูกชายของเขาไม่ได้อยู่ในค่าย แต่ถูกจัดการให้อยู่เมืองไป๋ตี้ที่ใหญ่ที่สุดในอวิ๋นโจว
ที่นั่นเป็นแดนสุขาวดีที่มีเพียงไม่กี่แห่งในอวิ๋นโจว ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภัยพิบัติหรือการโจรกรรม
หัวหน้าใหญ่มีหนวดเคราเต็มหน้า ดูท่าทางบุ่มบ่าม แต่แท้จริงแล้วเป็นยอดฝีมือที่มีความสุขุมรอบคอบ
“น้องโจว ผู้หญิงที่นี่ไม่ถูกใจเจ้าใช่หรือไม่”
ไม่รอให้โจวชื่อสวงตอบ หัวหน้าใหญ่ก็ยิ้มและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าได้ยินมาว่าในคาราวานพ่อค้าครั้งนี้มีสาวงามดุจผกา ยังถูกขังอยู่ในโรงเก็บฟืนหรือ”
“ขอรับ หัวหน้าใหญ่ แม่นางคนนั้นงดงามมาก”
“หัวหน้าใหญ่ พวกผู้หญิงในค่ายเมื่อเทียบกับนางก็เหมือน…เหมือนโคลนกับน้ำตาลทรายขาว”
ใบหน้างามของหญิงสาวผู้นั้นผุดขึ้นในสมอง หัวใจของโจวชื่อสวงก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เขาเป็นคนขู่บังคับนางมา หน้าตาเป็นอย่างไรเขาย่อมรู้ดีที่สุด หากไม่ใช่เพราะเพิ่งมาใหม่ เวลานี้ผู้หญิงคนนั้นคงถูกเขาเก็บไว้ในห้องแล้ว
หัวหน้าใหญ่พึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “มานี่ซิ นำตัวผู้หญิงคนนั้นมา คืนนี้ปล่อยให้หัวหน้าที่หกจัดการ เขาเป็นคนพานางมาก็ควรให้เขาเปิดบริสุทธิ์ก่อน”
หัวหน้าคนอื่นๆ ไม่มีความเห็น ใครเปิดบริสุทธิ์ก่อนนั้นไม่สำคัญ ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วพวกเขาย่อมได้ลิ้มรสอยู่ดี
ผ่านไปครู่หนึ่งผู้หญิงคนหนึ่งก็ถูกพาตัวมา สวมกระโปรงยาวสีขาวเป็นชั้นๆ ผิวขาวกว่าหิมะ ดวงตากลมโตเป็นประกาย ใบหน้าไร้ตำหนิใดๆ
นางมีท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อยราวกับกวางป่าที่ตื่นกลัว
ทันใดนั้นบริเวณโดยรอบก็เงียบลง ทุกคนต่างก็หลงใหลในความงามของนาง จ้องมองด้วยความตื่นตะลึง
‘เอื๊อกๆ’ … เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้น
ท่าทางหญิงสาวจะรู้ชะตากรรมของตัวเอง นางกัดริมฝีปากแล้วพูดอย่างตื่นกลัวว่า “ข้าน้อย ข้าน้อยต้องรับใช้นายท่านคนไหนเจ้าคะ”
โจวชื่อสวงกลืนน้ำลาย รู้สึกแต่ว่าอีกฝ่ายงดงามและน่ากินจึงเดินก้าวยาวไปหาแล้วดึงตัวนางไปที่ข้างโต๊ะ
โจวชื่อสวงกอดสาวงามไว้ในอ้อมอก ลูบคลำและแทะโลมอย่างหิวกระหาย เห็นบรรดาโจรที่อยู่รอบๆ ตัวพากันอิจฉา และอยากจะแทนที่เขา
“ท่านคือโจวชื่อสวงใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของหญิงสาวดังขึ้นที่ข้างหู
‘นางรู้จักชื่อข้า…’ ในใจของโจวชื่อสวงรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที ความต้องการมลายหายไปในทันที ขณะเดียวกัน เขาก็พบว่าใบหน้าของหญิงงามที่อยู่ในอ้อมอกค่อยๆ ซีดและหมดพลังไป
ทันใดนั้นก็กลายเป็นคนกระดาษที่สูงเท่าคนจริง
‘คิกๆๆ…’
เสียงหัวเราะแหลมของหญิงสาวดังก้องอยู่ในห้อง ทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง
‘เคร้ง!’ …หน้าต่างถูกลมพัดแรงจนเทียนในห้องดับ
ในความมืด เสียงชักมีดยังคงดังไม่ขาดสายและเสียงตะโกนของหัวหน้าใหญ่ก็ดังขึ้น “เสนียดจัญไรจากที่ไหนมาแกล้งทำเป็นผีหลอกอยู่ที่นี่”
เสียงหัวเราะแหลมของหญิงสาวหยุดลงชั่วคราว แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาทุกคนในค่ายต่างก็ได้ยินเสียงแหลมและเศร้าดังก้องสะท้อนไปทั่วภูเขาท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
“ปีศาจ” โจวชื่อสวงพูดอย่างเคร่งขรึม เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นในใจของเขา
ปีศาจสาว[1]หรือปีศาจยั่วยวนแทบไม่มีพลังต่อสู้เลย ถนัดในการใช้ความงามในการยั่วยวนเพื่อดูดวิญญาณของผู้ที่หลงกล
แม้ว่าทหารจะไม่ถนัดในการรับมือกับปีศาจ แต่หากเลือดร้อนขึ้นมาปีศาจก็ทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่โจวชื่อสวงสนใจจริงๆ ก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังปีศาจสาว
โจวชื่อสวงรู้สึกได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายมุ่งเป้ามาที่ตัวเอง
ในเวลานี้เองเสียงกลองก็ดังก้องไปทั่วทั้งค่าย เสียงตะโกนของพวกโจรก็ดังมาจากข้างนอก “ศัตรูโจมตี ศัตรูโจมตี…”
หัวหน้าค่ายและบรรดาหัวโจกจับอาวุธวิ่งออกจากห้อง มองผ่านออกไปท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำลงมา ทั้งความมืด สายฝนและผืนป่าบดบังสายตาของพวกเขา
มีเสียงหวีดแหลมดังมาจากท้องฟ้า มันคือลูกธนูดอกแล้วดอกเล่า
โจรภูเขาโดนลูกธนูล้มลงกับพื้นอย่างต่อเนื่อง เสียงร้องอย่างน่าเวทนาก็ดังต่อเนื่องกันเป็นระลอก
หัวหน้าใหญ่หักลูกธนูออก รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ในการโจมตีครั้งต่อๆ มากำลังของลูกธนูไม่แรงมาก ขอเพียงดวงไม่แย่จนเกินไปจนโดนยิงถูกจุดสำคัญ แม้จะโดนลูกธนูก็ไม่ถึงกับสูญเสียกำลังการต่อสู้
“เตรียมหินกลิ้ง น้ำมันมะเยา[2]…”
ค่ายตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่ได้เปรียบ ของสองสิ่งนี้เป็นของวิเศษที่ใช้ในการป้องกัน ตอนแรกที่สร้างค่ายก็ได้ใช้ของพวกนี้มาต่อต้านการล้อมปราบของทางการจนข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้
หัวหน้าใหญ่เพิ่งพูดจบ บนท้องฟ้ายามค่ำคืนก็มีแสงสีเงินพาดผ่าน นั่นไม่ใช่แสงของฟ้าแลบ แต่เป็นอากาศที่พุ่งกระจายออกมาจากหอก
‘ครืน!’
แสงฟ้าแลบพาดผ่านมาพอดี บรรดาโจรภูเขาที่อยู่ด้านล่างก็มองเห็นร่างที่ยืนอยู่เหนือหอกเงินได้อย่างชัดเจน
นางสวมชุดเกราะเสริมเกล็ด สวมเสื้อคลุมสีแดงสดอยู่ด้านหลัง ไม่ได้สวมหมวก และรวบผมหางม้ายาวถึงเอว
ท่าทางสง่าผ่าเผยราวกับเทพีแห่งสงครามที่น่าเกรงขาม
เทพีแห่งสงครามร่ายคาถาบันดาลให้เกิดฟ้าผ่าดัง ‘โครม!’ ฟ้าผ่าลงมา นางยื่นมือไปหนีบไว้แล้วสะบัดอย่างแรง
หอลูกธนูสองอาคารถล่มลงมาเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
คาถาบันดาลฟ้าผ่าของลัทธิเต๋าหรือ
หัวใจของโจวชื่อสวงเย็นยะเยือกราวกับตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง
………………………………………
[1] ปีศาจสาว เป็นปีศาจที่มีเสน่ห์เย้ายวน มีรูปลักษณ์และเสียงที่น่าหลงใหล
[2] น้ำมันมะเยา หรือ น้ำมันตุง เป็นผลผลิตที่ได้จากต้นน้ำมันตุงซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีน