ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 167 บทสนทนาภายในพรรคฟ้าดิน

บทที่ 167 บทสนทนาภายในพรรคฟ้าดิน

บทที่ 167 บทสนทนาภายในพรรคฟ้าดิน
สวี่ชีอันขี่ม้า นายหน้าเฒ่าขับรถม้า ในรถม้ามีสวี่หลิงเยวี่ยและอาสะใภ้ พร้อมด้วยสวี่หลิงอินผู้ตื่นเต้นจนยื่นศีรษะออกมาจากหน้าต่างรถ

เพราะมีต้าหลางมาด้วย จึงไม่พาสาวใช้และพวกคนรับใช้มาด้วย คนเยอะเกะกะ

ระหว่างทาง สวี่ชีอันซื้อของกินให้สวี่หลิงเยวี่ยและสวี่หลิงอิน เขาเอ่ยกับหน้าต่างรถว่า “อาสะใภ้เอาไหม”

อาสะใภ้ปฏิเสธ

พอมาถึงบ้าน พวกนางก็ลงจากรถ สวี่ชีอันก็เหลือบเห็นอาสะใภ้เช็ดมุมปากของนาง

“ทำเลไม่เลว อยู่ไม่ไกลจากเขตเมือง ข้างๆ ยังมีแม่น้ำ…” อาสะใภ้ประเมินดูด้วยความพึงพอใจเป็นพิเศษ นางยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ขมวดคิ้วเอ่ย

“แต่ทำไมดูโทรมจัง”

จะไม่โทรมได้หรือ ก็นี่มันบ้านผีสิง…สวี่ชีอันพูดอยู่ในใจ ทำท่าทางให้นายหน้าเฒ่าเปิดประตู

อาสะใภ้พาเด็กสาวทั้งสองเข้าไปในบ้าน สิ่งที่เข้าสู่สายตาคือภาพความเงียบเหงาทรุดโทรม เห็นชัดว่าร้างมาหลายปี และไม่มีคนมาดูแล

นางขมวดคิ้ว “ที่นี่หรือ”

“บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มาหลายปีแล้ว แม้แต่คนเช่าก็ไม่มี หยาหังคิดว่าขายได้สี่พันตำลึงก็ขาย แต่เจ้าของบ้านเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม…”

สี่พันตำลึง? อาสะใภ้หรี่ตาลง เอ่ยถามอย่างเรียบเรื่อย “บ้านหลังนี้ราคาขายเท่าไหร่”

“ห้าพันตำลึงขอรับ” นายหน้าเฒ่าเอ่ย

อาสะใภ้ไม่พูดอะไร เริ่มพาพวกเด็กสาวชมตัวบ้าน เดินไปที่ไหนก็จับผิดที่นั่น นายหน้าเฒ่ามีประสบการณ์มากมาย ผิวหนาหน้าทน ไม่ยี่หระต่อลมเหนือใต้ออกตก

แต่เมื่อเห็นฮูหยินผู้งดงามมีเสน่ห์และสาวน้อยวัยสดใสไร้ที่ติเดินไปที่เรือนด้านใน นายหน้าเฒ่าก็ตกใจ รีบมองไปยังสวี่ชีอัน

“ไม่เป็นไร” สวี่ชีอันกล่าว

กลางวันแสกๆ น่าจะไม่เป็นไร…นายหน้าเฒ่ามองดูแผ่นหลังของฮูหยินคนงาม บั้นท้ายแกว่งไกวมีเอกลักษณ์นั่นดึงดูดเป็นพิเศษ

“ลูกค้าจะซื้อบ้านหลังนี้จริงหรือขอรับ”

“อืม”

‘ไม่กลัวตายจริงๆ’ นายหน้าเฒ่าทำดีที่สุดแล้ว เขาไม่โน้มน้าวอีก เอ่ยถามว่า “สองท่านนี้คือ…”

สวี่ชีอันพูดติดตลก “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”

คำพูดนี้ทำให้นายหน้าเฒ่าเงียบไป รู้สึกลำบากใจพักหนึ่ง ‘แม่กับน้องสาว? ไม่สิ ไม่เด็กขนาดนั้น อีกอย่างระหว่างพวกเขาก็ไม่มีท่าทางแบบมารดาเมตตาบุตรกตัญญูเลยแม้แต่นิด’

‘คู่สามีภรรยาวัยละอ่อน? อืม สาวน้อยคนนั้นอาจเป็นภรรยาของนายท่านผู้นี้ ส่วนฮูหยินคนงามก็คือแม่ยาย…แล้วสาวน้อยชุดกระโปรงเหลืองคนเมื่อวานล่ะ’

สายตาของนายหน้าเฒ่ายังคงเจนจัด แต่กลับใคร่ครวญถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายไม่ออก

“คนที่อายุเยอะนั่นคืออาสะใภ้ของข้า สองคนที่อายุน้อยคือญาติผู้น้องข้า” สวี่ชีอันพูดจบก็เห็นสีหน้าตกใจของนายหน้าเฒ่า เขาหัวเราะ “ทำไมหรือ”

นายหน้าเฒ่าส่ายหน้า ลอบเอ่ยในใจว่าไม่เคยเห็นใครซื้อบ้านแล้วพาญาติผู้น้องกับอาสะใภ้มาด้วยเลย

เพราะอาสะใภ้ย่อมเป็นภรรยาของอาไม่ก็ลุง เป็นคนในตระกูล ไม่ใช่คนในครอบครัว คนที่พาอาสะใภ้กับลูกพี่ลูกน้องมาดูบ้านด้วยกัน เขาไม่เคยพบเคยเห็น

แม้ว่าปากของอาสะใภ้จะโหดร้ายจัดจ้าน บอกว่าบ้านไม่มีอะไรดีสักอย่าง แต่ความจริงแล้วนางพอใจมาก เป็นบ้านหลังใหญ่สามทางเข้าเหมือนกัน แต่พื้นที่กว้างกว่าจวนสกุลสวี่ที่เมืองชั้นนอกไม่น้อย รูปแบบก็ไม่อาจเทียบกันได้เลย

รูปแบบของจวนสกุลสวี่เป็นบ้านแบบชาวบ้านธรรมดา ไม่เหมือนที่นี่ที่มีรสนิยมสูง ถ้าจะแยกความแตกต่าง ก็น่าจะเป็นบ้านในชนบทกับบ้านเดี่ยวมีระดับในเมืองนั่นแหละ

แม้จะบอกว่าเป็นบ้านเดี่ยวมีหลายชั้นเหมือนกัน แต่ความมีระดับแตกต่างกันลิบลับ

ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามก็เดินชมบ้านจนละเอียดทุกซอกทุกมุม อาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยต่างก็ตื่นเต้นมาก คนหลังยังแอบจองห้องของตนเอาไว้ด้วย

อาสะใภ้เอ่ยหยั่งเชิง “ทำเลนี้ข้าว่าคงไม่อาจซื้อได้ในราคาห้าพันตำลึงหรอกนะ”

ที่นางจับผิดก็เพื่อนำมาลดราคา หลังจากเดินทั่วแล้ว จู่ๆ ก็พบว่าราคาห้าพันตำลึงนั้นถูกเกินไป อาสะใภ้ผู้ชาญฉลาดจึงสังเกตเห็นความผิดปกติ

สวี่ชีอันชี้ไปที่ปากบ่อน้ำที่อยู่ไม่ไกล “มีผีอยู่ในบ่อน้ำ อืม มีผีจริงๆ ข้ากับแม่นางไฉ่เวยเคยตรวจสอบดูแล้ว”

เสียงร้องดังสองครั้ง สวี่หลิงเยวี่ยและอาสะใภ้ตกใจจนถอยไปอยู่หลังสวี่ชีอัน คนแรกจับชายเสื้อของพี่ใหญ่เอาไว้แน่นด้วยสองมือเล็กๆ

ผี?

สวี่หลิงอินก็กลัวมากเช่นกัน นางก้าวขาสั้นๆ วิ่งไปแอบอยู่ใต้หว่างขาของพี่ใหญ่ แล้วมองไปที่บ่อน้ำ ทางหนึ่งหวาดกลัว อีกทางกลืนน้ำลาย

ใบหน้างามล้ำของอาสะใภ้ซีดเผือดเล็กน้อย ไม่คิดจะอยู่ต่อแม้แต่เค่อเดียว “ไม่ซื้อแล้ว กลับ”

นางดึงลูกสาวแล้วเดินออกไปนอกบ้านอย่างเร่งรีบ เพราะเดินเร็วเกินไป ร่างกายจึงส่ายไหวไปมา

นายหน้าเฒ่าหน้านิ่วคิ้วขมวดมองสวี่ชีอัน “ท่านกำลังล้อข้าเล่นหรือ”

สวี่ชีอันโบกมือ “อย่าพูดไร้สาระ ไปจ่ายเงินมัดจำที่หยาหังเถอะ”

เขาไม่ได้บอกว่าตนได้แก้ปัญหาเรื่องผีสาวแล้ว เพราะกลัวหยาหังจะขึ้นราคา ก่อนที่โฉนดและที่ดินจะมาอยู่ในมือ ที่นี่ยังคงเป็นบ้านผีสิงอยู่

รถม้าหยุดอยู่ด้านนอกหยาหัง อาสะใภ้และน้องสาวทั้งสองนั่งอยู่ในรถ ได้ยินสวี่ชีอันบอกว่าจะไปจ่ายมัดจำ อาสะใภ้ก็โกรธมาก

“ข้าไม่อยู่หรอกนะ ให้เขาอยู่ในบ้านผีสิงนี่คนเดียวไปเถอะ เจ้าเด็กสารเลวนี่ไม่อยากให้พวกเราสามแม่ลูกไปเอาเปรียบน่ะสิ” อาสะใภ้พูดอย่างโมโห

“พี่ใหญ่ไม่ใช่คนแบบนั้น” สวี่หลิงเยวี่ยเขย่ามือมารดา

ขณะที่กำลังพูด สวี่ชีอันก็ออกมาพอดี เขากระโดดขึ้นไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับ เปิดม่านออกแล้วยื่นหัวเข้าไปครึ่งศีรษะ “ใกล้จะเที่ยงแล้ว เราไปกินข้าวที่ร้านกุ้ยเยว่กันเถอะ”

อาสะใภ้มองไปทางอื่น

สวี่ชีอันอธิบาย “ผีสาวในบ้านถูกจัดการแล้ว​ พวกท่านไม่เชื่อข้าก็ช่าง แต่จะไม่เชื่อโหรของสำนักโหราจารย์ด้วยหรือ”

สวี่หลิงเยวี่ยพยักหน้าอย่างน่ารักน่าชัง

อาสะใภ้ลังเลไม่แน่ใจ จ้องสวี่ชีอันเขม็ง “จริงหรือ”

“ข้าจะหลอกอาสะใภ้ไปทำไมเล่า”

ขับรถม้ามายังร้านกุ้ยเยว่ เขาเอ่ยขอที่นั่งพิเศษ จากนั้นสวี่ชีอันก็หยิบกระจกหยกออกมาแล้วใส่ข้อความลงไป ‘หมายเลขสอง ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจรกรรมในอวิ๋นโจว’

ส่งข้อความเสร็จแล้ว เขาก็วางกระจกคว่ำลงบนโต๊ะ ก้มหน้ากินอาหาร ผ่านไปพักหนึ่งข้อความก็แจ้งเตือนขึ้นมา

‘สอง: ใช่แล้ว ในระหว่างการปราบซ่องโจร ข้าพบว่าในแต่ละหมู่บ้านมีเสบียงอยู่ไม่น้อย ของพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่โจรภูเขาจะมีได้ ข้าจึงสงสัยว่าเบื้องหลังมีกลุ่มอิทธิพลคอยสนับสนุนอยู่’

สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย สิ่งที่เรียกว่าเสบียงก็คือสิ่งของที่ใช้ในการทหาร ซึ่งได้แก่พวกอุปกรณ์และอาวุธต่างๆ

หัวข้อนี้ดึงดูดความสนใจของหมายเลขสี่ ในฐานะที่เป็นอดีตข้าราชการของต้าฟ่ง เขาค่อนข้างให้ความสนใจกับสถานการณ์ของราชวงศ์ต้าฟ่งทีเดียว

‘สี่: ลองเริ่มจากราชการท้องถิ่นของอวิ๋นโจวสิ จริงด้วย ข้าจำได้ว่าอวิ๋นโจวมีอ๋องศักดินาอยู่นี่’

‘สอง: อ๋องสูงศักดิ์เป็นท่านอ๋องที่ไร้อำนาจแท้จริงเท่านั้น ข้าเคยตรวจสอบเขาแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร’

‘สาม: ตรวจสอบอย่างไร’

‘สอง: ส่งคนไปสังเกตการณ์จวนอ๋องไง’

…แบบนี้ก็เรียกว่าการตรวจสอบได้หรือ ชุ่ยเกินไปแล้ว สวี่ชีอันบ่นในใจ ส่งข้อความลงไป ‘ข้ารู้ตัวผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังการโจรกรรมในอวิ๋นโจวแล้ว’

“???”

ในหัวของหมายเลขสองและหมายเลขสี่มีเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาเป็นชุด

หมายเลขสามได้ข้อมูลอะไรอีกแล้ว ทำไมหมายเลขสามมักจะได้ข้อมูลมากมายขนาดนี้ตลอด ถ้าเป็นข้อมูลของเมืองหลวงก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็น ‘อาณาเขต’ ของเขา แต่อวิ๋นโจวไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียวนี่นา

‘ข้าตรวจสอบมาตั้งนานขนาดนั้นยังไม่ได้เบาะแส แล้วเขาจะรู้ตัวผู้สนับสนุนเบื้องหลังการโจรกรรมในอวิ๋นโจวได้อย่างไร…’ หมายเลขสองรู้ดีว่าหมายเลขสามเป็นคนอย่างไร คิดอยู่เสมอว่าหมายเลขสามคือบัณฑิตผู้มีคุณธรรมสูงส่ง เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ลังเล ส่งข้อความไปอย่างจริงจัง

‘สอง: เกิดอะไรขึ้น อืม หมายเลขสามเจ้าบอกข้อมูลวงในให้ข้า ข้าจะถือว่าติดหนี้บุญคุณเจ้าหนึ่งครั้ง’

‘สาม: อา ไม่จำเป็นหรอก ข้าชื่นชมในตัวท่าน ข้อมูลนี้ไม่ต้องเสียเงิน’

หากต้องทำการเจรจาตกลงในยามที่ความรู้สึกไม่ลึกซึ้ง ห้ามเห็นแก่ของฟรี ดังนั้นหลังจากที่รู้จักกันในครั้งแรก และคุ้นเคยครั้งที่สองแล้ว ก็ต้องพัฒนาความรู้สึก ลดข้อตกลงผลประโยชน์ระหว่างกันและกันบ้าง

การไม่คิดเงินนั้นคือราคาแพงที่สุด เพราะของที่นำมาใช้แทนข้อตกลงก็คือความรู้สึก พอความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันลึกซึ้งยิ่งขึ้น ‘ของฟรี’ ก็จะตามมา…ไม่สิ ระหว่างเพื่อนจะเรียกว่าของฟรีได้อย่างไร ต้องเรียกว่าช่วยเหลือกันและกันต่างหาก

ครั้งนี้หมายเลขสองได้ข้อมูลฟรีจากเขา พรุ่งนี้เขาอาจจะได้ของฟรีจากหมายเลขสองก็ได้

‘สาม: เป็นสำนักพ่อมดทางตะวันออกเฉียงเหนือ สำนักพ่อมดคือผู้ผลักดันเบื้องหลังเหตุโจรกรรมที่อวิ๋นโจว อืม ข้อมูลนี้ของข้าไม่ได้แน่ชัดนัก หมายเลขสองเจ้านำไปใช้อ้างอิงเถอะ’

แม้ว่าสำนักพ่อมดจะไม่ใช่ผู้สนับสนุนเบื้องหลังการโจรกรรมในอวิ๋นโจว แต่ก็ไม่อาจสลัดความเกี่ยวข้องพ้นได้แม้แต่น้อย การเปิดเผยเรื่องนี้ให้หมายเลขสองรู้นั้น ก็เป็นเพราะสวี่ชีอันคิดจะให้หมายเลขสองลองไปตรวจสอบดูตั้งแต่แรก

สำนักพ่อมดคือผู้ผลักดันเหตุโจรกรรมอวิ๋นโจวหรือ หมายเลขสองจดจ้องมองข้อมูลตัวอักษรในกระจกหยก เงียบไปนาน ‘เจ้ารู้ได้อย่างไร ได้มาจากช่องทางไหน อืม ข้าไม่ได้จะหยั่งเชิงอะไรเจ้านะ แต่อยากรู้ว่าข้อมูลนี้เป็นความจริงหรือไม่’

‘สาม: ไม่มีปัญหา เมื่อคืนหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพบฐานที่มั่นในเมืองหลวงของสำนักพ่อมด พวกเขามีการติดต่อกับเจ้ากรมโยธาอย่างใกล้ชิด…’

เขาเล่าเรื่องไปคร่าวๆ รอบหนึ่ง ไม่ได้ลงรายละเอียดนัก ถึงอย่างไรตัวตนของเขาก็คือศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ ไม่ใช่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ร่วมสืบคดี และเน้นประเด็นสำคัญว่าเจ้ากรมโยธาจัดหาของใช้ในการทหารอย่างพวกปืนใหญ่และอาวุธให้กับสำนักพ่อมด

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…หมายเลขสองกำหมัดแน่น ส่งข้อความไปว่า ‘ข้อมูลนี้สำคัญกับข้ามาก มันพิสูจน์การคาดเดาในอดีตของข้าได้เรื่องหนึ่ง ขอบคุณมาก จู่ๆ ข้าก็หงุดหงิดที่นักพรตเต๋าจินเหลียนไม่พาเจ้าเข้าพรรคฟ้าดินเร็วกว่านี้’

‘เก้า: คุยเรื่องงานก็ส่วนเรื่องงานสิ อย่าแทรกเรื่องส่วนตัว’

ผ่านไปพักหนึ่ง นักพรตเต๋าจินเหลียนก็ส่งข้อความ ‘เก้า: แต่ว่าการที่สำนักพ่อมดลอบสนับสนุนการโจรกรรมในอวิ๋นโจว ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากนี่นา’

‘สี่: ใช่ อวิ๋นโจวอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ อาณาเขตของสำนักพ่อมดอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ สองแห่งนี้ห่างกันหลายพันลี้’

ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรด้านการทหาร หรือค้าขายแลกเปลี่ยน ล้วนดูไม่เหมือนเรื่องจริงด้วยซ้ำ

ข้าก็สงสัยเช่นกัน… สวี่ชีอันส่งข้อความไป ‘หมายเลขสอง เจ้าลองตรวจสอบดูหน่อยได้หรือไม่ ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของเจ้าแล้ว จะต้องสืบพบความจริงได้แน่’

ตอนนี้เอง หมายเลขหนึ่งที่ชอบเฝ้าจอก็กระโจนออกมา ‘เรื่องเจ้ากรมโยธาทำให้ข้านึกถึงรายละเอียดอย่างหนึ่งในคดีซังผอเลย อดีตเจ้ากรมพิธีการให้นายกองโจวที่ทำหน้าที่ดูแลความสะดวกในพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษแอบฝังดินปืนไว้ในวัดหย่งเจิ้นซานเหอ แต่ใครเป็นคนจุดชนวนล่ะ’

‘สอง: ทหารรักษาวัง’

‘สาม: ไม่ใช่ทหารรักษาวัง ถ้าเป็นทหารรักษาวัง หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ต้องตรวจสอบพบนานแล้ว ผู้ที่ตรวจตราในคืนนั้นล้วนประสบภัยทั้งหมด ผู้ที่ไม่ได้ไปตรวจตราก็มีพยานบุคคลว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ…อีกอย่าง เจ้ากรมพิธีการก็เรียกใช้ทหารรักษาวังไม่ได้’

‘สอง: เพราะอะไร’

‘หนึ่ง: นี่เป็นความลับของราชสำนัก’

ความลับราชสำนักอะไรกัน ไม่ใช่เพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งให้โหรจากสำนักโหราจารย์มาค้นใจทหารรักษาวังเดือนละครั้งหรืออย่างไร…สวี่ชีอันแขวะในใจ

เขาใจสั่นขึ้นมา จู่ๆ เบาะแสบางอย่างก็เปิดออกทันใด เหมือนกับการทะลวงเส้นลมปราณได้สองเส้น ‘ที่หมายเลขหนึ่งพูดหมายความว่า คนของสำนักพ่อมดจุดชนวนดินระเบิดภายในวัดหย่งเจิ้นซานเหอหรือ’

‘หนึ่ง: อืม’

‘เก้า: ใช่คนกระดาษหรือไม่’

‘หนึ่ง: ท่านนักพรตมั่นใจเช่นนั้นหรือ’

‘เก้า: อา หุ่นเชิดคนกระดาษเป็นวิชาเต๋าที่สืบทอดต่อกันมา ข้ารู้แจ้งในข้อนี้ดี คนกระดาษมีความสามารถต่ำ แข็งแกร่งกว่ามดปลวกอยู่นิดหน่อย สามารถรอดพ้นจากสัมผัสรับรู้ของจอมยุทธ์ไปได้ การแทรกซึมเข้าไปในวัดหย่งเจิ้นซานเหออย่างไร้สุ้มเสียงไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่คนกระดาษสามารถใช้เป็นสื่อกลางจุดชนวนดินปืนได้’

‘หนึ่ง: ก็หมายความว่า ในคดีซังผอมีทั้งเผ่าปีศาจและสำนักพ่อมด เช่นนั้นพรรคฉีก็ต้องรู้เห็นเรื่องนี้ด้วยใช่หรือไม่’

‘สาม: ไม่สิ พรรคฉีกับสำนักพ่อมดมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันเท่านั้น ไม่ใช่หัวหน้าลูกน้อง สำนักพ่อมดไม่มีทางบอกทุกเรื่องกับพรรคฉีได้’

‘หนึ่ง: แต่มีเรื่องหนึ่งที่แน่ใจได้ สำนักพ่อมดกับเผ่าปีศาจมีความสัมพันธ์ต่อกัน’

เผ่าปีศาจทำลายซังผอก็เพื่อของที่ถูกผนึก แล้วเป้าหมายของสำนักพ่อมดคืออะไรล่ะ น่าจะไม่ใช่มือของหลวงจีนเสินซู ไม่อย่างนั้นก็จะขัดแย้งกันด้านผลประโยชน์แล้ว สองฝ่ายจะผิดใจกันแทน…สวี่ชีอันคิดพลางยื่นตะเกียบไปคีบผัก ผลกลับคีบได้แต่ความว่างเปล่า

อาหารที่เดิมก็ไม่ถือว่าเยอะเท่าไหร่ถูกสามแม่ลูกกินเกลี้ยงเสียแล้ว เสี่ยวโต้วติงกินจนหน้าแดง

“…นิสัยเหมือนฉู่ไฉ่เวยเลย” สวี่ชีอันร้องว่า แล้วตะโกนเรียกให้เสี่ยวเอ้อร์เพิ่มกับข้าว

กินข้าวเสร็จแล้วก็ออกจากร้านกุ้ยเยว่ อาสะใภ้และหลิงเยวี่ยเข้าไปในรถม้าก่อน สวี่หลิงอินเห็นฝั่งตรงข้ามมีคนขายน้ำตาลปั้น จึงดึงขากางเกงของพี่ใหญ่ไป อ้อนวอนขอร้องให้พี่ใหญ่ซื้อให้ตนอย่างน่าสงสาร

สวี่ชีอันพานางไปซื้อ ทำปากร้ายใจดี ร้องขู่ว่า “น้ำตาลปั้นแข็งเกินไป ระวังจะฟันจะหัก”

เสี่ยวโต้วติงเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการกิน นางเลิกคิ้วเล็กๆ ขึ้น “น้ำตาลพอเข้าปากก็อ่อนลงแล้ว เรื่องแค่นี้พี่ใหญ่ก็ไม่รู้หรือ”

………………………………

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท