บทที่ 163 คดีใหญ่
อะไรวะนั่น…นายหน้าเฒ่าไม่ได้โกหก ผีสาวตนนี้หน้าตาแบบนี้จริงๆ…สวี่ชีอันขนลุกขนพองไปชั่วขณะ
ทว่าเขาก็ไม่ได้หวาดกลัว อาการขนลุกเป็นปฏิกิริยาที่พบได้ทั่วไปของคนเวลาเจอผี
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ไม่กล้าเข้าห้องน้ำหลังดูภาพยนตร์สยองขวัญ เมื่อกลั้นไม่ไหว ก็จะแก้ปัญหาด้วยขวดเครื่องดื่มยี่ห้อม่ายต้ง
ผีสาวชุดขาวมองพวกเขาอย่างตกตะลึงชั่วขณะ ราวกับรู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม มุมปากฉีกออกจนถึงใบหู เลือดสีดำสนิทไหลริน กรีดร้องไร้เสียงพุ่งเข้าใส่ทั้งคู่
ก้นบ่อลึกสงัด พลังหยินแรงกล้าขึ้นหลายเท่า สวี่ชีอันที่ถูกกระตุ้นขนลุกเกรียว
ข้ารับมือกับวิญญาณอาฆาตไม่เป็น…แทงนางไปตรงๆ เสียดีกว่า…สวี่ชีอันกุมด้ามมีด คิดจะชิงไปอยู่ข้างหน้าฉู่ไฉ่เวย ทว่าสาวงามชุดกระโปรงเหลืองกดมือห้ามการกระทำของเขา
นางประสานมุทรา[1] ปลาหยินหยางใจกลางเข็มทิศฮวงจุ้ยหมุนรอบ สวี่ชีอันมองเห็นอักษร ‘กุ่ย’ ในภาคสวรรค์สว่างขึ้น
แสงสว่างพวยพุ่งออกจากเข็มทิศฮวงจุ้ย ควบคุมตัวผีสาวไว้ แล้วเก็บเข้าไปในเข็มทิศฮวงจุ้ย
ฉู่ไฉ่เวยเก็บเข็มทิศฮวงจุ้ยกำไว้ในมือ หันไปมองสวี่ชีอันพร้อมยิ้มหวาน จากนั้นชี้ก้นบ่อและส่ายสะโพกแหวกว่ายไป
ทั้งสองสำรวจที่ก้นบ่ออยู่พักหนึ่ง ไม่พบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์
‘ซ่า…’ สวี่ชีอันทะลวงขึ้นมาจากผิวน้ำ ก้นบ่อไม่มีที่ให้อาศัยแรง จึงใช้สองมือยันผนังบ่อปีนขึ้นไป แล้วหันกลับมากล่าว
“จับขาข้าไว้”
ฉู่ไฉ่เวยส่งเสียง ‘โอ้’ พร้อมกอดขาทั้งสองของสวี่ชีอันเอาไว้ ให้เขาพาตนปีนขึ้นไป
สวี่ชีอันตอบสนองเล็กน้อย
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ฉู่ไฉ่เวยได้ยินไม่ชัด
“ไม่มีอะไร เจ้าปีนขึ้นมาอีกหน่อย กางเกงข้ากำลังจะถูกเจ้าดึงลงไปแล้ว ด้านบนข้ายังมีด้ามพอให้เจ้าจับได้”
ฉู่ไฉ่เวยพยายามมองหา ก็หาด้ามที่สวี่ชีอันกล่าวถึงไม่พบ
ตั้งแต่ออกมาจากก้นบ่อ สวี่ชีอันโคจรพลังปราณระเหยแห้งน้ำบ่อที่เปียกชุ่ม ส่วนฉู่ไฉ่เวยประสานมุทรา ปล่อยเปลวแสงสีส้มออกมาจากเข็มทิศฮวงจุ้ย เดินหมุนวนสองสามรอบ น้ำก็ลอยตลบอบอวลแต่กลับไม่ทำให้เสื้อผ้าเสียหาย
หลังจากร่างกายเย็นลงอีกครั้ง ฉู่ไฉ่เวยจึงเอ่ย “นี่เป็นเพียงวิญญาณอาฆาตธรรมดา”
เป็นเพียงวิญญาณอาฆาตธรรมดา เช่นนั้นนางอยู่มานานขนาดนี้ได้อย่างไร…สวี่ชีอันคิ้วขมวด นายหน้าเฒ่าเคยกล่าวว่าเรื่องราวความเฮี้ยนนี้เกิดขึ้นติดต่อกันสองปีกว่าแล้ว
คำพูดถัดมาของฉู่ไฉ่เวยก็ไขข้อสงสัย “ก้นบ่อเชื่อมผ่านกระแสน้ำใต้ดิน ความอาฆาตแค้นในบ่อก็มาจากที่นั่น ข้าเดาว่าใต้ดินมีเส้นลมปราณหยิน”
สวี่ชีอันประเมินว่าเส้นลมปราณหยินเป็นศัพท์วิชาการทางด้านศาสตร์ฮวงจุ้ย จึงพยักหน้าในทันที “ดังนั้นการชำระล้างของเจ้าจึงใช้ไม่ได้ผล พิธีกรรมของไต้ซือหลายคนก่อนหน้าก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพวกเขาไม่ใช่โหร”
ฉู่ไฉ่เวยพยักหน้าอย่างแรง บ่งบอกว่าตนก็เป็นโหร ช่างน่าภาคภูมิใจ “อย่าซื้อบ้านหลังนี้เลย ใต้ดินมีเส้นลมปราณหยิน ฮวงจุ้ยแย่สุดๆ อยู่ไปนานวันเคราะห์ร้ายจะเกาะกุม”
“ทำไมจะไม่ซื้อเล่า บ้านหลังนี้ถูกจะตาย” สวี่ชีอันเหลือบมองนางด้วยความประหลาดใจ “เจ้าคิดว่างานที่ข้าให้เจ้าทำ คือแค่มาดูเท่านั้นจริงๆ หรือ เจ้าต้องช่วยข้าปรับฮวงจุ้ย”
“เช่นนั้นก็เหนื่อยแย่…” ฉู่ไฉ่เวยทำหน้าขมขื่น นางร่ำเรียนวิชาเล่นแร่แปรธาตุในแต่ละวันก็ลำบากมากแล้ว “เช่นนั้นเจ้าต้อง…”
“ต้องเพิ่มอาหารสินะ ข้ารู้” สวี่ชีอันกล่าว
ก็พอได้…นางเบะปาก กระโดดขึ้นอกไก่ (ส่วนประกอบหนึ่งของโครงสร้างหลังคา) อีกครั้ง แล้วตะโกนลงไปข้างล่าง “ส่งข้าขึ้นฟ้าที”
เจ้าอยากเคียงคู่กับดวงจันทร์หรือ…อ๊ะ วันนี้ไม่มีดวงจันทร์ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร! สวี่ชีอันค่อนแคะอยู่ในใจ แล้วกระโดดขึ้นอกไก่ สองมือประสานเป็น ‘เก้าอี้เตี้ย’
ฉู่ไฉ่เวยกระโดดขึ้น ปลายเท้าแตะที่ฝ่ามือของเขา อาศัยพละกำลังเหนือมนุษย์อันน่าหวาดกลัวของทหาร ร่างอันอรชรพุ่งสู่ท้องฟ้ายามราตรีราวกับศรแหลมคม
ในกระบวนการนี้ นางใช้ความมหัศจรรย์ของเข็มทิศฮวงจุ้ย เรียกสายลมที่พัดโชยติดต่อกันไม่ขาดสาย รองรับร่างเพื่อชะลอการร่วงหล่น
ดวงตาส่องประกายเปิดขึ้น ฉู่ไฉ่เวยกราดมองบ้านทั้งหลัง จากนั้นหันศีรษะสังเกตพื้นที่ละแวกบ้านแล้วสังเกตฮวงจุ้ยของพื้นที่ทั้งหมด
ฉู่ไฉ่เวยลอยลงมาช้าๆ ดุจใบไม้ร่วงหล่น พร้อมขมวดคิ้วเอ่ย “น่าแปลก ฮวงจุ้ยของพื้นที่นี้ก็ไม่เลว ไม่น่าจะเกิดเส้นลมปราณหยินได้…”
ไม่ใช่ว่าทักษะวิชาชีพของเจ้าต่ำเกินไปหรือ… สวี่ชีอันไม่กล้าค่อนแคะ จึงเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูอีกครั้ง ไม่ก็กลับสำนักโหราจารย์ขอความช่วยเหลือจากเหล่าศิษย์พี่”
“ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้น” ฉู่ไฉ่เวยโบกมือปัด “พวกเราเข้าทรงผีสาวโดยตรง เข้าถึงใจนาง ดูว่านางตายอย่างไร หากไม่มีเบาะแส ข้าค่อยไปขอความช่วยเหลือจากเหล่าศิษย์พี่”
“รีบหน่อย พรุ่งนี้ข้ายังมีธุระต้องทำ” สวี่ชีอันกล่าว
พรุ่งนี้ต้องไปพบเว่ยเยวียน ณ ที่ทำการ หากท่านพ่อยอมแบกรับความกดดันเพื่อเขาได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่น หากท่านพ่อไม่สนใจเขา เขาก็ทำได้เพียงซ่อนตัว จากนั้นค่อยหาโอกาสดูว่าจะแก้ไขผลกระทบที่คนทรยศหักหลังก่อขึ้นได้อย่างไร
ส่วนบ้านหลังนี้ก็เป็นฐานที่มั่นที่สวี่ชีอันหาให้ตนเอง
ที่นี่เฮี้ยนใช่ย่อย ปกติไม่มีคนเข้าใกล้ ไม่ใช่สถานที่ที่ขุนนางเรืองอำนาจจะมาชุมนุมกัน อยู่ห่างจากถนนสายหลักพอควร ไม่ใช่พื้นที่ที่กองกำลังพิทักษ์เมืองหลวงและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลใส่ใจมากนัก
ฉู่ไฉ่เวยเอ่ย “พลังหยินของผีสาวแรงกล้าเกินไป การเข้าถึงใจนางต้องทนรับพลังหยินเข้าร่าง ซึ่งไม่ดีต่อร่างกายหญิงสาว หากเป็นเจ้า นักรบเลือดลมเปี่ยมล้นด้วยพลัง คงจะไม่มีโรคแทรกซ้อนตามมาภายหลัง”
“ได้!”
ฉู่ไฉ่เวยเก็บเข็มทิศฮวงจุ้ยลง ริมฝีปากพึมพำ ปลาหยินหยางค่อยๆ หมุนตัว กลุ่มหมอกดำจางๆ ถูกดีดออกมา ลอยอยู่เหนือหน้าปัดเข็มทิศฮวงจุ้ยสามนิ้ว
หมอกดำกระจัดกระจายยุ่งเหยิง ทว่ามิอาจออกห่างเข็มทิศฮวงจุ้ยได้ ทุกครั้งที่หนีล้วนถูกกำแพงแสงดีดกลับไปอยู่ด้านบนของปลาหยินหยาง
ฉู่ไฉ่เวยงอนิ้วดีดเบาๆ “ไป!”
หมอกดำพุ่งขึ้นกระแทกเข้าหว่างคิ้วของสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันหนาวสั่นไปทั้งร่าง รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาจากสันหลัง จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงความคิดที่เปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น คลุ้มคลั่ง และความหวาดกลัว
ความคิดเหล่านี้ปะทะจิตเดิมของเขาอย่างบ้าคลั่ง พยายามควบคุมร่างกาย ทันใดนั้น ผีสาวก็สงบลงราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง…ไม่สิ ตัวสั่นงกๆ เลย
ทำให้สวี่ชีอันล้มเลิกความคิดที่จะปราบวิญญาณอาฆาต แล้วสัมผัสจิตสำนึกของผีสาวโดยละเอียด
นางสัมผัสได้ถึงตัวตนของพระเสินซู…ภิกษุหลับใหลไปแล้วจริงๆ มิเช่นนั้นก็อาจจะปราบผีสาวจนสูญสิ้นไปแล้ว…
ความคิดของเขาห่อหุ้มวิญญาณอาฆาต ทั้งสองเกิดเข้าถึงใจกัน ครู่ต่อมา ภาพอันแปลกตาก็ปรากฏขึ้นเป็นฉากๆ ราวกับฉายภาพยนตร์
หญิงสาวเดิมเป็นบุตรสาวจากครอบครัวที่ร่ำรวยในมณฑลไท่กัง เพราะรูปโฉมงดงาม ผู้ที่มาสู่ขอพากันเหยียบธรณีประตูแทบสึก ตามวงจรชีวิตมนุษย์ปกติ นางจะแต่งงานกับคนดีๆ แล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ทว่าบางครั้งการออกเดินทางก็เปลี่ยนชีวิต ในซอยอันเปล่าเปลี่ยว พ่อค้ามนุษย์ใช้กำลังบังคับพาตัวนางไป นางถูกส่งตัวมาที่คฤหาสน์ในเมืองหลวง
ในบ้านพักมีหญิงสาวเฉกเช่นเดียวกับนางอาศัยอยู่มากมาย
พวกนางทำอยู่สิ่งเดียว นั่นคือการร่วมหลับนอนกับเหล่าแขกที่เข้าออกบ้านพักทุกคืน คอยเล่นกับพวกเขา
หมู่คนเหล่านั้นเรียกกันว่า ‘ใต้เท้า’ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่มีสถานะทางราชการ เหล่าใต้เท้าที่ถอดเสื้อคลุมขุนนางออกเลวทรามกว่าสัตว์เดรัจฉาน เล่นสนุกกับหญิงสาวในบ้านพักตามอำเภอใจ
ผีสาวเคยปรนนิบัติใต้เท้ามามากหน้าหลายตา ในใจนางเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้น ทว่าด้วยความกลัวตายจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความอัปยศ
เป็นเช่นนี้อยู่นานแรมปี แขกคนหนึ่งถูกใจนาง จนได้กลายเป็นคนรักของแขกคนนั้นแต่เพียงผู้เดียว สถานการณ์ดีขึ้น
แขกผู้นั้นมีนามว่าธัมลาฮา เป็นบุรุษรูปร่างสันทัด ล่ำสัน หน้าบานตาชั้นเดียว
สาเหตุการตายของนางเป็นเพราะบังเอิญไปได้ยินบทสนทนาระหว่างธัมลาฮากับคนใหญ่คนโตคนหนึ่งเข้า
คำในบทสนทนาเกี่ยวข้องกับ ‘อวิ๋นโจว’ ‘ปืนใหญ่’ ‘อาวุธยุทโธปกรณ์’ เป็นอาทิ
หลังคฤหาสน์มีบ่อน้ำสลัดชีวา ในบ่อฝังศพผู้ที่ฆ่าตัวตายไว้มากมาย ไม่ก็เป็นหญิงสาวที่ถูกแขกทรมานจนตาย หลังจากหญิงสาวถูกฆ่า ก็จะถูกทิ้งลงไปในบ่อแห่งนั้น
หลังจากที่นางสิ้นลมก็กลายเป็นผีเฮี้ยน แต่กลับติดอยู่ในบ่อ ด้วยบุญกรรมชักพา ทำให้กระแสน้ำก้นบ่อไหลเวียนมายังที่แห่งนี้
นางอาศัยความอาฆาตอันเปี่ยมล้นในกระแสน้ำหล่อเลี้ยง คงอยู่มาจนถึงตอนนี้ วิญญาณไม่ดับสูญ
ในเศษชิ้นส่วนความทรงจำแต่ละฉากนี้ สวี่ชีอันเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย โดยเฉพาะช่วงก่อนที่หญิงสาวจะตาย บทสนทนารอบนั้น เขามองเห็นคนใหญ่คนโตที่เจรจากับธัมลาฮาผ่านการมองเห็นของหญิงสาว
เจ้ากรมกรมโยธาแห่งพรรคฉี!
“เฮ้อ…” สวี่ชีอันลืมตาขึ้น พ่นลมหายใจแห่งความอัดอั้นภายในอก
การเข้าถึงใจไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์จะทำได้จริงๆ
ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้รับผลกระทบทางอารมณ์ เช่น ความเคียดแค้น ความเจ็บปวด และความสิ้นหวังของหญิงสาว
โชคดีที่ทุกวันเขายังคงฝึกการตระหนักรู้ หล่อหลอมจิตเดิม เพิ่มพูนแรงใจอย่างล้นเหลือ หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ไม่ถูกความซึมเศร้ากัดกินก็ต้องกลายเป็นจิตเภท
“ดูเหมือนจะได้รับผลพวงที่คาดไม่ถึงมา…” ฉู่ไฉ่เวยจ้องมองเขา ระหว่างที่เข้าถึงใจ นางก็มองสีหน้าของสวี่ชีอันบิดเบี้ยวไปมา บางครั้งก็เจ็บปวด บางครั้งก็เศร้าโศก
ความรู้สึกเหล่านี้ย่อมไม่ใช่อารมณ์ที่มาจากเขา ทว่ามาจากหญิงสาวผู้นั้น ต้องประสบพบสิ่งใดกัน ถึงทำให้หญิงสาวคนหนึ่งมีความรู้สึกด้านลบมากมายเช่นนี้
ปลายนิ้วของฉู่ไฉ่เวยแตะไปที่หว่างคิ้วของสวี่ชีอัน ดึงผีสาวออกมา แล้วผนึกลงในเข็มทิศฮวงจุ้ยอีกครั้ง
ธัมลาฮาผู้นั้นดูเหมือนจะไม่ใช่คนภาคกลาง…ลักษณะพิเศษของคนภาคตะวันตกคือจมูกโด่ง เบ้าตาลึก ลักษณะพิเศษของพวกหมานอี๋ซินเจียงตอนใต้จะมีดวงตาสีฟ้า คนทางเหนือผิวจะสีเข้มและมีสายเลือดของสัตว์ประหลาดยุคดึกดำบรรพ์ รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนสัตว์ประหลาดเล็กน้อย…ธัมลาฮายิ่งดูคล้ายลักษณะพิเศษทางชาติพันธุ์ในเขตการปกครองของสำนักพ่อมด
ทว่าเหตุใดสำนักพ่อมดจึงอยากสร้างสัมพันธ์กับอวิ๋นโจว อวิ๋นโจวอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของต้าฟ่งนี่นา แม้จะพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ดูเหมือนว่ากรมโยธาจะส่งออกยุทโธปกรณ์ชั้นสูงให้กับสำนักพ่อมดไม่ก็อวิ๋นโจวมาโดยตลอด
“เรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงการสมคบคิดกับข้าศึกทรยศต่อประเทศ ข้าต้องรายงานต่อเว่ยเยวียน…” เมื่อคิดได้ดังนี้ สวี่ชีอันก็บอกเรื่องนี้กับฉู่ไฉ่เวยอย่างรวบรัด
เมื่อฉู่ไฉ่เวยฟังจบ ก็งงงวยเป็นอย่างยิ่ง “ก่อนตายถูกทรมาน หลังสิ้นลมความแค้นมิจางหาย ก็ไม่แน่ว่าจะกลายเป็นผีร้าย แต่หากจำนวนพอกพูนขึ้น ความเคียดแค้นก็จะพุ่งทะยาน หากเมืองชั้นในมีสถานที่เช่นนี้ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคงค้นพบไปนานแล้ว”
“เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง…อ้อ จริงสิ ข้าขอกระจกคืน” สวี่ชีอันกล่าว
ตอนนี้เขาต้องการสร้างความดีความชอบ จึงไม่เกรงกลัวโทษฐานที่เรียกกันว่า ‘กินสินบาทคาดสินบนบิดเบือนกฎหมาย’ จึงไม่ต้องมอบกระจกให้ฉู่ไฉ่เวยเก็บรักษา
ล้อเล่นน่า มีทอง 900 กว่าตำลึงทองในนั้นต่างหาก
…
สวี่ชีอันพาฉู่ไฉ่เวยเดินทางไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ระหว่างทางก็พบกับฆ้องทองแดงสี่นายที่เข้าเวร แล้วถูกสกัดเพื่อสอบสวน
“ข้าเอง” สวี่ชีอันแสดงป้ายห้อยเอว
“ใต้เท้าสวี่?”
แม้จะเป็นระดับเดียวกัน ทว่าสวี่ชีอันอยู่ในฐานะเด็กใต้สังกัดอันดับหนึ่ง เหล่าฆ้องทองแดงหลายคนจึงไม่กล้าเมินเฉย
“เหตุใดท่านถึงยังเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก วันนี้กรมอาญาและศาลต้าหลี่ส่งกองกำลังบุกเข้าไปที่ทำการ พาตัวสหายร่วมหน่วยไปมากมาย” ฆ้องทองแดงนายหนึ่งกล่าว
“ว่ากันว่าในรายชื่อมีท่านด้วย เพียงแต่ท่านไม่อยู่ ณ ที่ทำการ ซ่อนตัวจากมหันตภัยไปแล้ว กลับบ้านไม่ได้งั้นหรือ…”
เจตนาของเขาชัดแจ้ง ท่านคงไม่เตรียมตัวหนีหรอกนะ
“จับพวกนั้นไปทั้งหมดเลยหรือ”
เมื่อสวี่ชีอันเอ่ยถาม พบว่าบรรดาฆ้องทองคำสี่นายที่ถูกจับไปมีเจียงลวี่จงด้วย ส่วนบรรดาฆ้องเงิน มีหลี่อวี้ชุน หมิ่นซานและหยางเฟิง ฆ้องเงินสามนายที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเขาในคดีซังผอ
ฆ้องทองคำเจียงเป็นคนที่ประพฤติตนเถรตรง ถือจะละโมบอยู่บ้าง ทำไมถึงถูกจับไปด้วยล่ะ… เพราะเขามีความสัมพันธ์อันดีกับข้า จึงถูกคนสกุลจูแก้แค้น… พี่ชุนก็น่าอนาถเป็นบ้า ไม่เคยมักมากในเงินทอง ก็ต้องเข้าคุกไปเสียนี่…
นึกแล้วว่าความแค้นส่วนตัวของคนสกุลจูแฝงจุดประสงค์เอาไว้ เลือกลงมือเฉพาะคนใกล้ชิดของสวี่ชีอัน ตัดกำลังหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทั้งยังแก้แค้นศัตรู
“เว่ยกงช่วยพวกเขาได้อย่างแน่นอน เดรัจฉานสวมเสื้อกลุ่มนี้ ระรานพวกเราเก่งเสียจริง”
“เฮ้ เจ้าอย่าพูดไป อันที่จริงหลายปีมานี้ทุกคนล้วนมีมลทิน…”
“เฮ้ย ฆ้องเงินหลี่ไร้มลทินเสมอมา มันต่างกัน”
สามฆ้องทองแดงไร้ความสามารถหัวฟัดหัวเหวี่ยง โวยวายต่อหน้าสวี่ชีอันยกใหญ่
“ได้ข่าวว่าฝ่าบาทรับสั่งให้สอบสวนด้วยพระองค์เอง ถึงเป็นเว่ยกงก็คงจะจัดการได้ยาก เช่นนี้จะทำอย่างไรดี บรรยากาศในที่ทำการวันนี้ตื่นตระหนกและอึมครึมเป็นพิเศษเลย”
สวี่ชีอันพูดปลอบใจ “ต้องมีวิธีสิ”
สามฆ้องทองแดงส่ายหน้า ท้อแท้ใจยิ่ง ทอดถอนใจพลางออกลาดตระเวน
…
สวี่ชีอันมุ่งตรงกลับที่ทำการ วิ่งเข้าไปยังหอเฮ่าชี่ และถูกทหารยามสกัดอยู่ที่ข้างล่างตึก
“เว่ยกงพักผ่อนแล้ว ห้ามผู้ใดเข้าพบ นี่เป็นกฎ” ทหารยามรู้จักสวี่ชีอัน ทว่าเข้ายามราตรีแล้ว เว่ยเยวียนไม่พบใครในเวลานี้
“ข้ามีเรื่องสำคัญ รีบไปแจ้งเร็ว” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
“ใต้เท้าโปรดมาในวันพรุ่ง” ทหารยามแข็งกร้าว
………………………………………
[1] 手诀 แปลว่า มุทรา อ่านว่า มุด-ทรา เป็นท่าทางแสดงสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ เน้นที่ลักษณะมือและนิ้ว มุทราในศาสนาพุทธมักปรากฏเป็นปางต่างๆ ของพระพุทธรูป โดยแต่ละปางจะมีอิริยาบถและท่ามือแตกต่างกันไป บางครั้งก็จะเรียกว่า 手印