บทที่ 198 คำถามของหมายเลขสอง
ในยุคสมัยนี้ วิธีการทำผีผาไร้เมล็ดนั้นเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาลับทีเดียว
แต่สำหรับสวี่ชีอันที่ได้รับการเรียนการสอนเรื่องชีววิทยามาเป็นอย่างดี นี่จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาเท่านั้น เขาถึงขนาดรู้ด้วยว่าต้นไม้ที่น่าสงสารนั้นต้องการสืบเชื้อสายต่อไป มันจึงเชิญผึ้งข้างบ้านมาช่วยสืบพันธุ์
ทุกคนในที่นั้นพลันเงียบงันแข็งทื่อ คำพูดของสวี่ชีอันทำให้ขุนนางทั้งหมดตั้งตัวไม่ทัน รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้จักวิธีการเพาะผีผาไร้เมล็ด ช่างทำให้คนตบโต๊ะชมเปาะได้เสียจริง
ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกฆ้องทองแดงผู้ต่ำต้อยทำให้หมดคำพูด
หลี่เมี่ยวเจินเบิกตาคู่งามแล้วเริ่มพิจารณาฆ้องทองแดงเล็กๆ คนนี้อีกครั้ง นางรู้สึกว่าตนอาจเดาผิด บางทีฆ้องทองแดงคนนี้อาจจะเป็นพวกบ้ากามที่มีสุราเต็มท้อง แต่เขาไม่ใช่พวกขี้เมาหยำเปและจะต้องมีความสามารถอยู่บ้างแน่นอน
‘…ถูกผู้ตรวจการจางจัดให้มานั่งที่โต๊ะเจ้าภาพได้ ดูแล้วคงจะเก่งพอตัว’ หลี่เมี่ยวเจินเก็บงำความดูถูกของตน ตระหนักได้ทันทีว่าตนประเมินเขาต่ำเกินไป
ฆ้องเงินและฆ้องทองแดงที่เหลือถูกจัดไว้ที่โต๊ะตัวอื่น แล้วเหตุใดเจ้าคนผู้นี้ถึงสามารถนั่งอยู่ข้างกายผู้ตรวจการจางได้
ใช้คำว่า ‘เก่งพอตัว’ เฉยๆ มาอธิบายไม่ได้เลย เช่นนั้นฆ้องเงินกับฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ไม่ใช่อัจฉริยะหรืออย่างไร
‘ฮ่า ยกหินขึ้นมาแต่หินกลับทับขาตัวเอง’ หลี่เมี่ยวเจินยิ้มเย็นอย่างยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น นางมีความสุขยิ่งที่เห็นสมุหเทศาภิบาลซ่งต้องขายหน้า
แม้ว่าสมุหเทศาภิบาลซ่งจะฝึกฝนศาสตร์แห่ง ‘แวดวงขุนนาง’ มาจนเชี่ยวชาญแล้ว แต่ความอับอายในใจก็ยังพลุ่งพล่าน คำพูดอวดอ้างทั้งหลายเมื่อครู่ ทั้งพรจากไป๋ตี้ และทั้งผลจากควันธูป สุดท้ายล้วนถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้ตรวจการจางและทุกคน
“หนิงเยี่ยน เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ เดี๋ยวสมุหเทศาภิบาลซ่งก็อธิบายให้ข้าฟังเอง เจ้าจะสอดปากเพื่อการใด” ผู้ตรวจการจางเอ่ยตำหนิ
เผินๆ เขาเหมือนจะตำหนิสวี่ชีอัน แต่ความจริงแอบเสียดสีสมุหเทศาภิบาลซ่งด้วยคำพูดแบบน้ำผึ้งอาบยาพิษ
“…ไม่ทราบว่าใต้เท้าท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือขอรับ” เพราะใต้เท้าผู้ตรวจการเข้ามาขัดจังหวะ ในที่สุดใต้เท้าสมุหเทศาภิบาลก็ฟื้นคืนสติกลับมาได้และเอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสี
“ข้าน้อยแซ่สวี่ นามชีอัน ชื่อรองหนิงเยี่ยนขอรับ” สวี่ชีอันตอบ
“เจ้านี่มีพรสวรรค์มากเลยนะ” ผู้ตรวจการจางลูบหนวดเครา หัวเราะหึๆ แล้วยกยอสวี่ชีอัน
อย่างที่คิด ขุนนางทุกคนเบนสายตาไปมองที่เขาอีกครั้งแล้วพิจารณาถึงฐานะและตำแหน่งในคณะผู้ตรวจการของฆ้องทองแดงผู้นี้
‘ที่แท้เขาก็ชื่อสวี่ชีอัน…เอ ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก’ หลี่เมี่ยวเจินครุ่นคิดว่าสวี่ชีอันคือใคร นางจำได้ว่าหมายเลขสามเคยพูดถึงคนผู้นี้มาก่อน ทั้งยังยกย่องชื่นชมอีกด้วย
‘เขานั่นเอง…ได้รับความสำคัญจากหมายเลขสาม ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ’
สมุหเทศาภิบาลซ่งกำจัดความกระอักกระอ่วนได้แล้ว เขาก็แนะนำพื้นเพความเป็นอยู่ของคนในอวิ๋นโจวไปเรื่อยเปื่อย และปิดปากไม่พูดถึงเรื่องผีผาอีก เป็นการพิสูจน์ว่าเขายังคงขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย
เมื่อผู้ตรวจการจางกินดื่มจนเย็นย่ำ งานเลี้ยงตอนเย็นก็จบลงโดยปราศจากอาการเมามายและไม่มีข้อเสนอไร้หัวคิดว่าให้ไปหาความสำราญต่อที่สำนักสังคีต มิเช่นนั้นซ่งถิงเฟิงคงดีใจจนเนื้อเต้นทีเดียว
งานเลี้ยงยามเย็นประเภทนี้แต่กลับไม่มีพฤติกรรมสำมะเลเทเมา ราวกับว่าเหล่าขุนนางข้าราชสำนักทั้งหลายแทบจะไม่เคยไปสำนักสังคีตอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อคนคนหนึ่งมีตำแหน่งขึ้นมา สถานะก็จะบังคับให้ต้องเห็นแก่ภาพลักษณ์ของตัวเอง แม้ว่าจะเป็นคนละโมบโลภมาก แต่ภาพลักษณ์ที่แสดงออกมาต้องเป็นคนเที่ยงตรงมีคุณธรรม
ตัวอย่างเช่นสวี่ชีอัน ตอนนี้เขายังสามารถกินฟรีได้เท่าที่ต้องการเพราะยังหนุ่มยังแน่น สถานะค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อใดที่วันหนึ่งเขามีตำแหน่งสูงขึ้นและมากอำนาจ เขาก็ต้องจ่ายเงิน…
เมื่อออกจากจวน ผู้ตรวจการจางและขุนนางทั้งหลายก็เอ่ยร่ำลากันด้านนอก จากนั้นก็ขึ้นรถม้าจากไป
หลังจากรถม้าแล่นมาได้พักหนึ่ง ผู้ตรวจการก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเอ่ยชมว่า “หนิงเยี่ยน ทำดีมาก”
สวี่ชีอันรู้ดีว่าเขาหมายถึงเรื่องผลผีผาไร้เมล็ด จึงกล่าวว่า “เรื่องเล็กขอรับ”
ผู้ตรวจการจางทำเสียง ‘จิ๊จ๊ะ’ ขณะพูดคุยกันนั้น น้ำเสียงก็ไหลไปตามอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีฐานะขุนนางค้ำคออีกต่อไป “แม้แต่เรื่องทำสวนทำไร่เจ้าก็รู้ด้วยหรือ”
สวี่ชีอันยังไม่ทันตอบ เจียงลวี่จงที่อยู่ด้านหน้าก็เอ่ยแทรกพร้อมรอยยิ้ม “เขาถึงขั้นรู้เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุ เก่งกาจไม่ด้อยไปกว่าพวกชุดขาวของสำนักโหราจารย์เลยนะขอรับ”
เจ้าเอ่ยแทนข้าไปแล้ว แล้วจะให้ข้าอวดอะไรได้อีก สวี่ชีอันออกปากแก้ “ผิดแล้ว คนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ต้องยกให้ข้าเป็นกึ่งๆ อาจารย์ต่างหากขอรับ”
ทั้งสามหัวเราะลั่น
สวี่ชีอันถือโอกาสเอ่ยถาม “วันนี้เหตุใดใต้เท้าจึงอารมณ์ดีเช่นนี้ล่ะขอรับ”
ผู้ตรวจการจางหันกลับไปมองจวนที่อยู่ไกลตาแล้วเอ่ยเสียงเบา “อวิ๋นโจวแห่งนี้ถูกครอบงำโดยสมุหเทศาภิบาลซ่งผู้นั้น เขาไม่ถูกกับหยางชวนหนาน”
สวี่ชีอันนึกย้อน “หยางชวนหนานผู้นั้นออกจะเย็นชาสักหน่อยจริงๆ ขอรับ…แต่ไม่ว่ากับใครเขาก็เย็นชาหมดนั่นแหละ”
ผู้ตรวจการจางยิ้มเย็นพลางกล่าว “นี่จึงอธิบายได้ว่าคนส่วนใหญ่ในวงขุนนางเมืองอวิ๋นโจวมีแซ่ซ่ง”
“ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะด้วย”
“ในบรรดาสามสำนัก ผู้บัญชาการจะมีอำนาจมากที่สุด แต่เมื่อครู่คนที่ต้อนรับข้ากลับเป็นสมุหเทศาภิบาลซ่ง แม้ว่าการที่สมุหเทศาภิบาลออกหน้าในสถานการณ์แบบนี้จะเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่เจ้าลองคิดดีๆ คนที่เขาแนะนำให้ข้ารู้จักแรกๆ ก็คือสำนักตุลาการความมั่นคง ไม่ใช่ผู้บัญชาการ เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ข้าสังเกตเห็นในงานเลี้ยง ส่วนใหญ่หยางชวนหนานจะนิ่งเงียบ สมุหเทศาภิบาลต่างหากที่เหมือนเป็นเจ้าภาพ อืม นี่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากในวงขุนนาง ไม่ควรก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของคนอื่น” ผู้ตรวจการจางกล่าวยิ้มๆ
“หนิงเยี่ยน เรียนรู้ไว้”
“ข้าเป็นทหารจะเรียนเรื่องพวกนี้ทำไมขอรับ” แต่สวี่ชีอันก็แอบจำไว้
“อีกอย่าง ตอนนี้ข้าก็เข้าใจจริงๆ แล้ว” ผู้ตรวจการจางเอ่ย “รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดคนแซ่ซ่งถึงจะมอบผีผาให้ในงานเลี้ยง”
เล่นละครไงล่ะ…สวี่ชีอันส่ายหน้า “ไม่รู้ขอรับ”
“คนที่มีใจอยากรู้ก็คงจะซักไซ้ แต่นี่เขาวางเฉย นับว่าเป็นการตัดไม้ข่มนามข้าอย่างพอหอมปากหอมคอ” ผู้ตรวจการจางยิ้มเย็น “ทั้งยังส่งสัญญาณลับให้ข้าว่า หากกำจัดไปหนึ่งคน อวิ๋นโจวก็จะสงบสุข เหมือนกับผีผาผลนั้น”
กำจัดใครนั้น ไม่บอกก็รู้
พวกท่านนี่จะเป็นขุนนางกันให้ถึงที่สุดเชียวหรือ…วันๆ ก็รู้จักแต่ใช้กลอุบายต่อสู้กัน… สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้วเพราะความปวดหัว
เว่ยกงพูดถูกต้อง ข้าไม่เหมาะสมกับแวดวงขุนนางจริงๆ จิตใจของคนนั้นมีขีดจำกัด ครึ่งหนึ่งมอบให้ฝูเซียง ครึ่งหนึ่งเหลือให้กับการฝึกตน
ไม่มีแรงใจมากพอจะเข้าไปเกลือกกลั้วกับวงการขุนนางหรอก
ท่าทางปวดหัวของสวี่ชีอันทำให้ผู้ตรวจการจางหัวเราะอย่างมีความสุข จิตใจสงบลงได้ทันที
“ใต้เท้าผู้ตรวจการขอรับ ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาเล่นทายอักษรสักหน่อยดีไหมขอรับ” สวี่ชีอันยิ้มกรุ้มกริ่ม
ผู้ตรวจการจางคิดจะปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว แต่รู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นปัญญาชนของตนจะถูกเย้ยหยัน จึงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าว่ามา”
“สตรีคลอดบุตร มีสี่พยางค์” สวี่ชีอันยิ้มตาหยี
สีหน้าของผู้ตรวจการจางค่อยๆ แข็งทื่อ ค่อยๆ งุนงง แล้วก็ค่อยๆ โกรธเกรี้ยวเพราะจนปัญญา…จากนั้นก็ปล่อยม่านหน้าต่างรถลง
“ฮ่าๆๆ” เจียงลวี่จงและสวี่ชีอันหัวเราะพร้อมกัน
“ฮึ่ม!” ผู้ตรวจการจางแค่นเสียงเย็นดังมาจากในรถม้า
…
อีกด้านหนึ่ง ผู้บัญชาการหยางชวนหนานก็เข้าไปในรถม้า เพิ่งจะปล่อยม่านลงก็ถูกเปิดม่านขึ้นอีกครั้ง หลี่เมี่ยวเจินผู้มัดผมหางม้าสูงและมีท่าทางแบบวีรสตรีห้าวหาญขึ้นมาบนรถม้า
“สายตาทุกคนมองอยู่ เจ้าเข้ามาในรถม้าของข้าเช่นนี้ไม่กลัวชื่อเสียงเสียหายหรือ” หยางชวนหนานขมวดคิ้วกล่าว
“สตรีในยุทธภพไม่สนใจเรื่องพวกนี้” หลี่เมี่ยวเจินโบกมือ “ข้ามาไถ่ถามถึงสถานการณ์ของเจ้า ผู้ตรวจการคนนั้นดูท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้ตำแหน่งมาง่ายๆ เจ้าอยากใช้เงินติดสินบนดูหรือไม่”
นางรู้กฎของวงการราชการของต้าฟ่งดี เงินถึงก็คือสหาย ถ้าไม่มีเงิน แม้แต่พี่น้องท้องเดียวกันก็ไม่แยแส
“มอบเงินให้ฝ่ายตรวจสอบ กลัวจะตายช้าหรือไง” หยางชวนหนานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “แต่ถ้าวางแผนสังหารพวกมันให้ตายอยู่ที่อวิ๋นโจวก็ไม่เลวเหมือนกัน”
หลี่เมี่ยวเจินกลอกตา “เจ้าคิดว่าใต้เท้าผู้ตรวจการคนนั้นเป็นอย่างไร”
“กลางๆ” หยางชวนหนานประเมิน
“ก็ดีสิ ยิ่งเขาไร้ความสามารถมากเท่าไหร่เจ้าก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น” หลี่เมี่ยวเจินกล่าวยิ้มๆ
“กลางๆ ไม่ได้แปลว่าธรรมดา” หยางชวนหนานส่ายหน้า “ผู้ที่ไม่เผยเขี้ยวเล็บนั้นอันตรายที่สุด ไม่แน่เจ้าตัวอาจลอบสะสมพลังเอาไว้แล้วโจมตีข้าให้ถึงตายในคราวเดียวก็ได้”
เงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยต่อ “ฆ้องทองแดงคนนั้นก็ต้องจับตาดูเช่นกัน”
หลี่เมี่ยวเจินที่รู้อยู่แล้วว่าสวี่ชีอันไม่ธรรมดาก็เลิกคิ้วงามขึ้น “เจ้าเห็นอะไรหรือ”
ล้อรถหมุนขลุกขลัก หยางชวนหนานเลิกผ้าม่านที่แกว่งไกวขึ้น ก่อนมองไปยังค่ำคืนด้านนอกแล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ดาบพกของเขาแตกต่างจากของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ แต่กลับเป็นดาบเหมือนกัน ไม่ใช่อาวุธอื่น ตามที่ข้ารู้มา ดาบพกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะได้มาจากสำนักโหราจารย์และอยู่ในหมวดกึ่งอาวุธเวทมนตร์ ดังนั้นจึงมีคำอธิบายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ ดาบของคนผู้นั้นเป็นอาวุธเวทมนตร์ชิ้นหนึ่ง”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า “และผู้ที่สามารถใช้อาวุธเวทมนตร์ได้นั้น หากไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งฐานะพิเศษ ก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับสำนักโหราจารย์ทีเดียว”
“ท่าทีของเขาก็ประหลาด ข้าสังเกตดูแล้ว แม้ตอนที่ไม่ได้พูดจาเถรตรงอ่อนน้อมอย่างยิ่งยวด แต่ความจริงไม่ว่าจะเป็นผู้ตรวจการจางก็ดี หรือสมุหเทศาภิบาลซ่งก็ดี เขาล้วนแต่ไม่ให้ความเคารพกับใครเป็นพิเศษก็เข้าใจได้ว่าเป็นความเย่อหยิ่งตามประสานักรบ แต่ขนาดอยู่แค่ระดับหลอมปราณยังโอหังเช่นนี้ ช่างหายากมากจริงๆ”
ส่วนเจียงลวี่จงผู้เป็นฆ้องทองคำขั้นสี่กลับไม่มีอะไรให้น่าพูดถึง จะรู้สึกหวาดกลัวก็ไม่ใช่เรื่องผิด
…
เมื่อกลับมาถึงโรงพักม้า สวี่ชีอันที่ต้องฝึกตนเพื่อบรรลุเป็นเซียนต่อไปก็นั่งเขียนรหัสลับสองชุดที่โจวหมินทิ้งไว้อยู่บนกระดาษเซวียนจื่อ
สุดท้ายก็ต้องเป็นข้าที่แบกทุกอย่างเอาไว้คนเดียว…การเลื่อนขั้นระดับหลอมวิญญาณแบบอดหลับอดนอนเช่นนี้ ถ้าไปอยู่ในยุคสมัยของข้าคงจะฮิตระเบิดระเบ้อแน่นอน…พวกโอตาคุก็คงจะเล่นเกมจนกว่าชั่วฟ้าดินสลาย เล่นเกมจนผมหงอกล้านโล่ง เล่นจนแฟนสาวเกิดเงาดำขึ้นในใจ…อ้อ พวกเขาไม่มีแฟนนี่หว่า งั้นก็แล้วไป
“เหล่าเจียงเคยบอกว่าการเลื่อนขั้นแต่ละระดับของทหารนั้น ขั้นสุดท้ายจะกลายเป็นสายการฝึกที่น่ากลัวประหนึ่งเทพมารปีศาจ…ระดับหลอมจิตและระดับหลอมปราณก็เหมือนเป็นภาพยนตร์จอมยุทธ์ที่ข้าเคยดูในชาติก่อน แถมยังเป็นจอมยุทธ์ระดับต่ำต้อย…ส่วนระดับขั้นต่อจากระดับหลอมวิญญาณก็จะยกระดับขึ้นไปกว่านี้…ระดับหลอมปราณยังต้องกินข้าวต้องนอนหลับ สงสัยว่าระดับหลอมวิญญาณคงจะไม่ได้กินไม่ได้นอนเป็นเวลานานแน่ๆ…นี่มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว”
การคาดเดาของสวี่ชีอันนั้นมีเหตุผลอยู่ การฝึกฝนร่างกายของระดับหลอมจิตทำให้ทหารสามารถต่อสู้อย่างรุนแรงได้ ส่วนระดับหลอมวิญญาณจะหลอมรวมจิตเดิม วิธีการเลื่อนขั้นคือต้องทำงานหนักโดยไม่พักผ่อน
เมื่อเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณได้อย่างราบรื่น กายเนื้อและจิตเดิมจะสามารถทำงานอย่างหนักหนาสาหัสได้เป็นเวลานานโดยไม่ต้องหลับนอนและไม่พักผ่อน
แต่ละสายการฝึกตนทั้งหลายซึ่งรวมไปถึงสายการฝึกยุทธ์ ล้วนเป็นแบบหมุนเวียนและค่อยเป็นค่อยไป แต่ละระดับจะเป็นการวางรากฐานให้แก่ระดับถัดไป
ตัวอย่างเช่นสายการฝึกโหร ระดับหมอเป็นการปูทางสำหรับการมองปราณ และการมองปราณก็เป็นพื้นฐานของปรมาจารย์ฮวงจุ้ย ส่วนขั้นกว่าของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยก็คือปรมาจารย์ค่ายกล
มีความเป็นตรรกะสูงมาก ทำให้รู้สึกว่าไม่เพ้อฝันและเป็นการเลื่อนขั้นแบบเท้าเหยียบอยู่บนความเป็นจริง
ความคิดของเขากลับมาสู่คดีความอีกครั้ง รหัสลับไม่ใช่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล น่าจะเป็นสิ่งที่โจวหมินสร้างขึ้นเอง…อย่างนั้นก็เป็นเรื่องแล้ว ใครเขาจะเดาออกล่ะ ความยากพอๆ กับรหัสลับที่ข้าทิ้งไว้ว่า ‘ใบไม้แห้งริสะอ่อนบาง ดอกไม้ร่วงอามามิ[1]เต็มฟ้า’ อย่างนั้นเลย
หาให้ทั่วจิ่วโจวไปเถอะ บนโลกนี้ไม่มีใครแก้ได้หรอก
“วันนี้คิดบ่อยเกินไปแล้ว เปลืองพลังงานเซลล์สมองหนักมาก แต่จะนอนก็ไม่ได้อีก น่าเบื่อจริง…ถ้าฝูเซียงอยู่ก็ดีน่ะสิ พวกเราสามารถทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจได้อย่างมีความสุข…แต่ข้าคงได้นอนสลบไสลอยู่บนผิวเนื้อขาวละมุนของนางแน่…”
ตอนนี้เอง จู่ๆ ใจเขาก็สั่นไหวขึ้นมาจนเกือบจะหัวใจวายตาย
เขารีบสูดหายใจ จากนั้นก็คลำเอาชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากใต้หมอน เตรียมก่นด่าไอ้หน้าโง่ที่ส่งข้อความตอนกลางค่ำกลางคืนพร้อมความโกรธเต็มท้อง เขาจ้องหน้ากระจกเขม็ง
‘สอง: หมายเลขสาม ข้ามีบางอย่างอยากจะถามเจ้า เจ้าสามารถยื่นเงื่อนไขมาแลกเปลี่ยนได้’
หมายเลขสอง ทหารหญิงคนนั้นหรือ ข้ากำลังกังวลอยู่เชียวว่าจะไม่มีโอกาสตรวจสอบ…สวี่ชีอันใช้นิ้วต่างปากกา ใส่ข้อความไปว่า ‘อ้อ ข้าขอฟังคำถามของเจ้าก่อน’
…………………………………………
[1] ริสะ อามามิ เป็นชื่อของนางเอก AV ชาวญี่ปุ่น เป็นกลอนลับที่แฝงชื่อของนางเอกเอาไว้