ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 164 โอกาสพลิกสถานการณ์

บทที่ 164 โอกาสพลิกสถานการณ์

บทที่ 164 โอกาสพลิกสถานการณ์
สวี่ชีอันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตบทหารยามล้มคว่ำ เตะดาบพก แล้วตบหน้าอีกคนละฉาด จากนั้นร้องขึ้นว่า “จะไปรายงานไหม ไปรายงานไหม…”

ทหารยามที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงไปแล้ว ไม่รู้ว่าควรห้ามดีหรือไม่

“หยุด หยุดตีเถอะ…” ทหารยามล้มลงกุมหัว ร้องโอดครวญไม่หยุด “ท่านทำเช่นนี้ข้าน้อยลำบากนะ เดี๋ยวเว่ยกงจะตำหนิลงมาได้”

สวี่ชีอันเป็นผู้ใต้บัญชาคนโปรดของเว่ยเยวียน เขาไม่กล้าขัดขืน ขอแค่อีกฝ่ายไม่บุกรุกเข้าไปที่หอเฮ่าชี่ ทหารยามก็ไม่เลือกที่จะมีเรื่องด้วยหรอก

“เข้าใจ ทุกคนล้วนมีเรื่องลำบากกันทั้งนั้น” สวี่ชีอันพอเห็นว่าตบตีจนอีกฝ่ายจวนจะโมโหแล้ว เขาก็พอใจ ก่อนเก็บมือกลับ จากนั้นหยิบเงินหนึ่งตำลึงออกมาจากถุงเงิน

“วัตถุสีทองอร่ามไร้ค่าก้อนนี้คุ้มให้เจ้ายอมเสี่ยงหรือไม่ ถ้าไม่ข้าก็เปลี่ยนคน”

“ได้ขอรับๆ” ทหารยามรับเงินมา หยิบดาบพกขึ้น แล้วตรงเข้าหอเฮ่าชี่ทันที

ผ่านไปประมาณสิบนาที สวี่ชีอันก็มองเห็นแสงเทียนบนชั้นที่เจ็ดสว่างขึ้น ครู่หนึ่ง ทหารยามก็เดินลงมาแล้วกล่าวอย่างเคารพ “เว่ยกงเชิญท่านขึ้นไปขอรับ แม่นางท่านนี้…”

“โหรของสำนักโหราจารย์ คนกันเอง” สวี่ชีอันพาฉู่ไฉ่เวยเข้าไป

ยามกลางวันในอาคารแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่จึงนับว่าครึกครื้น พอตกเย็นกลับเงียบสงัด เพิ่มความเงียบงันเยือกเย็นเข้าไปใหญ่

เว่ยเยวียนอาศัยอยู่ในหอนี้ทั้งปี เขาไม่เหงาเลยหรือ

คิดพลางเดินพลางก็มาถึงห้องน้ำชาชั้นเจ็ด ที่นี่ไม่ได้อบอุ่น ข้างในห้องไม่ได้เผาถ่าน คนรับใช้คอยปรนนิบัติในอาคารสักคนก็ไม่มี

เว่ยเยวียนสวมชุดคลุมสีเขียวคราม ผมดำแผ่สยาย นั่งขัดสมาธิอยู่ที่โต๊ะ ข้างกายมีตะเกียงน้ำมันวางอยู่ พอเห็นสวี่ชีอันเข้ามาก็สั่งการให้ทำงานต่างๆ อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

“เผาถ่าน ต้มน้ำ แล้วจุดตะเกียงดวงอื่นๆ”

ดูท่าเขาจะหนาว อืม แม้ว่าเว่ยเยวียนจะฉลาดหลักแหลม แต่ก็คล้ายไม่มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์…ฮ่าๆ สวรรค์ช่างยุติธรรม…สวี่ชีอันทำตามคำสั่ง เทียนแต่ละเล่มส่องสว่างขึ้นมาในห้องชาอันกว้างขวาง ถ่านไฟถูกวางข้างกายเว่ยเยวียน ก่อนหันไปวางกาต้มน้ำทองแดง

“วันนี้ข้าจะให้เชี่ยนโหรวไปบอกให้เจ้าซ่อนตัว แต่ผลคือหาทั้งหน่วยแล้วกลับไม่เจอเจ้า พอไปสอบถามที่บ้านตระกูลสวี่ เจ้าก็ยังไม่กลับไป ไปถามที่สำนักสังคีต เจ้าก็ไม่อยู่อีก มาหาข้าเสียดึกดื่นป่านนี้ คงไม่ใช่เพราะคดีทุจริตกระมัง” เว่ยเยวียนแย้มยิ้ม มองฉู่ไฉ่เวยแล้วเอ่ยอย่างสงสัย

“ฆ้องทองแดงผู้น้อยคนนี้คือคนในดวงใจของแม่นางไฉ่เวยหรือ”

ใบหน้าเล็กๆ ของฉู่ไฉ่เวยแดงก่ำ “ไม่ใช่”

แต่นางเป็นผู้ที่ยังไม่ถึงระดับตรัสรู้ หน้าแดงพักหนึ่งก็หายไป สายตากวาดมองโต๊ะชาสองสามครั้ง ไม่เห็นของกิน

ที่นี่พลันน่าเบื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“เว่ยกง ข้าพบคดีใหญ่ขอรับ” สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิลงที่โต๊ะตรงข้ามกับเว่ยเยวียน “วันนี้ข้าน้อยขอลาไปซื้อบ้าน พบบ้านร้างผีสิงแห่งหนึ่ง หลังจากข้ากับแม่นางไฉ่เวยจัดการกับเรื่องนี้แล้ว จึงทำการเข้าถึงจิตใจของผีสาวขอรับ…”

สวี่ชีอันเล่ารายละเอียดการเข้าถึงจิตใจออกมา ตอนแรกเว่ยเยวียนไม่ค่อยสนใจนัก พอได้ยินเรื่องจวน สีหน้าก็ขรึมลง

หลังจากได้ยินว่าเจ้ากรมโยธาถูกสงสัยว่าสมคบกับสำนักพ่อมด แอบขายอาวุธยุทโธปกรณ์ ดินปืน และเกี่ยวข้องกับอวิ๋นโจว ขันทีใหญ่ก็มีสีหน้านิ่งขรึมเหมือนกับผิวน้ำทันที

“พรรคฉีเกี่ยวข้องกับการโจรกรรมที่อวิ๋นโจวจริงๆ ด้วย ดีมาก รายงานนี้สำคัญยิ่ง” เว่ยเยวียนมองดูสวี่ชีอัน ความอบอุ่นในแววตาแฝงความชื่นชม “เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอ”

ถ้าอย่างนั้นก็รับข้าเป็นลูกบุญธรรมเสียเลยสิ…สวี่ชีอันคิดในใจ

แต่เจ้าคนกินฟรีแซ่สวี่ต้องรักษาศักดิ์ศรี คำพวกนี้พูดออกไปไม่ได้ ก็เหมือนกับในชาติก่อนเขาหน้าตาหล่อเหลาน่าตะลึง แต่จนแล้วจนรอดก็พูดคำว่า ‘คุณป้า ผมไม่อยากกระเสือกกระสนอีกแล้ว’ ออกมาไม่ได้

“เว่ยกง เหตุที่จูหยางทรยศ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าขอรับ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างละอายใจ

“ถึงไม่มีเขาก็ต้องมีเรื่องอื่นๆ อยู่ดี ครั้งนี้พรรคฉีตั้งตนเป็นศัตรูกับข้า แน่นอนว่าย่อมมีพรรคอื่นลอบเติมเชื้อไฟอยู่ดี” เว่ยเยวียนไม่ได้อธิบายว่าทำไมพรรคฉีถึงต้องการเป็นศัตรูกับเขา

หรือว่าคดีทุจริตในครั้งนี้มีผู้บงการหลักเบื้องหลังคือพรรคฉีอย่างนั้นหรือ

เขารู้เรื่องจากหมายเลขหนึ่งในข้อความของหนังสือปฐพีที่ว่าจูหยางทรยศหน่วย เป็นหนอนบ่อนไส้

แต่หมายเลขหนึ่งไม่ได้บอกว่าผู้ผลักดันหลังม่านคือพรรคฉี สวี่ชีอันยังคิดว่าเป็นฝีมือของพรรคหวางอยู่เลย

นี่มันประจวบเหมาะเกินไปแล้ว…วันนี้ที่หน่วยก็เพิ่งจะเกิด ‘คดีทุจริต’ ข้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จากนั้นก็เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นมาทันทีอีก

…เป็นเพราะข้าใกล้จะเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณแล้ว ดังนั้นโชคลางจึงเกิดการเปลี่ยนผันหรือ ถ้าไม่ใช่ก็สุดจะหาคำอธิบายแล้ว

“น่าสนใจจริง พรรคหวางสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจ พรรคฉีสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมด ในราชสำนักมีแต่คนประเภทไหนกันนี่” ฉู่ไฉ่เวยค่อนแขวะออกมา “ฝ่าบาทฝึกเต๋าจนสมองเลอะเลือนไปแล้วมั้ง”

สวี่ชีอันใช้ศอกกระทุ้งสาวน้อยที่พูดจาไม่รู้จักกาลเทศะไปหนึ่งที

“ฝ่าบาทเพิกเฉยต่อกิจการราชสำนัก แม้พระองค์จะยังเรืองอำนาจอยู่ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะหล่อหลอมปีศาจมารร้ายบางตัวออกมา พระองค์ทรงอำนาจน่าเกรงขาม แต่ขุนนางทั้งหลายในราชสำนักก็ไม่ใช่ผู้โง่เขลา” เว่ยเยวียนไม่ได้สนใจคำพูดล่วงเกินของฉู่ไฉ่เวย ถึงอย่างไรโหรของสำนักโหราจารย์ต่างก็มีท่าทีเช่นนี้อยู่แล้ว

หยางเชียนฮ่วนผู้มีพฤติกรรมค่อนข้างไร้สาระผู้นั้น ยามที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทก็มักจะหันหลังให้ ฝ่าบาทไม่เคยโมโห แต่ไหนแต่ไรพระองค์ก็ทรงใจกว้างมีเมตตากับผู้ที่มีประโยชน์มหาศาลแต่ไร้อำนาจอยู่ในมืออยู่แล้ว

“วิชาปราบมังกรของลัทธิขงจื๊อ มังกรที่จะถูกปราบก็คือมังกรยักษ์ตัวนี้นั่นแหละ” สวี่ชีอันกล่าวพึมพำ

พูดจบก็ถูกฉู่ไฉ่เวยใช้ศอกกระแทกเป็นการแก้แค้น

จักรพรรดิหยวนจิ่งควบคุมราชสำนัก ขุนนางในราชสำนักก็กำลังแสดงละครใส่เขา เมื่อจักรพรรดิผู้หนึ่งสนใจแต่อำนาจของตนเอง แต่ไม่สนใจประเทศชาติราษฎร จุดเริ่มของการคัดเลือกอัจฉริยะก็จะเปลี่ยนไป มาตรฐานการทดสอบก็จะเอนเอียงไปทาง ‘เชื่อฟังและควบคุมง่าย’ แทน

ส่วนตัวบุคคลและความสามารถจะเป็นเช่นไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เว้นเสียแต่จะเป็นคนที่น่าทึ่งจนปฏิเสธไม่ลงเช่นเว่ยเยวียน

เน่าเฟะมาตั้งแต่ต้นตอ…เว่ยเยวียน นี่คือเหตุผลที่ท่านต้องการกำจัดเสี้ยนหนามออกไปใช่หรือไม่… สวี่ชีอันนึกถึงคำพูดที่เว่ยเยวียนเคยกล่าวไว้ เขาปรารถนาที่จะเก็บกวาดความโสมมในราชสำนัก และกวาดล้างความเสื่อมทรามของประเทศชาติ แต่ก่อนที่จะถึงตรงนี้ ต้องทำตัววางเฉย ยอมปล่อยให้ลูกน้องทำผิดเสียเอง

เดิมเขาก็เป็นขุนนางหัวเดียวกระเทียมลีบ ถ้าหากลูกน้องใต้บัญชามีคนที่ใช้งานได้เพียงไม่กี่คน จะไปต่อกรกับขุนนางในราชสำนักได้อย่างไร

ตอนนี้เอง เว่ยเยวียนก็หยิบพู่กันและกระดาษออกมา คิดจะเขียนเอกสาร สวี่ชีอันจึงรินน้ำชาและฝนหมึกอย่างรู้งาน เขามองดูท่านพ่อเว่ยเขียนเอกสารจับกุม แล้วประทับตราราชการ

“นำเอกสารนี้ไปหาฆ้องทองคำจางไคไท่ที่เข้าเวรอยู่ ให้เขาพาคนไปปราบปรามองค์กรฟัน” เว่ยเยวียนกล่าว

ข้ารู้จักปราชญ์ใหญ่ผู้หนึ่งที่ชื่อว่าเฉินไท่นะ แล้วจางไคไท่ผู้นี้นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย…สวี่ชีอันพยักหน้า “ขอรับ”

เขาพาฉู่ไฉ่เวยออกจากหอเฮ่าชี่ สอบถามถึงห้องทำงานของฆ้องทองคำจางไคไท่ ที่มีชื่อว่า ‘โถงเสินเจี้ยน’ พอเห็นหน้าถึงรู้ว่าที่แท้ก็คือฆ้องทองคำผู้ใช้กระบี่ที่มีวาสนาได้พบพานกันสองสามครั้งนั่นเอง

ในหมู่ฆ้องทองคำสี่คนที่ห่อหุ้มตัวด้วยผ้าพันแผลเมื่อคราวนั้นก็มีเขาอยู่ด้วย

จางไคไท่เหมือนกับมือกระบี่ผู้หยิ่งผยอง ยามเขานิ่งเงียบก็จะให้ความรู้สึกเย็นชาผลักไสผู้คนออกไปเป็นพันลี้

ถ้าเขาเกิดในยุคปัจจุบัน จะต้องเป็นผู้ใช้งานตัวละคร ‘กระบี่เดียวหยดโลหิต'[1] ได้อย่างมืออาชีพแน่…สวี่ชีอันคิด

“มีอะไร” สายตาของจางไคไท่ทอดมองเอกสารราชการในมือของสวี่ชีอัน

สวี่ชีอันส่งมอบเอกสารราชการไป แล้วบอกคำพูดของเว่ยเยวียนให้เขาฟังอีกรอบหนึ่ง

เมื่อฟังจบ บนใบหน้านิ่งสงบทว่าเย็นชาของจางไคไท่ก็คล้ายกับน้ำแข็งยามวสันต์ที่แตกร้าว เผยรอยยิ้มประหลาดใจออกมา “ดี ดี ครั้งนี้ต้องทำให้พรรคฉีได้รับผลกรรมที่ทำไว้ สหายร่วมหน่วยทุกคนจะได้ผ่านพ้นความยากลำบากครั้งนี้เสียที เจ้าก็จะได้ความดีความชอบเป็นคนแรกๆ”

ความรู้สึกของจางไคไท่ที่มีต่อสวี่ชีอันนั้นไม่เลวเลย เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมหยางเยี่ยนกับเจียงลวี่จงต้องผิดใจกันใหญ่โต และยิ่งคิดไม่ออกว่าเหตุใดเว่ยกงให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้

แม้ว่าจะบอกว่าเด็ดเดี่ยว ความสามารถในการทำคดีโดดเด่น อัจฉริยะก็อัจฉริยะเถอะ แต่เว่ยกงเป็นถึงคนระดับไหนกัน เพราะอะไรถึงได้เข้าข้างฆ้องทองแดงคนหนึ่งเช่นนี้

แต่หลังจากคดีซังผอ เขาก็ยอมรับแล้วว่าสวี่ชีอันเป็นอัจฉริยะที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะจริงๆ

ตอนนี้เอง จางไคไท่ที่กำลังประหลาดใจก็เริ่มชื่นชมฆ้องทองแดงธรรมดาสามัญคนนี้แล้ว เขามักจะทำให้คนทึ่งได้เสมอ

ผ่านไปหนึ่งเค่อก็จัดกำลังคนและม้าเสร็จสรรพ รวบรวมเจ้าหน้าที่พลเรือนสี่สิบนาย ฆ้องทองแดงยี่สิบกว่านาย ฆ้องเงินหกนาย ติดอุปกรณ์พวกอาวุธปืนไฟ หน้าไม้ทหาร เชือกต่างๆ และทั้งหมดล้วนสวมชุดทหารเต็มยศ

กองกำลังส่วนใหญ่ถือคบเพลิงในมือแล้ววิ่งห้อตามหลังสวี่ชีอันไป เคลื่อนขบวนอย่างรวดเร็ว แสงไฟขยับไหว ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงจวนเป้าหมายแล้ว

หน้าจวนไม่ได้แขวนป้ายอักษร ประตูบานใหญ่สีแดงชาดปิดสนิท จางไคไท่โบกมือ สีหน้าเย็นชา แล้วออกคำสั่งอย่างรวบรัด “ล้อมไว้”

เหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือนถือคบเพลิงกระจายตัว

ฆ้องเงินผู้หนึ่งเดินขึ้นมา ชักดาบพกออกแล้วตะโกนเสียงดังพลางฟันดาบลงไป ทำลายประตูใหญ่สีแดงชาด

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลบุกทะลวงเข้าไป ทหารรับจ้างดาบพกกลุ่มหนึ่งร้องตะโกนแล้วพุ่งเข้ามาขวางไว้ สองฝ่ายเพิ่งจะเข้าปะทะกัน ฝ่ายนั้นก็ถูกพวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลฟันกระเด็น ไม่สนเป็นสนตาย

เรือนด้านในมีเสียงเครื่องดนตรีลอยมาแว่วๆ แต่ไม่นานก็เงียบลง ราวกับรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวที่เรือนหน้า ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ทั่วทั้งจวนก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา

สวี่ชีอันถือดาบ นำคนบุกอยู่ด้านหน้า เห็นทหารรับจ้างคุ้มกันเรือนก็ฟันไม่ยั้ง ยามลงดาบในหัวก็เห็นแต่ภาพความทรงจำของหญิงสาวผุดเข้ามาไม่หยุด

เป็นภาพของหญิงสาวเหล่านั้นที่ถูกข่มเหงและถูกทำร้าย

ตลอดทางมาจนถึงเรือนด้านใน โถงด้านหน้าที่อบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิมีแขกเหรื่อและอิสตรีรวมตัวกันอยู่สิบกว่าชีวิต พวกเขาสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย สีหน้าหวาดกลัว

“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล” บรรดาแขกหน้าถอดสี

สวี่ชีอันสะบัดดาบยาวสีดำทองจนเลือดแดงฉานสาดกระเซ็นเป็นรอยบนพื้น แล้วชี้ดาบไปยังทุกคนก่อนเอ่ยเสียงขรึม “จับกุมทั้งหมด ผู้ใดขัดขืนสังหารให้สิ้น”

ตะโกนเสร็จแล้วเขาก็ออกจากโถงใหญ่ พาฆ้องทองแดงสองสามนายถีบประตูห้องแต่ละห้อง แล้วจับพวกเขามารวมตัวกันในเรือน

“ไม่อนุญาตให้ใส่เสื้อผ้า ทั้งหมดกุมหัวแล้วนั่งลง”

เขาคุ้นเคยกับกระบวนการบุกค้นโรงแรมแล้ว สิ่งที่แตกต่างกันคือ แต่ก่อนนั้นเขายังเคยปฏิบัติกับพวกลูกค้าด้วยท่าทีสัพยอกแล้วถามว่า ‘แต่งงานหรือยังเนี่ย’

ทว่าตอนนี้มีแต่เพลิงโทสะกับจิตสังหารสุมอยู่เต็มอก

เทียบกับหอนางโลมแล้ว จวนส่วนตัวประเภทนี้จะซ่อนเร้นยิ่งกว่า สามารถปรึกษาหารือเรื่องต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย

อีกอย่าง แม้ว่าจะถูกข่มเหงจนตายก็จะมีคนมาจัดการเรื่องยุ่งยากให้ แต่ไม่อาจทำแบบนี้สตรีของสำนักสังคีตได้

ปฏิบัติการโจมตีเสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็ว ฆ้องทองคำจางยอมรับคำแนะนำของสวี่ชีอัน ให้บรรดาแขกเหรื่อกุมหัวนั่งยองๆ อยู่ในลาน อดทนต่อลมหนามยามต้นเดือนหนึ่ง

ทีแรกมีคนตะโกนร้อง “เสียชีพได้ แต่ไม่ยอมเสียศักดิ์” แต่หลังจากถูกจางไคไท่ฟันจนสิ้นลม ทุกคนก็เชื่อฟังกันหมด

ในระหว่างปฏิบัติการ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีอำนาจสังหารก่อนรายงานทีหลัง

“ใต้เท้าเฉา นั่นท่านเองหรือ…โอ้ ใต้เท้าหวังก็อยู่นี่…ใต้เท้าถังช่างเฉียบแหลมจริงๆ…” ฆ้องเงินผู้หนึ่งยิ้มเย็นพลางพูดคุยกับขุนนางที่รู้จัก

โถงด้านในอันอบอุ่นมีสตรีงดงามยี่สิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่ รวมถึงเด็กหนุ่มวัยละอ่อนด้วย

ต้าฟ่งโจมตีคัดค้านพฤติกรรมเลี้ยงดู ‘ชายบำเรอ’ แต่พ่อค้าและขุนนางที่ชื่นชอบชายบำเรอมีจำนวนไม่น้อยทีเดียว หอนางโลมมากมายจึงมักจะเลี้ยงดูชายบำเรอจำนวนหนึ่งไว้ แล้วแสร้งให้ทำตัวเป็นพนักงานเต่า[2] หลังจากที่แขกผู้ชื่นชอบงานอดิเรกเช่นนี้เดินเข้าประตูมา พวกเขาก็จะรับหน้าที่ไปหลับนอนด้วย

“ช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก” ฆ้องเงินนายหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจ

จางไคไท่กำลังจะสอบสวนเจ้าของจวน ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่แต่งกายแบบเศรษฐีร่ำรวย เขาก้มหัวอธิบายไม่หยุดหย่อน “ข้าน้อยมีความผิด ข้าน้อยสมควรตาย”

จางไคไท่เอ่ยถามเสียงขรึม “คนที่บงการเบื้องหลังเจ้าคือใคร”

“ข้าน้อยเพียงอยากสร้างสัมพันธ์กับขุนนางมีอำนาจในราชสำนักเท่านั้น ไม่มีผู้บงการเบื้องหลังขอรับ”

จางไคไท่ก็ไม่ถามต่อ เพียงแต่กำชับฆ้องเงินใต้บัญชาให้เฝ้าดูอย่างใกล้ชิด ไม่ให้เขาฆ่าตัวตาย รอให้เข้าคุกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเสียก่อน ก็สามารถง้างปากของคนหัวแข็งได้

สวี่ชีอันกล่าว “เรือนด้านหลังมีบ่อน้ำบ่อหนึ่ง ใช้ทิ้งศพหญิงสาวโดยเฉพาะ”

จางไคไท่จ้องชายวัยกลางคนเขม็ง

สวี่ชีอัน ฉู่ไฉ่เวย และจางไคไท่มายังเรือนหลัง ไปหาบ่อน้ำบ่อนั้น ใช้คบเพลิงส่องดู บ่อน้ำลึกเป็นสีดำ กลิ่นเหม็นอับชื้นจางๆ ลอยโชยขึ้นมา

หลังจากร่างเน่าเสียแล้ว กระดูกก็จะจมลงไป…คงต้องลงไปงมหาในบ่อ…มุมปากของสวี่ชีอันบิดเบี้ยว

ทันใดนั้น ฉู่ไฉ่เวยก็ร้อง “เอ๊ะ” เบาๆ นางเหลือบซ้ายมองขวาพักหนึ่ง ก่อนกระโจนขึ้นไปบนหลังคาแล้วมองลงมาทั่วทั้งเรือนหลัง

“อะไรหรือ” สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ เงยหน้าขึ้นถาม

“ในเรือนมีค่ายกลผนึกอยู่ ปราณอาฆาตในบ่อน้ำถูกผนึกไว้” ฉู่ไฉ่เวยกล่าว

ค่ายกลผนึก? เพราะอย่างนั้นผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจึงไม่พบสิ่งผิดปกติสินะ…สวี่ชีอันพยักหน้าทันที ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แปลกไป

“ค่ายกลไม่ใช่งานของโหรอย่างพวกเจ้าหรือ”

ขณะเดียวกัน ในใจของเขาก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมาหนึ่งอย่าง ในเมื่อมีความสามารถสร้างค่ายกลผนึกปราณอาฆาตได้ แล้วทำไมไม่กำจัดปราณอาฆาตไปเสียเลยล่ะ

เรื่องนี้ ฉู่ไฉ่เวยที่อยู่ในระดับเจ็ดก็สามารถทำได้แล้ว การวางฮวงจุ้ยทรงพลังเอาไว้ที่เรือนหลังสามารถกำจัดปัญหาที่ตามมาได้ผลชะงัด

“…เรื่องนั่น แสดงว่ามีโหรที่ฝึกด้วยตัวเองอยู่ด้วยไง” ฉู่ไฉ่เวยเม้มริมฝีปาก “หรือจะมีโหรคนไหนอยู่เบื้องหลังคดีเงินภาษีนะ”

ข้าพูดไม่ออกเลย เมื่อสวี่ชีอันเคลื่อนสายตากลับมามองที่ปากบ่อน้ำอีกครั้ง และมองเห็นจางไคไท่จดจ้องผนังบ่อน้ำพลางครุ่นคิดอยู่ พอเขามองตามสายตาไป ก็พบว่าที่ผนังบ่อน้ำมีอักขระมนตร์ซับซ้อนพิสดารสลักเอาไว้

“นี่เป็นฝีมือของสำนักพ่อมด น่าจะเป็นอักขระมนตร์บางอย่าง ผลของมันไม่อาจรู้ได้ ให้คนมาสลักคัดลอกเอาไว้ กลับไปค่อยไปค้นหาที่คลังเอกสาร” จางไคไท่อธิบาย

“อืม ตามข้อมูลที่ข้าได้มาจากการเข้าถึงจิตใจของวิญญาณอาฆาต ที่แห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักพ่อมดจริงๆ” สวี่ชีอันพูดพลางก่นด่าอยู่ในใจ

ข้าถูกเจ้าคนที่ชื่อธัมลาฮาอะไรนั่นคร่อมขี่อยู่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง หากได้เจอเมื่อไหร่ จะสั่งสอนให้รู้ว่าจะเป็นชายชาตรีทั้งแท่งต้องทำอย่างไร

ในตอนนี้เอง โถงหน้าก็มีเสียงวุ่นวายอึกทึกดังพร้อมกับเสียงกรีดร้อง

………………………………………..

[1] กระบี่เดียวหยดโลหิต ตัวละครในเก้ากระบี่เดียวดาย ยามฟันคนแล้วจะเป่าเลือดออกจากตัวกระบี่ให้สะอาด

[2] พนักงานที่รับหน้าที่แบกคณิกาไปยังห้องส่วนตัว ท่าทางตอนแบกดูหลังค่อมเหมือนเต่า จึงเรียกว่าพนักงานเต่า

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท