ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 183 ตรวจค้นเรือโป๊ะ

บทที่ 183 ตรวจค้นเรือโป๊ะ

บทที่ 183 ตรวจค้นเรือโป๊ะ
แสงสีเลือดยืดยาวเป็นแพ…เจ้าหน้าที่บนเรือหลวงลำนั้นเป็นคนร้ายทั้งหมด…สวี่ชีอันตกตะลึง

แต่เขาไม่ได้บุ่มบ่ามคาดเดา เพราะในแม่น้ำมักจะมีโจรสลัดปรากฏตัวบ่อยๆ เจ้าหน้าที่พวกนี้ก็อาจเพิ่งโจมตีกองโจรที่พยายามขึ้นมาปล้นชิงก็ได้

“นั่นมันเรืออะไร ทำไมไม่เหมือนของพวกเรา” สวี่ชีอันมองดูเรือหลวงที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วเอ่ยถามสหายร่วมหน่วยที่อยู่ข้างๆ

ที่นี่มีฆ้องทองแดงคนเก่าคนแก่อยู่ไม่น้อย ล้วนมีความรู้กว้างขวาง หลังจากพิจารณาดูเขาก็ตอบกลับ “นั่นคือเรือโป๊ะ ดูที่ธงสิ เหมือนจะมาจากอวี่โจว”

เรือโป๊ะคือเรือท้องแบนขนาดใหญ่ ส่วนมากใช้เพื่อขนส่งสินค้า

สวี่ชีอันร้อง “อ้อ” ออกมา แววตาสาดเปล่งประกายเล็กน้อยแล้วถามต่อ “ใกล้ๆ อวี่โจวมีโจรสลัดไหม”

ซ่งถิงเฟิงหัวเราะเสียงเย็น “เหอะ” ขึ้นมา เขาวางแขนไว้บนบ่าของสวี่ชีอัน “ตรงนี้ห่างจากด่านตรวจของอวี่โจวแค่ระยะทางครึ่งวัน เจ้าเคยเห็นใครมาขวางทางดักปล้นอยู่หน้าประตูที่ทำการหรือเปล่าล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็หมดปัญหา” สวี่ชีอันพยักหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายแน่ใจเรื่องบางอย่าง

“หมดปัญหาอะไร”

“ทำผลงานได้โดยหมดปัญหาอย่างไรล่ะ” เขาเหลือบมองซ่งถิงเฟิง เห็นว่าเรือทั้งสองลำกำลังจะสวนกันแล้วก็รีบพูด “ถิงเฟิง รีบกลับไปบอกฆ้องทองคำเจียงทันทีว่ามีเหตุฉุกเฉิน”

จากนั้นเขาก็กวาดสายตาของฆ้องทองคำเจ็ดแปดคนบนดาดฟ้าเรือ ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “เรือลำนั้นมีปัญหา พวกเจ้าทำตามข้า”

พูดจบเขาก็ตะโกนเสียงดังไปทางเรือโป๊ะลำนั้น “หยุดเรือ!”

เสียงดังก้องสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ

เหล่าเจ้าหน้าที่บนเรือโป๊ะกลับไม่สนใจแม้แต่นิด แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แม้แต่คนพายเรือก็ยังปรับทิศทางเดินเรือเงียบๆ เรือโป๊ะเบนออกห่างจากเรือหลวงที่พวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่

ตอนนี้เองฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นความผิดปกติ พวกเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็เห็นสวี่ชีอันคว้าจับกราบเรือ ดาดฟ้าเรือที่อยู่ใต้เท้าปริแตกเสียงดัง ‘ตึง’ ทั้งตัวเขาพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่เสียแล้ว

ชั่วพริบตาก็เคลื่อนห่างไปไกลหลายสิบเมตร แล้วหยุดอยู่บนดาดฟ้าเรือของเรือโป๊ะอย่างมั่นคง

‘ตึง…’

เสียงกระทบดาดฟ้าเรือดังไม่ขาดสาย ฆ้องทองแดงเจ็ดแปดคนกระโดดขึ้นมาตามๆ กัน อาศัยพลังกระโดดที่เหนือชั้นและการปลุกเร้าพลังปราณกระโดดขึ้นไปบนเรือโป๊ะ

เมื่อเห็นกลุ่มฆ้องทองแดง ‘บุกรุก’ เรือโป๊ะ สีหน้าของเจ้าหน้าที่บนดาดฟ้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จับด้ามดาบที่หลังเอวเงียบๆ

“ใต้เท้าทั้งหลาย…” ชายฉกรรจ์ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องโดยสาร ตัวเขาสวมชุดเครื่องแบบราชการ สวมหมวกสูง และรองเท้ายาวสีดำคู่หนึ่ง

เขากวาดมองฆ้องทองแดงบนดาดฟ้าเรือแล้วคำนับ “มีเรื่องใดหรือขอรับ”

สวี่ชีอันไม่ได้พูดอะไร เพียงสังเกตดูสีหน้าและการกระทำเล็กน้อยของพวกเขาอย่างละเอียด จูกว่างเสี้ยวเอ่ยเสียงขรึม

“พวกเจ้าเป็นคนจากหน่วยงานใด”

“ข้าน้อยคือมือปราบคุ้มกันเรือจากสำนักงานขนส่งขอรับ คุ้มกันแร่เหล็กกองหนึ่งไปยังเมืองหลวง” ชายฉกรรจ์หน้าหนวดเอ่ยตอบ ชุดเครื่องแบบที่เขาสวมสลักลวดลายคลื่นน้ำ นั่นก็คือเครื่องแบบของสำนักงานขนส่ง

อวี่โจวมีแร่เหล็กมากมาย เกลือและเหล็กล้วนเป็นเส้นเลือดหลักของอาณาจักร พูดง่ายๆ มันก็คือทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์และเป็นส่วนสำคัญทางการเงินด้วย

เรื่องนี้พวกฆ้องทองแดงไม่แปลกใจนัก แต่พากันหันไปมองสวี่ชีอัน ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้หยุดเรือลำนี้ไว้

สวี่ชีอันหรี่ตา สังเกตเห็นรายละเอียดบางอย่าง จนถึงตอนนี้เรือโป๊ะลำนี้ก็ยังคงแล่นต่อไป ไม่ได้ทอดสมอ

“กว่างเสี้ยว ทำให้เรือหยุดหน่อย” สวี่ชีอันพูดเสียงขรึม

จูกว่างเสี้ยวไปที่ท้ายเรือทันที แล้วเตะสมอหนาหนักขนาดใหญ่ลงไปในน้ำ เรือโป๊ะจึงค่อยๆ หยุดลง

พอเพื่อนร่วมงานผู้เงียบเชียบไม่ชอบพูดจากลับมาแล้ว สวี่ชีอันก็ถามกลับ “ทำไมเมื่อครู่ไม่หยุดเรือ”

“เอ่อ…” ชายฉกรรจ์หน้าหนวดเผยสีหน้ายุ่งยากแล้วเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าทั้งหลาย ขอเวลาสักครู่”

เขากลับไปในห้องโดยสาร ผ่านไปพักหนึ่งก็นำตั๋วเงินหลายใบที่พับไว้ออกมา แล้วแอบยื่นให้พร้อมรอยยิ้ม

“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ ไม่ว่าอยู่ที่ใด ขอเพียงพบกับเหล่าใต้เท้าจากหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล ก็ต้องให้ความเคารพ…เมื่อครู่ข้าน้อยไม่รู้ความ คิดจะผ่านไปเฉยๆ สมควรตายยิ่งนัก ขอให้เหล่าใต้เท้าโปรดลงโทษด้วย”

สวี่ชีอันเหลือบมองดู ล้วนแต่เป็นตั๋วเงินราคาห้าสิบตำลึงทั้งนั้น ทั้งหมดรวมๆ แล้วก็ประมาณสามร้อยตำลึง

‘นี่เขาคิดว่าพวกเรามาหยุดเรือไว้เพราะจะเก็บสินบนหรือไง’ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ตรงนั้นมีปฏิกิริยาทันที ทั้งน่าโมโหและน่าขำ

แม้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะไม่ได้ใสสะอาดนัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดเอาเปรียบทุกโอกาสหรอกนะ แต่กิตติศัพท์ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ไม่ค่อยดีจริงๆ ต้องยกความดีความชอบให้พวกขุนนางบุ๋นที่สาดเทน้ำสกปรกใส่ทุกวี่ทุกวัน สร้างภาพว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นกรงเล็บเหยี่ยวของเว่ยเยวียน ที่ชอบทำร้ายคนดีซื่อสัตย์ มีพฤติกรรมชั่วร้ายชอบกินสินบาทคาดสินบน

สิ่งที่พวกปัญญาชนเชี่ยวชาญที่สุดก็คือใช้ปากกาแทงใจ

“หนิงเยี่ยน…” จูกว่างเสี้ยวขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองสวี่ชีอัน

ฆ้องทองแดงทุกคนซึ่งรวมถึงตัวเขาไม่เชื่อว่าสวี่ชีอันสกัดเรือโป๊ะเอาไว้เพื่อเงินทอง เจ้าหนุ่มที่ฟันฆ้องเงินเพื่อเด็กสาวที่ไม่รู้จักมักจี่คนนี้ชอบทำให้คนอื่นเกลียดขี้หน้าก็อีกเรื่อง แต่นิสัยของเขาควรค่าแก่การยกย่องจริงๆ

ชายฉกรรจ์หน้าหนวดเห็นว่าตั้งนานแล้วก็ไม่มีใครรับตั๋วเงินไป ในใจก็หนักอึ้ง เขาไม่คิดว่าการกระทำของตนมีปัญหา แต่เหมือนว่าเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะไม่ยอมรับ

“พาข้าไปดูในห้องโดยสาร” สวี่ชีอันก้าวขึ้นไปหลายก้าว จ้องชายฉกรรจ์หน้าหนวดเขม็ง

ตอนนี้เองสวี่ชีอันก็ยืนอยู่ด้านหน้าของฆ้องทองแดงทุกคน มือขวาของเขาไพล่หลังอย่างไม่ใส่ใจ แล้วทำสัญญาณมือออกมาอย่างรวดเร็ว

สัญญาณมือนั้นแนบเนียนและละเอียดอ่อนมาก แต่ฆ้องทองแดงที่อยู่ด้านหลังพลันหน้าตึงขึ้นมาเงียบๆ

เพราะสัญญาณมือนี้คือภาษามือเฉพาะของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล มีความหมายว่า ‘เตรียมลงมือ’

“พาข้าไปตรวจดูสักรอบสิ” สวี่ชีอันเสนอ

“ได้ขอรับ เชิญใต้เท้า” ชายฉกรรจ์หน้าหนวดรับปากทันที

…รับปากง่ายเกินไปแล้วมั้ง ตามปกติแล้วควรจะมีประโยคขัดขืนแบบว่า ‘เรื่องการขนส่งไม่ต้องให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมายุ่งหรอก’

อืม อาจเป็นเพราะเขาขี้ขลาดก็ได้ …สวี่ชีอันคิดพลางเดินนำเหล่าสหายร่วมหน่วยตามชายหน้าหนวดเข้าไปในห้องโดยสาร เดินลงบันไดแคบๆ มาจนถึงท้องเรือ

ชายฉกรรจ์จุดเทียนแต่ละเล่มแล้วนำเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปตรวจสอบหินแร่ที่บรรจุอยู่เต็มกล่องสินค้า

ฆ้องทองแดงคนหนึ่งหยิบหินแร่เหล็กเล็กๆ ขึ้นมาแล้วเอ่ยพึมพำ “ล้วนเป็นแร่เหล็กคุณภาพสูง ผ่านการคัดกรองแล้ว”

ชายฉกรรจ์หน้าหนวดหัวเราะน้อยๆ เป็นการตอบรับ

ฆ้องทองแดงผู้นั้นโยนแร่เหล็กกลับโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี แล้วใช้ฝักดาบสะกิดเอวของสวี่ชีอัน ก่อนขยิบตา

สวี่ชีอันหันไปเอ่ยกับทุกคนว่า “พวกเจ้าตรวจต่อไป”

แล้วเขากับฆ้องทองแดงคนนั้นเดินไปอีกทาง ก่อนกระซิบถาม “มีอะไรหรือ”

ฆ้องทองแดงกดเสียงเบา “หินแร่ขัดได้ละเอียดเกินไป คุณภาพยอดเยี่ยมเกินไป”

สวี่ชีอันไม่เข้าใจ “นี่เป็นของที่ส่งไปเมืองหลวง มีปัญหาอะไรหรือ”

ฆ้องทองแดงเหลือบมองกลุ่มคนที่อยู่ไม่ไกล แล้วถอนสายตากลับก่อนกระซิบบอก “หลายปีก่อนข้าเคยสืบสวนคดีทุจริตในกรมโยธาเกี่ยวกับแร่เหล็ก หินแร่คำนวณกันที่น้ำหนัก ไม่ใช่คุณภาพ เพื่อชิงผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง พวกขุนนางจะใส่กรวดเข้าไปในแร่เหล็ก หรือไม่ก็เพิ่มแร่เหล็กชั้นเลวลงไป ตราบใดที่ได้น้ำหนักถึงระดับหนึ่งแล้วก็ไม่มีปัญหา”

…ก็หมายความว่าคุณภาพของแร่เหล็กที่นี่ดีเกินไป…สวี่ชีอันพยักหน้า

หลังจากตรวจสอบก็ไม่พบความผิดปกติ ทุกคนกลับมายังห้องโดยสาร สวี่ชีอันก็เอ่ยข้อเรียกร้องขึ้นมา “เอาเอกสารทางการของพวกเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย”

ชายหน้าหนวดนำเอกสารราชการที่ลงนามสำนักงานขนส่งออกมาอย่างเชื่อฟัง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด สวี่ชีอันก็พูดว่า “ระหว่างทางไม่เจอเรื่องผิดปกติเลยหรือ”

“จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ เพิ่งจะออกจากอวี่โจวนี่เอง” ชายฉกรรจ์หน้าหนวดเอ่ยตอบ

อา ถ้าอย่างนั้นเจ้าอธิบายแสงสีเขียวบนหัวเจ้าหน่อยสิ…อ้อ ไม่ใช่สิ อธิบายมาว่าแสงสีเลือดหมายความว่าอะไร

สวี่ชีอันเดินไปพลางตรวจสอบดูห้องโดยสาร ชายฉกรรจ์หน้าหนวดติดตามมาตลอดทาง มีคำถามก็ตอบทันที ท่าทีดีอย่างน่าประหลาด

จนกระทั่งถึงห้องห้องครัว พ่อครัวสี่คนนั่งอยู่บนแท่นไม้เล็กๆ มองดูพวกสวี่ชีอันอย่างเงียบสงบ

ในตะกร้าของห้องครัวมีผักผลไม้ตามฤดูกาลอยู่มากมาย ดูสดใหม่เป็นพิเศษ

สวี่ชีอันเอ่ยยิ้มๆ “มองเห็นผักแล้วตาข้าก็เปล่งแสงสีเขียวออกมาเลย กินปลาบนเรือมาหลายวัน ทั้งคาวทั้งกินยาก”

เขากวาดมองพ่อครัวทั้งสี่คนแล้วเอ่ยว่า “ใช่ไหมล่ะ”

พ่อครัวคนหนึ่งชำเลืองมองชายฉกรรจ์หน้าหนวด สายตาประสานกัน เข้าใจในทันที จึงเผยรอยยิ้มอ่อนน้อมออกมา “ใช่ขอรับ ปลาในแม่น้ำมีกลิ่นคาวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ใต้เท้านั้นสูงส่ง ปรับตัวไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในน้ำมาทั้งปีอย่างพวกเราชินแล้วล่ะขอรับ”

“โอ้ เจ้าไม่รู้วิธีกำจัดกลิ่นคาวปลาหรือ” สวี่ชีอันพยักหน้าแฝงรอยยิ้ม

‘หือ’ พ่อครัวทั้งสี่คนรู้สึกแปลกๆ จากรอยยิ้มแฝงความหมายของสวี่ชีอัน

ชายฉกรรจ์หน้าหนวดก็เช่นกัน เขาลองถาม “ใต้เท้า…”

เขายังไม่ทันได้พูด ก็ถูกฆ้องทองแดงผู้นี้เสยเข้าที่คางจากล่างขึ้นบน กรามชนกรามจนฟันหลุดออกมา

จากนั้น ฆ้องทองแดงผู้นั้นก็ชกหน้าอกเขาสองหมัดอย่างรวดเร็วเสียงดัง ‘ผลัวะ’ …พลังปราณทะลุผ่านด้านหลังจนชุดเครื่องแบบฉีกขาด

ชายฉกรรจ์หน้าหนวดถูกชกจนกระเด็นไปกระแทกกับผนัง แล้วร่วงลงกับพื้นอย่างปวกเปียก

สวี่ชีอันที่ลงมือกะทันหันไม่สนใจเขาอีกต่อไป หันกลับไปกวาดขาจนกระดูกของพ่อครัวคนหนึ่งหัก จากนั้นก็หักกระดูกซี่โครงของพ่อครัวอีกสามคนที่เหลืออย่างรวดเร็วด้วยพลังของจอมยุทธ์

ทั้งกระบวนท่านี้ใช้เวลาไม่ถึงห้าวินาที

แม้จะเป็นเช่นนี้ การต่อสู้ภายในห้องครัวก็ยังดึงดูดความสนใจจากทั้งสองฝ่ายที่อยู่ด้านนอก

สวี่ชีอันตะโกนบอก “จับเป็นทุกคนบนเรือไว้”

เหล่าฆ้องทองแดงที่ได้รับได้สัญญาณมือเตือนสติตั้งแต่แรกมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว พวกเขาลงมือโดยไม่ลังเล จัดการล้มคนงานในเรือและเจ้าหน้าที่ทุกคน

สำหรับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มีระดับหลอมปราณแต่ละคนแล้ว การปราบเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งซึ่งมีฝีมือพอไปวัดไปวาได้นั้นไม่ยากไปกว่าสวี่ชีอันเอาชนะสวี่หลิงอินเลย

ตอนนี้เองสวี่ชีอันก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณแข็งแกร่งลงมาจอดอยู่ที่ดาดฟ้า เพื่อป้องกันไม่ให้ชายหน้าหนวดกระโดดน้ำหนี เขาจึงลากออกจากห้องโดยสารไปที่ดาดฟ้าเรือด้วย

เจียงลวี่จงขมวดคิ้ว มองเขาเงียบงันไม่พูดจา

สวี่ชีอันหันไปมองเรือหลวงของตน พบว่าผู้ตรวจการจางก็ตื่นตกใจเช่นกัน เขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือมองมาทางนี้ สีหน้าเคร่งขรึม

เรือโป๊ะลำนี้เป็นเรือหลวงเหมือนกัน สังกัดหน่วยงานราชการของอวี่โจว การกระทำครั้งนี้ของสวี่ชีอันไม่ต่างอะไรกับโจรสลัดเลย ถ้าไม่มีเหตุผลอันควร เรื่องนี้ก็จัดการได้ยากแล้ว

“เจ้าทำอะไร” เจียงลวี่จงส่งสายตาตั้งคำถาม เหลือบดูชายหน้าหนวดในมือของสวี่ชีอัน

มองปราดเดียวเขาก็รู้แล้วว่านั่นคือเครื่องแบบของสำนักงานขนส่ง

“เรือลำนี้มีปัญหา แต่รายละเอียดคืออะไรนั้นยังยากจะพูดขอรับ” สวี่ชีอันอธิบาย

“นี่คือเรือโป๊ะของสำนักงานขนส่งอวี่โจวที่ขนส่งแร่เหล็กหรือ” เจียงลวี่จงถาม

“อืม…”

เจียงลวี่จงพยักหน้า เอ่ยเสียงขรึม “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันมีปัญหา”

……………………………………..

นิยายเรื่องนี้เข้าร่วมโปรโมชั่น

อัปเพิ่มต่อ +1

เพิ่มตอนจากปกติ เวลา 16.00 น. ตลอดช่วงแคมเปญ

17-30 มิ.ย. 65 เท่านั้น!

ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

Ink Stone

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท