บทที่ 154 เขื่อนพันลี้พังได้เพราะรังมด
สวี่ชีอันตกใจมาก พูดในใจว่าข้าไปหลอกลวงตอนไหน หากจะบอกว่าหลอกลวงจริงๆ ก็ต้องเป็นภาพลักษณ์คนจากสำนักอวิ๋นลู่ต่างหาก
หรือว่าภาพลักษณ์ของข้าพังทลายลงแบบไม่รู้ตัวเสียแล้ว ไม่มีเหตุผลเลย อีกอย่างก็ไม่น่าจะเป็นหมายเลขห้าที่พูดประโยคนี้นะ ถ้าเป็นหมายเลขหนึ่งหรือหมายเลขหกมาชี้ตัวจะสมเหตุสมผลกว่า ยังไงก็ไม่ควรเป็นสาวน้อยจากหนานเจียงผู้นี้
เขาถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเอาไว้ ครุ่นคิดอยู่ไม่ได้ตอบกลับ และสมาชิกคนอื่นๆ ของพรรคฟ้าดินก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย จึงเกิดเป็นสถานการณ์ต่างฝ่ายต่างเฝ้าดูกันเงียบๆ ขึ้นมา
‘หมายเลขสามเป็นจอมหลอกลวงหรือ เขาต่างหากถึงจะเป็นคนที่เก็บเงินได้ หมายเลขห้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ทั้งสองคนก็ไม่ได้ส่งข้อความพูดคุยกันมากมายนี่นา หรือก็คือ หมายเลขห้าจับจุดอ่อนของหมายเลขสามจากการสนทนาในอดีต ไม่สิ ถ้าหากมีจุดอ่อนอะไรก็ต้องเป็นคนอื่นที่สังเกตได้สิ ไม่ควรเป็นหมายเลขห้า’ …หมายเลขสี่คิด
‘นิสัยของหมายเลขสามไม่เลวเลย เป็นคนดีมีน้ำใจ ทุกคนล้วนแต่มีความลับกันทั้งนั้น หมายเลขห้าเป็นผู้หญิงโง่เง่าจริงๆ’ …หมายเลขสองคิด
‘หมายเลขสามเก็บเงินได้ตลอด เก็บเงินได้ตลอด’ …ทันใดนั้นพระเหิงหย่วนไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าอย่างไรดี
หมายเลขหนึ่งแย้มยิ้มไม่พูดจา เฝ้าดูหน้าจออยู่เงียบๆ
นักบวชเต๋าจินเหลียนในเวลานี้กำลังนอนอาบแดดอยู่บนหลังคาท่าทางเกียจคร้าน ดวงตาแมวปิดลงอย่างเป็นสุข
หมายเลขห้าไม่ทำให้ทุกคนรอนาน นางกล่าวหาว่าหมายเลขสามพูดจาไม่จริงใจอย่างร้ายกาจ ‘เพื่อนที่เจ้าบอกว่ามักจะเก็บเงินได้บ่อยๆ คนนั้นก็คือตัวเจ้าเองใช่ไหมล่ะ ข้าเคยถาม…ข้อมูลของข้าแม่นยำอย่างยิ่ง’
สวี่ชีอัน “…”
‘ห้า: ฮั่นแน่ ไม่มีอะไรจะพูดล่ะสิ’
เจ้าเป็นมนุษย์สองมิติ[1]หรือไง สวี่ชีอันเบ้ปาก ถอนหายใจโล่งอก ใช่แล้ว ข้าเป็นจอมหลอกลวง แต่เรื่องแค่นี้จะหลอกหรือไม่ก็ไม่เห็นต่างกัน
ตัวอย่างเช่น ซ่งถิงเฟิงมักพูดว่า ‘ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่ร่างกายไม่ค่อยดี…’
ทุกคนต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าเป็นตัวเขาเอง แต่มีใครเอาผิดเขาว่าหลอกลวงหรือเปล่าล่ะ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีไม่มีใครตอบสนองต่อหมายเลขห้า ทุกคนคิดไปต่างๆ นานา
‘อิจฉาหมายเลขสามจริงๆ ออกจากบ้านทุกวันๆ ก็เก็บเงินได้…ข้าแทบจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงทหารไม่ไหวแล้ว…’ หมายเลขสองคิดอย่างจริงจัง
‘ที่แท้ผู้ที่เก็บเงินได้ทุกวันก็คือหมายเลขสาม อืม ตอนนั้นอาตมาก็เคยสงสัยอยู่ … หากอาตมาเก็บเงินได้ทุกวันๆ คงสามารถช่วยเหลือเด็กกำพร้าผู้ยากไร้ได้มากขึ้น…’ หมายเลขหกอิจฉาตาร้อน
‘คนที่เก็บเงินได้คือท่านหมายเลขสาม คนอะไรเก็บเงินได้บ่อยขนาดนี้ ข้าไม่เห็นจำได้ว่าระบบลัทธิขงจื๊อของสำนักอวิ๋นลู่มีเรื่องอัศจรรย์แบบนี้ด้วย…’หมายเลขสี่ตกใจ คิดถึงความเป็นไปได้แต่ละอย่างแล้วรีบส่งข้อความ ‘หมายเลขสาม ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่’
สวี่ชีอันลังเลเล็กน้อย ตอบกลับว่า ‘ก่อนหน้านี้ประมาณเดือนกว่าๆ’
เขาจงใจย่นเวลาให้สั้นลง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ในภายภาคหน้ามีคนใช้เรื่องนี้สืบพบว่าเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้กับเขาขึ้นหลังจากจบคดีเงินภาษี
…หมายเลขสี่ใจเต้นแรง เพราะเขาคิดสมมติฐานได้อย่างหนึ่ง สมมติฐานดังกล่าวช่างไร้สาระและบ้าบิ่นอย่างยิ่ง ถึงขั้นทำให้เขาตัวสั่นเทาเหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่าน
เดือนกว่าๆ ถ้าจำไม่ผิด นิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าของสำนักอวิ๋นลู่ก็เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนั้นหมายเลขสามยังไม่เข้าร่วมพรรคฟ้าดิน และนักบวชเต๋าจินเหลียนก็มอบหมายให้หมายเลขหนึ่งแห่งพรรคฟ้าดินตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง
เป็นที่รู้กันดีว่าหมายเลขสามเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ มีจุดหนึ่งที่ผิดปกติอย่างยิ่ง นั่นก็คือพลังของหมายเลขสามไม่ได้แข็งแกร่ง แต่กลับได้รับทรัพยากรมากมาย รู้ความลับที่มีแต่ระดับสูงของสำนักอวิ๋นลู่ที่รู้มากเกินไปด้วย นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ในฐานะที่หมายเลขสี่เคยเป็นบัณฑิตมาก่อน เขาสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อยเช่นนี้นานแล้ว เขาไม่ได้สงสัยเรื่องฐานะของหมายเลขสามในสำนักอวิ๋นลู่ แต่คิดว่าการปฏิบัติต่อเขามันค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย
แต่ถ้าหากหมายเลขสามเกี่ยวข้องกับนิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าของสำนักอวิ๋นลู่ล่ะ เช่นนั้นการได้รับความสนใจจากระดับสูงของสำนักอวิ๋นลู่ก็สมเหตุสมผลแล้วใช่หรือไม่
แต่การเก็บเงินได้กับนิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้ามีความเกี่ยวข้องอะไรกันนะ…หมายเลขสี่คิดไม่ออก
“ดูท่าว่าต้องหาเวลาว่างกลับเมืองจิงจ้าวไปเยี่ยมเจ้าสำนักจ้าวโส่วสักรอบเสียแล้ว” หมายเลขสี่ตัดสินใจลับๆ คิดจะรีบกลับเมืองจิงจ้าวก่อนสิ้นปี
คิดถึงตรงนี้ หมายเลขสี่ที่คิดไปเองว่าเข้าใจความลับของหมายเลขสามก็กระตุกมุมปาก ส่งข้อความลงไป ‘น่าสนใจ ก่อนหน้านี้ดูเบาหมายเลขสามไปหน่อย ดูท่าว่าต้องประเมินคุณค่าและศักยภาพของเจ้าใหม่แล้ว’
‘หมายเลขสี่รู้สาเหตุที่หมายเลขสามเก็บเงินได้บ่อยๆ อย่างนั้นหรือ และเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความลับยิ่งใหญ่บางอย่าง…ไม่อย่างนั้นหมายเลขสี่คงไม่ประเมินออกมาเช่นนี้หรอก’ …นอกจากหมายเลขห้าแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็พบความผิดปกติในคำพูดของหมายเลขสี่
เมื่อเห็นทุกคนพูดคุยพอหอมปากหอมคอแล้ว สวี่ชีอันก็หรี่ตา ใช้นิ้วต่างพู่กันส่งข้อความไป ‘อา ข้ามีเรื่องสงสัย หมายเลขห้าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนที่เก็บเงินได้คือข้า’
สติปัญญาของหมายเลขห้าไม่มีทางหลอกเขาได้ หรือกล่าวได้ว่าสาเหตุที่นางรู้ว่าตนเก็บเงินได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องรู้เรื่องวงในอยู่บ้าง
นี่เป็นเรื่องที่เขาอยากรู้อย่างมาก เขาสนใจเรื่องโชคดีแปลกประหลาดของตนมาโดยตลอด
‘ห้า: ข้าพูดไม่ได้ ข้ารับปากไว้กับ…คนอื่น ไม่อาจแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ แม้แต่ตัวเจ้าก็ไม่ได้’
หมายเลขห้าปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
‘สาม: มาแลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียมสิ’
‘ห้า: ไม่แลกเปลี่ยน เป็นคนต้องซื่อสัตย์’
ยัยเด็กโง่นี่ เชื่อไหมว่าข้าจะขึ้นบัญชีดำเจ้า อนาคตข้าจะใช้เจ้าครั้งเดียวแล้วถีบหัวส่งเลย… สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ
คิดอีกที อาการบาดเจ็บของผู้ดูแลอย่างนักบวชเต๋าจินเหลียนยังไม่หายดี ไม่อาจเปิดใช้งานการพูดคุยส่วนตัวได้ ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีในการซักถาม
รอให้ภายหลังสามารถคุยส่วนตัวได้แล้ว เขาจะคุยเรื่องชีวิตและตรรกะความคิดกับหมายเลขห้าเด็กโง่จากซินเจียงตอนใต้คนนี้ให้เต็มที่ ยังมีจุดที่ต้องจัดการอีกมากเชียวล่ะ
…
ห้องทรงพระอักษร โถงประชุม
จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้สวมชุดนักบวชเต๋านั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ฟังรายงานจากข้าหลวงเฉินฮั่นกวางเกี่ยวกับหัวคนมากมายที่ไช่ซื่อโข่ว ไม่ยินดียินร้าย ไม่มีแม้แต่ความรู้สึก
“ตำแหน่งเจ้ากรมทหารและจี่ซื่อจงกรมการคลัง ขุนนางทุกท่านมีความเห็นอย่างไร” จักรพรรดิหยวนจิ่งคล้ายจะพูดลอยๆ ออกมา
มีขุนนางใหญ่ออกมาแนะนำคนของตัวเองทันที จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเหล่าขุนนางถกเถียงกันอย่างดุเดือดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เพื่อตำแหน่งมากอำนาจสองตำแหน่งที่ว่างลง จำต้องแก่งแย่งกับอีกฝ่าย
แม้แต่คนใหญ่โตอย่างเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินที่มีอำนาจเทียมฟ้าอยู่ในมือก็ลงสนามด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเห็นการโต้แย้งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ขุนนางใหญ่อารมณ์ร้อนหลายคนก็เริ่มพับแขนเสื้อแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงเคาะโต๊ะ ห้ามทัพไว้ทันท่วงที
“ขุนนางซ่าง เจ้าเป็นเจ้ากรมข้าราชการ มีอะไรแนะนำหรือไม่”
ซ่างเสียนก้าวออกมา ขณะที่ก้มศีรษะคำนับ หางตาก็ชำเลืองมองสมุหราชเลขาฯ หวางเจินเหวิน เห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ จนแทบจับสังเกตไม่ได้ถึงได้กล่าวขึ้นว่า
“กระหม่อมยังตกใจ จึงไม่มีตัวเลือกชั่วคราว โปรดฝ่าบาททรงชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เรื่องนี้ค่อยว่ากันอีกที”
เป็นไปตามคาด…ขุนนางทุกคนพ่นลมหายใจโล่งอกออกมา มองหน้ากันไปมาอย่างจงเกลียดจงชัง
ตอนนี้เอง เว่ยเยวียนก็ก้าวออกมาพูดเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากจักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าแล้ว เว่ยเยวียนจึงกล่าว “ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันสร้างผลงานเลื่องชื่อในคดีท่านหญิงผิงหยาง ขอฝ่าบาทโปรดประทานรางวัลด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฎีกาที่เกี่ยวข้องเขาก็ได้ส่งไปยังศาลชั้นในแล้วเมื่อวานนี้
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งรู้เรื่องคดีความ และผลงานที่สวี่ชีอันสร้างไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดคดีท่านหญิงผิงหยางขึ้นมาอีกครั้ง หรือค้นพบเบาะแสของพระเหิงฮุ่ยแล้วตามหาร่างของท่านหญิงผิงหยางจนพบ ฆ้องทองแดงผู้นั้นทำผลงานยิ่งใหญ่ไม่อาจลบล้างได้จริงๆ
แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งยังคงลังเล เขาไม่ชอบขี้หน้าฆ้องทองแดงผู้นั้น ไม่มีเหตุผลอะไร เพียงแค่ชายผู้นี้ทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นและอึดอัดใจอย่างมาก
เป็นความเกลียดชังที่มาจากก้นบึ้งจิตใจ
วันนั้นตอนที่เจอเขาในเขตพระราชฐาน เห็นเขาฟันพื้นแยกด้วยดาบเดียวจนทำให้มังกรวิญญาณตกใจไม่กล้าเข้าใกล้ ชั่วขณะนั้น ในใจของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เกลียดชังเขาแบบควบคุมเสียไม่ได้แล้ว
เว่ยเยวียนกำลังจะพูดต่อ แต่จู่ๆ เจ้ากรมซุนจากกรมยุติธรรมก็เอ่ยเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะรายงานพ่ะย่ะค่ะ”
เขาก้าวออกมาก้าวใหญ่ ทำความเคารพ แล้วกล่าวคำพูดจริงจังเป็นเหตุเป็นผล “กระหม่อมรับหน้าที่ตรวจสอบคดีซังผอ หลายวันมานี้ได้ทุ่มเทกายใจ ไม่อาจชักช้าแม้แต่ขณะเดียว จากการตรวจสอบของกระหม่อม ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ฉางเหยียนคบค้าสมาคมกับเผ่าปีศาจ นอกในประสาน ร่วมกันวางระเบิดทะเลสาบซังผอ ขอฝ่าบาทปลดคนผู้นี้ แล้วมอบให้กระหม่อมสืบสวนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ฉางเหยียนหรี่ตา มองดูเจ้ากรมซุน
ตัวเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของพรรคฉี เพราะเรื่องดินปืน สมาชิกหลักอีกคนของพรรคฉีอย่างเจ้ากรมโยธาก็เคยเดินอยู่บนเส้นด้ายมาแล้วครั้งหนึ่ง
เจ้ากรมโยธาแค่นเสียงเย็นก่อนเดินออกมา “ฝ่าบาท กรมยุติธรรมใส่ความพ่ะย่ะค่ะ จงใจใส่ร้ายใต้เท้าฉางเช่นนี้ กระหม่อมคิดว่าเจ้ากรมพิธีการเองก็น่าสงสัยเช่นกัน”
เจ้ากรมพิธีการรีบเดินออกมากล่าวเสียงสูง “กระหม่อมถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยเยวียนถอนหายใจ รู้สึกผิดหวัง เป็นอย่างที่คิด เขาได้ยินจักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสว่า “คดีซังผอยังไม่จบ สั่งให้ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันทำคดีนี้ต่อ เวลาครึ่งเดือนผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว หากยังสืบไม่พบเบาะแส เราก็จะประหารเขาอยู่ดี”
“ฝ่าบาท!” เว่ยเยวียนเลิกคิ้ว เอ่ยพร้อมคำนับ “แม้ว่าสวี่ชีอันจะเพลี่ยงพล้ำในการทำคดี แต่ก็ยังมีความดีความชอบเรื่องคดีของท่านหญิงผิงหยางอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ จะประหารชีวิตได้อย่างไร”
ขุนนางทุกคนอดหันไปมองเว่ยเยวียนไม่ได้ สายตาของแต่ละคนมีความรู้สึกแตกต่างกันไป มีทั้งยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น มีทั้งแปลกใจ และพอใจ
ดูเผินๆ เจ้ากรมซุนผู้เป็นหัวหน้าพรรคหวางจะกระทำการโจมตีผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ แต่ขณะเดียวกันก็ลอบยิงธนูใส่เว่ยเยวียนด้วย ขอเพียงข้อพิพาทของคดีซังผอดำเนินต่อไป ฆ้องทองแดงผู้นั้นซึ่งเป็นผู้ดำเนินการสืบสวนหลักจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ไม่อาจลอยตัวไปได้ง่ายๆ และต้องถูกลากเข้ามาพัวพันอีกครั้ง
ด้วยเหตุผลเดียวกัน ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัย คดียังไม่คลี่คลายก็อย่าได้คิดว่าจะหลุดพ้นเลย ยามปกติคงไม่เป็นปัญหา แต่ในช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนัก มลทินขนาดใหญ่เช่นนี้สามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้อีก
พอถึงเวลานั้นพอเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายแปดประการ ก็จะถูกเนรเทศ ไม่พอยังต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งเจ้ากรมด้วย
แต่ว่า เจ้ากรมพิธีการผู้สังกัดพรรคหวางก็จะถูกลากลงมาด้วยเช่น เสียหนึ่งได้มาสอง ก็ถือว่าไม่เสียเปรียบ
เว่ยเยวียนออกจะเป็นห่วงฆ้องทองแดงคนหนึ่งมากเกินไปหรือไม่ ขุนนางทุกคนจับสังเกตจุดนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น การกระทำของเจ้ากรมซุนจากกรมยุติธรรมจึงได้รับความเห็นชอบมากขึ้น แม้ว่าขุนนางบุ๋นจะต่อสู้กันเองอย่างดุเดือด แต่ในฐานะที่เว่ยเยวียนเป็นศัตรูตัวฉกาจของกลุ่มขุนนางบุ๋น เรื่องที่จะทำให้เว่ยเยวียนอยู่ไม่สุข พวกเขาล้วนยินดีกระทำทั้งนั้น
“เราเหนื่อยแล้ว ออกไปเถอะ” จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ
ขุนนางทุกคนคำนับลงอย่างพร้อมเพรียง แล้วถอนตัวออกจากห้องทรงพระอักษรอย่างเป็นระเบียบ เหล่าขุนนางใหญ่จากไปอย่างแยกแยะชั่วดีชัดเจน เมื่อก้าวออกจากประตูอู่เหมิน บรรยากาศก็เปลี่ยนไปราวพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินทันที
บรรยากาศฟาดฟันกันอย่างดุเดือดหายไป ราวกับละครฉากใหญ่ที่เดินมาถึงจุดสิ้นสุดเสียที เหมือนยกภูเขาออกจากอก
ศัตรูยังคงเป็นศัตรู เพียงแต่ไม่ได้แสดงท่าทีใหญ่โตเหมือนตอนอยู่ในห้องทรงพระอักษรอีก
สมุหราชเลขาธิการหวางผู้มีผมหงอกขาวสีหน้าเคร่งขรึม สวมชุดสีแดงเข้ม ใบหน้าเปื้อนยิ้มเดินมาหาเว่ยเยวียน “เว่ยกงเหมือนจะใส่ใจฆ้องทองแดงผู้น้อยคนนั้นเป็นพิเศษ เขาสร้างความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ ช่างเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากจริงๆ”
เว่ยเยวียนเอ่ยเสียงอ่อนโยนยิ้มๆ “น่าเสียดายที่ทำตัวไม่ดี ขัดใจผู้ที่ไม่ควรขัดใจเข้า”
หวังสมุหราชเลขาธิการตกใจ “เหตุใดเว่ยกงพูดเช่นนี้ พวกเราดูแลอัจฉริยะก็เพื่อประเทศชาติ ปกป้องไว้เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว จะปล่อยให้เขาถูกประหารดื้อๆ ได้อย่างไร แต่หากเว่ยกงปกป้องไว้ไม่ได้ ก็ปล่อยให้ข้าทำหน้าที่แทนเถอะ”
เว่ยเยวียนเหลือบมองเขาอย่างล้ำลึก สีหน้ายังคงอ่อนโยน ไม่ยินดียินร้ายใดๆ “ไม่รบกวนใต้เท้าสมุหราชเลขาฯ หรอกขอรับ”
…
เว่ยเยวียนนั่งรถม้ากลับมายังที่ทำการ แล้วออกคำสั่งกับเจ้าพนักงาน “เรียกสวี่ชีอันมาพบข้า”
เวลานั้นสวี่ชีอันกำลังอยู่ในลานฝึกยุทธ์ ประลองฝีมืออยู่กับจูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิง ฝึกฝนวิชาดาบอยู่
“เจ้าซ่ง หลายวันนี้เจ้าไม่ได้ไปที่หอนางโลมหรืออย่างไร หายใจยืดยาดกว่าแต่ก่อนมากนัก” สวี่ชีอันรับมือการโจมตีร่วมกันของสหายร่วมหน่วยสองคนพลางพูดติดตลกไปด้วย
“เงินเดือนส่วนใหญ่ของเขาล้วนมอบให้สาวๆ ในหอนางโลมไปหมดแล้ว ไม่รู้จักประหยัดอดออม” จูกว่างเสี้ยวกล่าวเคร่งขรึม “หนิงเยี่ยน เขาในวันนี้ก็คือเจ้าในอนาคต ดูไว้เป็นบทเรียน”
ในบรรดาชายหนุ่มทั้งสาม จูกว่างเสี้ยวผู้ทำงานหนักนั้นรู้จักประหยัดอดออมมากที่สุด ไม่ใช่ต้องการงดเว้นเรื่องอย่างว่า แต่เพราะอยากจะเก็บเงินแต่งภรรยา
สวี่ชีอันและซ่งถิงเฟิงชอบทำตัวแบบเสิ่นกงเป้าเป็นที่สุด คนหนึ่งหมกมุ่นอยู่กับคณิกา ส่วนอีกคนเสเพลไม่ชอบการผูกมัด
หลังเข้าระดับขั้นหลอมจิตแล้ว จอมยุทธ์ไม่จำเป็นต้องงดเว้นในกามอีก แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องรู้จักควบคุม เขื่อนพันลี้พังได้เพราะรังมด นักรบร้อยสนามยังเสียชื่อให้กับหลุม
ตอนนี้เอง เจ้าพนักงานชุดดำคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา หยุดอยู่ที่ข้างลานฝึกยุทธ์และเอ่ยเสียงดังว่า “ใต้เท้าสวี่ เว่ยกงเรียกพบขอรับ”
…………………………………………
[1] 老二次元 มนุษย์สองมิติ หมายถึงคนที่ชอบใช้คำพูดเลียนแบบอนิเมะ