บทที่ 200-2 ยั่วยวน ‘สอง: ยังมีอีกหรือไม่’
รออยู่นานก็ไม่มีใครพูด กระทั่งสวี่ชีอันคิดว่าเพื่อนในกลุ่มไม่ได้ความทั้งหลายออฟไลน์กันแล้ว หมายเลขห้าก็ส่งข้อความมา
‘เอ่อ คือ หมายเลขสาม ที่เจ้าบอกว่าจะห่อส่งไปให้องค์หญิงของต้าฟ่งกับราชครู ยังนับอยู่ไหม’
“???” สวี่ชีอันจ้องมองดูข้อความนี้ เขานิ่งงันอยู่นาน ลอบกล่าวในใจว่า ต้องไม่นับสิ ขนาดคำพูดเรื่อยเปื่อยเจ้าก็ยังแยกแยะไม่ออกหรือ
‘สาม: เอ่อ รอให้ข้ากลายเป็นยอดฝีมือขั้นหนึ่งแล้วค่อยว่ากัน’
‘ห้า: ฮึ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ามันคนขี้โกหก ช่วงนี้พี่ใหญ่ของข้าเอาแต่กวนข้าได้ทุกวัน ถามหาข้อมูลขององค์หญิงจากต้าฟ่งไม่พอ ยังจะมาถามอีกว่าองค์หญิงกับราชครูใครสวยกว่ากัน’
ในเมื่อหัวข้อเป็นเรื่องนี้ สวี่ชีอันก็ยินดีจะพูดคุยกับนางสักหน่อย จึงส่งข้อความไปว่า
‘องค์หญิงของต้าฟ่งมีอยู่ทั้งหมดสี่พระองค์ องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งและองค์หญิงรองหลินอันนั้นมีรูปโฉมงดงามที่สุด ส่วนราชครูนั้น…ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก เคยได้ยินชื่อเสียงแต่ยังไม่เคยพบเจอ’
หลังจากเขาพิจารณาดูก็คิดว่า นักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่คงไม่มีโอกาสพบเจอราชครูลั่วอวี้เหิงกระมัง
‘สี่: ราชครูงดงามอยู่แล้วสิ ข้าว่างดงามยิ่งกว่าองค์หญิงทั้งสองเสียอีก บุรุษคนใดได้พบพานท่านราชครู เป็นต้องลุ่มหลงอยู่ในความงามของนางทั้งนั้น’
‘ห้า: อ้อๆ ราชครูแห่งต้าฟ่งของพวกเจ้าเป็นนางจิ้งจอก’
‘สี่: ไร้สาระ!’
‘ห้า: เป็นนางจิ้งจอก’
‘สี่: …ก็ถือว่ามีเหตุผลพอสมควร แต่นี่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากท่านราชครู มันเป็นความลับของนิกายมนุษย์ ข้าไม่สะดวกจะบอกมากกว่านี้’
‘สอง: เฮอะ มีอะไรที่บอกไม่ได้เล่า นิกายมนุษย์ก็ตามชื่อ สายการฝึกตนนี้สัมพันธ์กับโชคลางของมนุษย์อย่างมาก เมื่อฝึกจนถึงระดับหนึ่งก็จะถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนายึดครอง ดังนั้นลั่วอวี้เหิงจึงปลุกความปรารถนาของบุรุษได้โดยปริยาย
‘เดิมทีผู้นำเต๋านิกายมนุษย์คนก่อนมีโอกาสที่ก้าวสู่ขั้นที่หนึ่ง เขาได้ย้ายอารามรัตนะมายังเมืองหลวง และคิดจะใช้โชคลางของมนุษย์เพื่อให้ตนสำเร็จถึงขั้นหนึ่ง แต่ท่านโหราจารย์ไม่เห็นด้วย ดังนั้นจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่อาจผ่านด่านไปได้
‘พอถึงคราวของลั่วอวี้เหิงที่เป็นลูกสาวของเขา ก็โชคดีที่จักรพรรดิหยวนจิ่งหมกมุ่นกับการฝึกเต๋า ทั้งยังเป็นถึงโอรสสวรรค์อีก ขอแค่บำเพ็ญคู่กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง เมื่อเวลาผ่านไป การจะทะลวงสู่ขั้นหนึ่งของนางก็ไม่ใช่เรื่องยาก’
‘สาม: แต่ข้าจำได้ว่านักพรตเต๋าจินเหลียนเคยกล่าวไว้ว่าลั่วอวี้เหิงไม่ได้บำเพ็ญคู่กับจักรพรรดิหยวนจิ่งนี่’
สวี่ชีอันอดใจไม่ได้ที่จะแท็ก @นักพรตเต๋าจินเหลียน เพื่อให้เขาโผล่หน้าออกมายืนยันว่าลั่วอวี้เหิงยังพรหมจรรย์อยู่
นักพรตเต๋าจินเหลียนอาจจะไปจับหนูกินกลางดึกแล้วแน่ๆ ถึงได้ไม่ตอบเขา แต่กลับเป็นหมายเลขสี่เองที่เข้ามาอธิบาย ‘ใช่แล้ว ราชครูยังไม่เคยบำเพ็ญคู่กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง ส่วนเหตุผลนั้นยังไม่รู้’
สมัยก่อนหมายเลขสี่เป็นขุนนาง เขามีมิตรภาพอันดีกับราชครู จึงไม่แปลกที่จะรู้เรื่องนี้ แต่หมายเลขสองรู้ชัดเจนขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
สวี่ชีอันลังเลอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไปในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี
เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับตัวตนของหมายเลขสอง และมันก็เป็นคำถามที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อจิตใจของสมาชิกพรรคฟ้าดิน หมายเลขสองอาจจะไม่ตอบก็ได้
ถึงจะตอบ ก็ไม่แน่ว่าอาจต้องการของตอบแทนที่มีค่าเท่ากันจากเขา
ตอนนี้ตัวเขาอยู่ที่อวิ๋นโจว จึงต้องเกี่ยวข้องกับหมายเลขสองเพราะคดีของหยางชวนหนานอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้น เขาค่อยลองเลียบเคียงถามดูก็ได้
ไม่จำเป็นต้อง ‘เสียเงิน’ โดยใช่เหตุ
สวี่ชีอันครุ่นคิด รู้สึกว่าตนควรจะพูดอะไรบางอย่างจึงส่งข้อความไป ‘ด้วยความฉลาดมีไหวพริบของสวี่ชีอันผู้นี้ แม้จะเพิ่งไปถึงอวิ๋นโจว แต่เกรงว่าคงเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้างแล้วล่ะ หมายเลขสอง ถ้าหากเจ้าจะใช้ความงามล่อลวงก็รีบหน่อย’
นี่เป็นการเตือนด้วยความเป็นห่วงจากคนในกลุ่ม ไม่ใช่ว่าสวี่ชีอันหลงใหลในความงามหรอกนะ
หมายเลขสองไม่ตอบเขา
จากนั้นกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีใครส่งข้อความต่อ
สวี่ชีอันเก็บกระจกหยก แล้วฝึกลมหายใจตระหนักรู้เพื่อบ่มเพาะจิตใจ พักเรื่องไขรหัสลับที่โจวหมินทิ้งไว้ไปก่อน
เช้าวันต่อมา ผู้ตรวจการจางนำเจียงลวี่จงและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มหนึ่งออกจากโรงพักม้าเพื่อไปตรวจดูความเป็นอยู่ของประชาชนในอวิ๋นโจว บางทีอาจจะไปเดินสำรวจแถบชายแดนด้วยก็ได้ ซึ่งสมุหเทศาภิบาลซ่งก็พาคณะติดตามไปด้วย
เมื่อนึกถึงขอบตาดำคล้ำที่ปกปิดไม่อยู่ของสวี่ชีอันและความเหนื่อยล้าที่พวยพุ่งออกมาจากดวงตาเขา ผู้ตรวจการจางจึงใจดีให้เขาพักผ่อนอยู่ที่โรงพักม้า แต่ต้องไม่ลืมไขเบาะแสที่โจวหมินทิ้งไว้ด้วย
แม้ว่าการถูกเห็นเป็นเครื่องมือมนุษย์จะไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่ แต่ให้อยู่ที่โรงพักม้าก็เข้าทางข้าพอดี…พอคนคนหนึ่งเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดก็เกลียดการออกไปข้างนอกอย่างยิ่ง…แต่เหตุใดพลังจิตวิญญาณของข้าถึงไม่บรรลุขีดจำกัดสักที ข้าอยากนอนแล้วนะ…
เมื่อกินอาหารเช้า สวี่ชีอันก็นวดที่หว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า
นอกจากเขา ก็ยังมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเหลืออยู่ไม่ถึงห้าคน ส่วนกองทหารพยัคฆ์ทะยานเหลืออยู่สามสิบคน
ซ่งถิงเฟิงเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมหาวหวอดๆ เขาไม่ได้สวมฆ้องทองแดงและไม่ได้แขวนดาบยาวมาตรฐาน เขามองไปรอบๆ “ทำไมวันนี้เงียบจัง คนอื่นล่ะ”
สวี่ชีอันกินต้มยำวุ้นเส้นที่อยู่ในชาม ไม่แม้แต่จะโงหัวขึ้นมา “ใต้เท้าผู้ตรวจการไปสังเกตการณ์ความเป็นอยู่ประชาชน คนอื่นๆ ก็ตามไปด้วย”
ซ่งถิงเฟิงดวงตาสว่างไสว “ข้ามีความคิดดีๆ อย่างหนึ่ง…”
สวี่ชีอันรีบขัดทันที “เก็บความคิดพิเรนทร์ของเจ้ากลับไปเลย เพราะใต้เท้าผู้ตรวจการมีกฎเข้มงวดยิ่ง”
“น่าเบื่อ!” ซ่งถิงเฟิงนั่งลงที่โต๊ะ สั่งให้ทหารประจำจุดพักม้ายกข้าวเช้ามาแล้วเอ่ยทอดถอนใจ
“จะว่าไป พวกเราไม่ได้สัมผัสนารีมาห้าวันแล้วนะ”
“นั่นมันเจ้า ข้าไม่ได้สัมผัสสตรีมาสิบแปดวันแล้ว…ยังรู้สึกหิวอยู่นิดหน่อยเลย” สวี่ชีอันก็ถอนหายใจตาม
“หิวก็กินสิ” ซ่งถิงเฟิงมองไปที่วุ้นเส้นมันเยิ้ม
เหล่าซ่งก็ยังตามมุกไม่ทันอยู่ดี…สวี่ชีอันไม่สนใจเขา สนใจเพียงเติมเต็มท้องให้อิ่ม ผ่านไปไม่เท่าไหร่ จูกว่างเสี้ยวก็ลงมาจากชั้นบน
“กว่างเสี้ยว อีกสักพักไปสำนักสังคีตกันเถอะ” ซ่งถิงเฟิงชักชวนเพื่อนร่วมงาน
“พอแล้วๆ…อย่ามาล่อลวงข้าเหมือนพวกเมียน้อยเลย จะไปเที่ยวในเมืองก็ไป แต่ห้ามไปสำนักสังคีต กฎต้องเป็นกฎ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วมีวิธีแหกกฎหรือไม่” ซ่งถิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงล้อเล่น
“มีสิ” สวี่ชีอันเหลือบมองเขา “ข้าแนะนำให้เจ้าลาออก”
การลาออกเป็นการกระทำเมื่อชาติก่อนของเขา แต่ตอนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ เขาเป็นคนที่รักษาวินัยอย่างมาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ลาออกเพราะประโยคเดียวจากบันทึกประจำวันของจี้เซี่ยนหลินหรอก…
เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ ทั้งสามก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วออกจากโรงพักม้า
….
“เห็นหรือยัง นั่นก็คือเจ้าคนที่สำมะเลเทเมาคนนั้น ภารกิจของเจ้าก็คือยั่วยวนเขา”
โรงน้ำชาแห่งหนึ่งบนถนน หลี่เมี่ยวเจินก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองเพื่อไม่ให้สะดุดตา นางยืนอยู่ข้างหน้าต่างห้องส่วนตัวบนชั้นสองแล้วมองไปยังคนสามคนที่เดินเล่นสบายใจอยู่ไม่ไกล
ข้างกายของนางมีหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่สวมชุดกระโปรงประณีต ผ้าไหมทอสีครามเหมือนสีน้ำตก และสวมเครื่องประดับงดงามล้ำเลิศ
สตรีผู้นี้มีใบหน้าสวยงามอ่อนหวาน ผิวเนียนนุ่มละเอียดอ่อน ดวงตากลมใสเหมือนไข่มุกดำ ริมฝีปากน้อยๆ อวบอิ่มเป็นสีแดงชุ่มฉ่ำ
เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น สง่างามเหลือแสน
“หลังจากยั่วยวนเขาแล้วล่ะเจ้าคะ” หญิงงามปิดปากหัวเราะแผ่วเบา จดจ้องไปยัง ‘ตัวฆ่าเวลา’ ราวกับกำลังพินิจดูเหยื่อ
“เข้าใกล้เขา ติดตามทุกการเคลื่อนไหวของเขา แล้วเลียบเคียงถามถึงสิ่งที่เขาสืบได้มา” หลี่เมี่ยวเจินพูดจบก็กล่าวเตือน “แต่อย่าดูดกลืนพลังจิตของเขาล่ะ ร่างกายของคนผู้นี้ดูจะขาดสมดุลอย่างรุนแรง ทนให้เจ้าครอบงำไม่ไหวหรอก”
ส่วนที่ว่าร่างจริงของปีศาจสาวจะถูกเปิดเผยหรือไม่นั้น ทั้งคู่ไม่เป็นห่วง ทหารแข็งกระด้างไม่มีความสามารถในการควบคุมผีสาง และไม่มีความรู้สึกไวต่อปราณหยินด้วย ครั้งนั้นที่สามารถยั่วยวนทหารระดับหลอมวิญญาณอย่างโจวชื่อสวงให้ลงจากเขาได้ เขาก็ยังมองร่างปีศาจสาวไม่ออก
ขอแค่อย่าเผยความเป็นอริออกมา อย่างไรก็ไม่มีทางกระตุ้นจิตสัมผัสของทหารระดับหลอมวิญญาณได้แน่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกเผยร่างจริง
“นายท่าน เช่นนั้นบ่าวไปก่อนล่ะ!” ปีศาจสาวยิ้มพรายแล้วเดินบิดสะโพกจากไป
…………………………….