บทที่ 194 วิเคราะห์คดี
ที่ว่าการ?
ที่ว่าการแล้วจะยังไง ฆ่าคนหน้าประตูกรมอาญาข้ายังกล้าเลย ฆ่าเจ้าที่เป็นเสมียนขั้นเจ็ดตัวกระจ้อยจะไปยากอะไร
สวี่ชีอันกดมือลง ดาบยาวสีดำทองคมกริบกดลงบนหลังคอของใต้เท้าเสมียนผู้นี้ในชั่วพริบตา เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดจากหลังคออย่างชัดเจนและเลือดอุ่นร้อนที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากคอของตน
‘กล้าฆ่าข้าจริงๆ ด้วย’…หัวใจของเสมียนที่ว่าการหดเกร็ง เขามองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ ด้วยความตื่นตะลึง คาดหวังว่าพวกเขาจะหยุดสหายร่วมหน่วยที่ทำตัวป่าเถื่อนผู้นี้ได้
แต่ท่าทีของพวกซ่งถิงเฟิงทำให้จิตใจของเสมียนที่ว่าการจมดิ่ง พวกเขานิ่งสงบ เย็นชา และยืนดูอยู่เฉยๆ เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์อันเลวร้ายของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาก่อนแล้ว พวกเขาโอหังยิ่งนัก แต่ถ้าบอกว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกล้าสังหารขุนนางถึงในที่ทำการปกครอง แบบนั้นเขาไม่เชื่อหรอก
ซ่งถิงเฟิงมองตอบสายตาของอีกฝ่าย ก่อนยิ้มตาหยีให้ “ใต้เท้าเสมียน เจ้ารุกล้ำมรดกของข้าราชสำนัก แม้ว่าตอนนี้จะไม่ฆ่าเจ้า แต่พอจับเจ้าเข้าคุก เราก็ยังมีวิธีสังหารเจ้าได้ไม่ต่างกัน”
ฆ้องเงินถังกล่าวเสริม “นี่คือวิธีการที่พวกเราหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมักจะใช้กัน พอถึงตอนนั้น เรื่องที่สอบปากคำเจ้าก็จะไม่จบแค่เรื่องมรดก”
“ข้าน้อย…ผิดไปแล้วขอรับ” เสมียนที่ว่าการกลืนน้ำลาย ยอมรับชะตาด้วยสีหน้าซีดเผือด
สวี่ชีอันจึงเก็บดาบแล้วเตะเสมียนที่ว่าการ “ไป เรียกคนที่เก็บเงินมาที่โถงใหญ่ทั้งหมด ข้าจะลงโทษมันทีละคน”
เสมียนที่ว่าการจับหลังคอที่โชกไปด้วยเลือดแล้วกุลีกุจอออกไป
จนกระทั่งมองไม่เห็นแผ่นหลังของเขาแล้ว สวี่ชีอันก็ถอนสายตากลับไปตรวจดูมรดกต่อ
“เจ้ากลัวว่ามรดกที่มีเบาะแสอยู่จะถูกยักยอกจนทำให้สืบคดีไม่ได้สินะ” ฆ้องเงินถังเลือกคำมาพูด
“ถ้าโจวหมินทิ้งเบาะแสไว้ในมรดกจริงๆ เขาก็คงไม่เลือกของมีค่าพวกนั้นแน่นอน เพราะมันเป็นของที่ทำให้คนเกิดความโลภได้ง่ายๆ น่ะขอรับ” สวี่ชีอันพูดพลางเงยหน้ามองเขา
“ข้าแค่อยากจะเอาของของโจวหมินกลับคืนมาเท่านั้น พอคดีสิ้นสุดจะได้คืนให้แก่ครอบครัวของเขาขอรับ”
“คุณธรรมของเจ้าช่างน่ายกย่อง” ฆ้องเงินถังกล่าวชม พูดจบก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “แม้เจ้าจะเป็นพวกเจ้าชู้ก็ตาม”
ไม่หรอก นี่คือคุณธรรมขั้นพื้นฐาน…เจ้าพวกที่แม้แต่เงินทองของผู้ตายก็ยังไม่ยอมปล่อยต่างหากที่เป็นคนชั่ว พวกขยะเอ๊ย สวี่ชีอันค่อนขอดในใจ
อีกอย่าง วิถีชีวิตแบบชายหนุ่มจะเรียกว่าคนเจ้าชู้ได้หรือ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นบุรุษแสนดีที่หมายปองของสาวงาม
สวี่ชีอันนึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยเห็นในสมัยก่อน ‘ถึงฉันจะกินเหล้า สูบบุหรี่สักตัว เที่ยวกลางคืน แต่ฉันก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนดี’
ถึงข้าจะกินฟรี กินฟรี และกินฟรีในกินฟรีอีกที แต่ข้าก็รู้ตัวว่าข้าเป็นคนดีนะ…
ประมาณสิบนาทีต่อมา ขุนนางสวมชุดคลุมสีเขียวปักลายไก่ฟ้าสีขาวคนหนึ่งก็เข้ามาในคลังเก็บของ ด้านหลังมีเสมียนที่ว่าการที่พันแผลบนคอเอาไว้ลวกๆ เดินตามมา พร้อมกับขุนนางสวมชุดเขียวปักลายนกกระเรียนอีกคน
ในแวดวงขุนนางนั้น แค่ดูที่ชุดขุนนางก็รู้ถึงระดับขั้นของอีกฝ่ายแล้ว จากนั้นก็จะคาดเดาถึงตำแหน่งของเขาได้ ตัวอย่างเช่นเจ้าหน้าที่ชุดคลุมสีครามปักลายไก่ฟ้าขาวผู้นี้จะอยู่ระดับหก ในที่ว่าการ มีเพียงตำแหน่งข้าหลวงเท่านั้นที่อยู่ระดับหกชั้นเอก
‘รู้เสื้อผ้าไม่รู้ใจคน’ ในยุคแรกๆ ประโยคนี้เริ่มแพร่หลายมาจากแวดวงขุนนางนี่เอง
ข้าหลวงใบหน้ากลมเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสมบูรณ์ เขาเข้ามาหาด้วยท่าทีเป็นมิตร เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพวกสวี่ชีอัน เขาก็เอ่ยอย่างคับแค้นใจ
“ข้าละอายใจนักขอรับที่ไม่เข้มงวดต่อผู้ใต้บัญชา กลับปล่อยให้ทำเรื่องน่าขายหน้าแบบนี้เสียได้”
เขายอมรับความผิดด้วยตัวเองแล้วหยิบหีบห่อใบเล็กหนักๆ ที่บวมพองออกมา “ในนี้มีอยู่หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง เป็นมรดกของเสมียนโจวขอรับ ข้าขอคืนใต้เท้าแทนเขาด้วย”
เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องใช้วิชามองปราณก็รู้ ที่ว่าการมณฑลยอมถอยให้ขนาดนี้ ความจริงแล้วเป็นเพราะเกรงใจฐานะของผู้ตรวจการ สวี่ชีอันก็คาดเดาจุดนี้เอาไว้แล้วจึงกระทำการอย่างไม่เกรงกลัว
ถ้าหากข้าหลวงไม่ยินยอม เขาก็แค่ไปรายงานผู้ตรวจการจางเท่านั้น แน่นอนว่าความเป็นไปได้ของเรื่องนี้มีไม่มาก เขาเชื่อว่าข้าหลวงประจำมณฑลมีความฉลาดตรงนี้อยู่
ดังนั้นสวี่ชีอันจึงยื่นมือไปรับมา ชั่งน้ำหนักดูสองสามครั้ง และไม่ได้ดันทุรังต่อ
“ใต้เท้าข้าหลวง รบกวนช่วยเตรียมรถม้าไว้ให้ด้วย ข้าจะนำมรดกของเสมียนโจวกลับไปที่จุดพักม้าด้วย” สวี่ชีอันพูด
ข้าหลวงมองไปยังคนที่ปักลายฆ้องเงินที่หน้าอกก่อน พอเห็นว่าคนผู้นี้นิ่งเงียบไม่พูดจาก็เข้าใจแล้วว่าผู้นำที่นี่คือฆ้องทองแดงที่พูดคุยกับตน
“ได้ขอรับๆ”
สวี่ชีอันทิ้งทหารพยัคฆ์ทะยานสองคนเอาไว้แล้วประสานงานกับที่ว่าการเมือง เมื่อส่งมรดกของโจวหมินกลับไปยังจุดพักม้าแล้ว พวกเขาก็ขี่ม้าออกจากเมือง ที่ตามมาด้วยยังมีเจ้าหน้าที่จับกุมจากหน่วยจับกุมหนึ่งคน
หรือเรียกง่ายๆ ว่ามือปราบ
ศพของโจวหมินถูกฝังไว้สุสานไร้ญาติที่อยู่ห่างจากนอกเมืองไปสามสิบลี้ สุสานไร้ญาติในยุคสมัยนี้คล้ายกับป่าช้าในชาติก่อน หลุมศพจะตั้งติดกันหลุมต่อหลุม
หลุมศพที่อยู่ในสุสานไร้ญาติล้วนเป็นผู้เสียชีวิตจากครอบครัวยากจน ส่วนตระกูลที่มั่งคั่งสักหน่อยจะเชิญหมอฮวงจุ้ยมาช่วยเลือกสถานที่ฝังศพให้
“ใต้เท้าทั้งหลาย หลุมฝังศพของเสมียนโจวอยู่ตรงนั้นขอรับ” มือปราบชี้ไปที่ต้นหลิวต้นหนึ่ง ใต้ต้นหลิวมีเนินดินเล็กๆ แห่งหนึ่ง
กองทหารพยัคฆ์ทะยานสองสามคนปลดพลั่วที่แขวนอยู่บนตะขอม้าออกมา ตั้งหน้าตั้งตาขุดหลุมศพจนเศษดินปลิวกระเด็น และเมื่อเสียง ‘ตึง’ ดังขึ้น พลั่วก็ขุดเจอโลงศพแล้ว
เหล่านายทหารกองทหารพยัคฆ์ทะยานปัดดินโคลนนอกโลงศพออกมา ‘ปัง’ …พอแง้มเปิดโลงศพ กลิ่นเหม็นเน่าไม่พึงประสงค์ก็พวยพุ่ง
ทุกคนถอยหลังออกไปพร้อมกัน พวกทหารที่มีสัมผัสไวต่อกลิ่นก็ยังทนรับกลิ่นเหม็นร้ายกาจเช่นนี้ไม่ไหว
สวี่ชีอันหยิบขวดกระเบื้องออกมาแล้วแจกจ่ายเม็ดยาในนั้นให้กับทุกคน นี่คือยาป้องกันพิษที่โหรจากสำนักโหราจารย์มอบให้
จากนั้นก็ปิดปากปิดจมูกแล้วเดินไปข้างๆ โลงศพ
ศพของชายสวมชุดสีขาวนอนนิ่ง ใบหน้าสีเขียวคล้ำแหงนมองฟ้า
ผิวหนังของเขาเป็นสีเขียวอมดำ กล้ามเนื้อศพเต็มไปด้วยสีเข้มสีจาง ใบหน้าเน่าเปื่อยจนเกิดรู ตัวนอนมากมายขยับดิ้นอยู่ในรูเนื้อเหล่านั้น
ร่างกายบวมเป่งเล็กน้อย นี่คือสภาวะหลังตายซึ่งผิวหนังจะเต็มไปด้วยแก๊สเน่าเสีย จึงก่อให้เกิดอาการบวมพอง ในสภาพนี้ แค่จิ้มเบาๆ เพียงหนึ่งทีผิวหนังก็จะแตกออกมาแล้วน้ำเหลืองกับเลือดเน่าเหม็นก็จะไหลทะลัก
สวี่ชีอันเคยเรียนเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็เพิ่งเคยเห็นกับตาเป็นครั้งแรก
…แม่จ๋า ข้าจะตายแล้ว สวี่ชีอันพยายามอดทนไม่ให้กรดในกระเพาะพุ่งขึ้นมา เขาเอ่ยเสียงขรึม “ถอดเสื้อผ้าเขา”
กองทหารพยัคฆ์ทะยานมองเขาอย่างยอมรับชะตากรรม “ขอรับ…”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา สวี่ชีอันก็ตรวจดูศพเสร็จสิ้น สรุปเบื้องต้นได้ว่าไม่ได้เสียชีวิตจากการกระทำภายนอกจริงๆ เพราะเขาไม่พบบาดแผลถึงชีวิตบนศพ
เมื่อกลบฝังหลุมศพของโจวหมินเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ของที่ว่าการเมืองก็พาพวกเขาไปทำความสะอาดตัวในลำธารเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เคียง จากนั้นก็กลับเมืองไป๋ตี้
พอจะยืนยันเรื่องสาเหตุการตายได้แล้ว มันเป็นฝีมือของคนจากสำนักพ่อมดนั่นเอง…ฆ่าคนในความฝัน วิธีการของพ่อมดขั้นสี่…อย่างนั้นถ้าเขาจะฆ่าเราก็ทำได้สบายๆ เลยสิ
เบาะแสเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือป้ายหยกครึ่งชิ้น ทว่าแค่ป้ายหยกอย่างเดียวโดยปราศจากข้อมูลที่มากกว่านี้ย่อมไม่มีทางสืบสวนต่อได้…
ยามบ่ายสองครึ่งกลับมาที่จุดพักม้า ผู้ตรวจการจางกำลังนำฆ้องทองแดงและฆ้องเงินกลุ่มหนึ่งตรวจสอบมรดกของโจวหมินซ้ำไปซ้ำมาเพื่อหาเบาะแสอยู่
“ตรวจดูมาหนึ่งชั่วยามแล้ว พวกเจ้าพบอะไรหรือไม่” ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้ว
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลส่ายหน้า
“โจวหมินไม่ใช่สายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหรอกหรือ พวกเจ้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่มีรหัสลับไว้ใช้งานหรืออย่างไร” ผู้ตรวจการจางถามกลับอย่างเด็ดขาด
“หารหัสลับไม่ได้เลยขอรับ” ฆ้องเงินคนหนึ่งเอ่ยเสียงอึมครึม
“อาจจะถูกฆาตกรหยิบ ไม่ก็ถูกทำลายไปแล้ว ที่เหลือให้เรามีแค่ขยะไร้ประโยชน์เท่านั้นขอรับ” ฆ้องเงินอีกคนคาดเดา
“นี่มันก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว คงไม่มีเบาะแสอะไรแล้วกระมัง แล้วจะสืบอย่างไร ไม่ว่าใครก็สืบไม่ได้หรอก” ฆ้องทองแดงคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ
‘สวะเอ๊ย’ …ผู้ตรวจการจางหงุดหงิดเล็กน้อย เขามาจากฝ่ายตรวจสอบ ไม่เชี่ยวชาญด้านคดีอาญา ทำได้เพียงอาศัยหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มนี้เท่านั้น ทว่าพวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเก่งเพียงเรื่องฆ่าฟัน ส่วนเรื่องสืบคดีก็ค่อนข้างจะเหลือบ่ากว่าแรงไปสักหน่อย
“ให้โหรไปถามหยางชวนหนานตรงๆ เลยเถอะขอรับ”
“ไม่เข้าท่า!” ผู้ตรวจการจางแค่นเสียง “เมื่ออยู่ระดับสี่ขึ้นไป การกล่าวโทษของโหรจะไม่แม่นยำอีกต่อไป ข้ารู้ว่าหยางชวนหนานสมคบคิดกับโจรภูเขา แต่ไหนเล่าหลักฐาน ไม่มีหลักฐานแล้วจะเอาผิดอย่างไร จะเอาผิดผู้บัญชาการระดับสองคนหนึ่งอย่างไร”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลส่ายหน้าถอนหายใจ
“เอาล่ะ ใต้เท้าผู้ตรวจการอย่าได้ทำให้พวกเขาลำบากใจเลย โจวหมินไม่ได้ใช้รหัสลับจริงๆ” เจียงลวี่จงส่ายหน้า รู้สึกตึงมือยิ่งนัก
เดิมทีคิดว่าโจวหมินจะใช้รหัสลับที่มีเฉพาะในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นเบาะแสเพื่อติดต่อและชี้นำพวกเขาให้หาหลักฐานพบ แต่หลังจากตรวจสอบมรดกดูแล้วกลับไม่พบอะไร
“และเป็นไปได้ว่าถูกฆาตกรทำลายไปแล้ว” ผู้ตรวจการจางกล่าวอย่างจนปัญญา
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรขอรับ” ฆ้องเงินคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ทำได้เพียงฝากความหวังกับสวี่หนิงเยี่ยนแล้ว” ผู้ตรวจการจางกล่าว “เขาสามารถหาข้อบกพร่องของคดีเงินภาษีได้จากสำนวนคดีและสามารถสืบพบคดีเก่าของท่านหญิงผิงหยางได้จากคดีซังผอ ไม่แน่ว่าอาจจะสืบคดีไร้หัวไร้หางของโจวหมินครั้งนี้ได้เช่นกัน”
“แต่จะสืบอย่างไรเล่าขอรับ”
“ข้าจะไปรู้หรือ” ผู้ตรวจการจางถลึงตามองฆ้องทองแดงที่พูดขัด
ตอนนี้เองสวี่ชีอันก็เข้ามาพอดี ด้านหลังยังมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกับกองทหารพยัคฆ์ทะยานที่ตามไปด้วยกัน
ดวงตาของผู้ตรวจการจางสว่างไสว “ผลชันสูตรเป็นอย่างไร”
“เหมือนกับผลชันสูตรของที่ว่าการ ที่ศพไม่พบอะไรแล้วขอรับ” สวี่ชีอันตอบ
ใต้เท้าผู้ตรวจการพยักหน้าอย่างผิดหวังเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าเจ้าทำร้ายเสมียนของที่ว่าการหรือ”
“ข้ารู้จักยั้งมือ ไม่ฆ่าคนหรอกขอรับ” สวี่ชีอันชี้ไปที่มรดกเหล่านั้น “มีเบาะแสหรือไม่ขอรับ”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหมดส่ายหน้า
“หารหัสลับเพื่อติดต่อไม่เจอ หรือไม่ก็ถูกใครทำลายไปแล้ว” เจียงลวี่จงถอนหายใจ “หนิงเยี่ยน มีแต่ต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
ว่าจบเขาก็หันไปมองฝูงชนที่อยู่รอบๆ แล้วเอ่ยเสียงขรึม “พวกเจ้าต้องเรียนรู้เอาไว้ ดูว่าเขาไขคดีอย่างไร ใครเรียนได้ดี ข้าก็จะเลี้ยงดูอย่างหนัก”
ฆ้องทองแดงและฆ้องเงินเหล่านี้ล้วนเป็นลูกน้องใต้บัญชาของเขา
เจียงลวี่จงอยากจะได้สวี่ชีอันมาตลอด แต่เว่ยกงไม่ให้ เขาก็ได้แต่ใช้วิธีนี้เท่านั้น คือให้สวี่ชีอันมาสอนงานหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลใต้บัญชาของเขา
สวี่ชีอันหาที่นั่งลง ไม่ได้ตรวจสอบมรดกต่อ แต่นิ่งคิดไปพักหนึ่ง “รหัสลับของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นความลับหรือไม่ขอรับ”
เจียงลวี่จงเอ่ย “ระดับฆ้องเงินขึ้นไปรู้กันดี ฆ้องทองแดงที่เคยติดต่อกับสายลับก็รู้ด้วยเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็มีระดับความปลอดภัยไม่สูงพอ” สวี่ชีอันเทน้ำให้ตนหนึ่งแก้วแล้วเอ่ย
“มีความเป็นไปได้ว่าโจวหมินจะไม่ได้ใช้รหัสลับของที่ทำการ”
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ฆ้องเงินคนหนึ่งถาม
สวี่ชีอันวิเคราะห์ว่า “ถ้าหากรหัสลับมีความปลอดภัยสูง ฆาตกรก็ไม่มีทางหาเบาะแสจากกองมรดกและทำลายได้อย่างถูกต้องแน่นอน อีกทั้งตอนนี้เราก็ควรจะหารหัสลับพบแล้ว แต่นี่ไม่พบ และถ้าหากรหัสลับไม่ได้มีความปลอดภัยสูงขนาดนั้น ในฐานะที่โจวหมินเป็นสายลับเก่าแก่ที่ทำงานมายี่สิบปี มีประสบการณ์โชกโชนและคิดอ่านรอบคอบ แล้วเขาจะใช้วิธีการชุ่ยๆ ที่เสี่ยงถูกถอดรหัสง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ดังนั้นความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อน แต่คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวคือ เขาใช้วิธีอื่นซ่อนหลักฐาน”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมองหน้ากันเงียบๆ ล้วนแต่ตกตะลึงทั้งนั้น
“ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้เอง มองครั้งแรกเหมือนไม่มีเบาะแส แต่ความจริงมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ โจวหมินใช้วิธีการอื่นมาซ่อนหลักฐาน”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลปรบมือตื่นเต้น รู้สึกกระจ่างแจ้งโดยพลัน
ผู้ตรวจการจางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “แต่พวกเราก็ยังสับสนอยู่ดีว่าจะหาหลักฐานที่เขาซ่อนไว้ออกมาได้อย่างไร”
สวี่ชีอันกล่าว “เช่นนั้นพวกเรามาวิเคราะห์กันตั้งแต่ต้นเลย…”
…………………………………..