ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 197 งานเลี้ยงอาหารค่ำและผีผา

บทที่ 197 งานเลี้ยงอาหารค่ำและผีผา

บทที่ 197 งานเลี้ยงอาหารค่ำและผีผา

งานเลี้ยงอาหารค่ำหรือ อืม ใต้เท้าผู้ตรวจการเข้าเมืองมานานขนาดนี้ มีหรือที่ทางการอวิ๋นโจวจะไม่รู้… สภาพจิตใจของสวี่ชีอันดีขึ้นมากแล้ว ไหนๆ ก็นอนไม่ได้อยู่แล้ว คอยอยู่ที่จุดพักเปลี่ยนม้าก็น่าเบื่อ จึงตอบว่า

“ขอรับ ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”

เขาสวมรองเท้า หยิบฆ้องทองแดงที่หัวเตียงมารัดติดหน้าอก แขวนดาบยาวสีดำไว้ที่เอวด้านหลัง แล้วเปิดประตูห้อง

ผู้ตรวจการจางยืนอยู่นอกประตู สวมชุดเครื่องแบบขุนนางสีแดงเข้ม ตัวตรง ท่าทางโดดเด่น

ทั้งสองพยักหน้าให้กัน เดินลงไปข้างล่างด้วยกัน และรออยู่ที่ห้องโถงครู่หนึ่ง เจียงลวี่จงจึงเดินเข้ามาจากลานที่พัก แล้วพูดว่า “ตรวจนับเจ้าหน้าที่เสร็จแล้ว ไปกันเถิดขอรับ”

รถม้าคันหรูจอดอยู่ด้านนอกจุดพักเปลี่ยนม้า พร้อมด้วยกองทหารพยัคฆ์ทะยานที่คอยติดตามคณะ ทำหน้าที่อารักขา 30 คน และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอีก 7 คน สถานที่จัดงานเลี้ยงเป็นลานกว้างใกล้แม่น้ำ

จวนที่สมุหเทศาภิบาลใช้เพื่อจัดงานเลี้ยงต้อนรับขุนนาง เป็นจวนที่มีสี่ห้องโถง

คืนนี้ดวงจันทร์สุกสกาว ดวงดาวบางตา ไม่มีลม แม้จะเป็นช่วงที่หนาวที่สุด แต่ก็เหมาะที่จะจัดงานเลี้ยงในสวนหลังบ้าน ในฐานะที่เป็นคนสำคัญของงานเลี้ยงคืนนี้ และยังเป็นแขกรับเชิญ ผู้ตรวจการจางจึงจงใจมาสายเป็นเวลาหนึ่งเค่อ

นี่เป็นทั้งการแสดงอำนาจ แล้วยังทำให้ให้เจ้าภาพมีเวลาเตรียมตัวอย่างเหลือเฟือ

เมื่อมาถึงประตูจวน ที่นี่มีรถม้าและเกี้ยวต่างรูปแบบ บางคันสวยหรูบางคันเรียบง่ายจอดอยู่เต็มพื้นที่ แสดงให้เห็นตำแหน่งทางราชการที่แตกต่างกัน

จากการนำทางของบ่าวรับใช้ ผู้ตรวจการจางและคณะก็มาถึงห้องโถงด้านหน้า ได้เห็นบรรดาขุนนางที่สวมชุดขุนนางหลากหลายสีสัน จำนวนมากมายก่ายกอง เกินกว่าหนึ่งร้อยคน

ในจำนวนนั้นมีข้าหลวงแห่งอวิ๋นโจวที่สวี่ชีอันเพิ่งพบปะในวันนี้

“ใต้เท้าผู้ตรวจการ” ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่เบิกบาน ขุนนางที่สวมชุดคลุมสีแดงคนหนึ่ง ไว้หนวดเครายาวเดินเข้ามาทักทาย

“ใต้เท้าสมุหเทศาภิบาล” ผู้ตรวจการจางยิ้มและประสานมือคารวะ

สมุหเทศาภิบาล..เทียบเท่ากับผู้ว่าการมณฑลสินะ… สวี่ชีอันมองไปที่สมุหเทศาภิบาลอวิ๋นโจว โหนกแก้มของเขาสูงเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาว เวลายิ้ม ดวงตาหรี่เป็นเส้นดูแล้วรู้สึกเป็นคนเหลี่ยมจัด

หรือว่าจะเป็นพ่อซ่งถิงเฟิงที่พลัดพรากจากกันไปนาน จริงสิ ถ้าจำไม่ผิด สมุหเทศาภิบาลท่านนี้ก็แซ่ซ่งเหมือนกัน… สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก

สมุหเทศาภิบาลซ่งนำผู้ตรวจการจางไปแนะนำตัวกับทุกคน สวี่ชีอันคอยมองตาม จดจำขุนนางที่อยู่ในที่นั้นไว้ในใจอย่างแม่นยำ

“นี่คือใต้เท้าหยางผู้บัญชาการอวิ๋นโจวของเรา” สมุหเทศาภิบาลซ่งเดินมายังเบื้องหน้าชายวัยกลางคนที่มีมาดเหมือนผู้บังคับบัญชา

เสียงรอบข้างเงียบลงทันที สายตาทุกคู่หยุดอยู่ที่ผู้ตรวจการจางและหยางชวนหนาน

ขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักทั้งสองคนต่างมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“ผู้ตรวจการจาง เลื่อมใสมานานเลื่อมใสมานาน”

“ใต้เท้าผู้บัญชาการ เลื่อมใสมานานเลื่อมใสมานาน”

บรรยากาศผ่อนคลายขึ้้นมาทันที สีหน้าของเหล่าขุนนางต่างปรากฏรอยยิ้ม

….ทำไมข้าจึงเห็นภาพหลอนว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายล่ะ เพียงแค่ชั่วขณะ สวี่ชีอันก็คิดว่าสถานการณ์จะกร่อยเสียแล้ว หรือทั้งสองฝ่ายจะถากถางกันด้วยคำพูดแปลกๆ ปากปราศรัยนน้ำใจเชือดคอ แบบนี้จึงจะเหมาะกับภาพลักษณ์คนที่ชอบเย้ยหยันประชดประชันกันในวงขุนนาง

แต่ผลลัพธ์กลับเต็มไปด้วยมิตรไมตรีจิตเช่นนี้

“ใต้เท้าผู้ตรวจการ งานเลี้ยงอาหารเย็นพร้อมแล้ว พวกเราไปสวนด้านหลังพร้อมกันดีไหมขอรับ” สมุหเทศาภิบาลกล่าวทันที

ในพื้นที่มณฑลหนึ่ง จะมีหน่วยงานระดับสูงสุดสามหน่วยงานได้แก่ สำนักผู้บัญชาการ ที่ว่าการมณฑล และสำนักตุลาการความมั่นคง

ในสำนักเหล่านี้ สำนักตุลาการความมั่นคงขึ้นตรงกับฝ่ายตรวจการ ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ตรวจการจาง หัวหน้าสำนักตุลาการความมั่นคงจึงเป็นเหมือนเพียงสุนัขรับใช้เท่านั้น

เมื่อมาถึงลานด้านหลัง มีขุนนางเข้าร่วมงานจำนวนมาก ที่โต๊ะเจ้าภาพมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นสองเหตุการณ์

เหตุการณ์แรก:

ผู้ตรวจการจางโบกมือแล้วกล่าวว่า “หนิงเยี่ยน มานั่งข้างๆ ข้า”

โต๊ะเจ้าภาพมีทั้งหมด 10 ที่นั่ง เป็นตำแหน่งที่ตายตัว เป็นที่นั่งของใคร ใครที่สามารถนั่งได้ เรื่องนี้ในแวดวงขุนนางมีกฎระเบียบเข้มงวด

ทุกคนมองไปที่ชายหนุ่มที่ชื่อ ‘หนิงเยี่ยน’ ทันที เขาสวมเครื่องแบบสีดำ เสื้อคลุมตัวสั้น รัดฆ้องทองแดงที่มีการจารึกลวดลายไว้ที่หน้าอก ห้อยดาบยาวที่มีลักษณะพิเศษ แตกต่างจากดาบพกทั่วไป

คนที่มีตาแหลมคม แค่เห็นดาบเล่มนี้ ก็รู้แล้วฆ้องทองแดงผู้นี้ฐานะไม่ธรรมดา

ไม่ว่าอยู่ที่ไหน คนที่ดูไม่เหมือนใคร ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ขุนนางหลายคนแอบสนใจในตัวสวี่ชีอัน

เหตุการณ์ที่ 2 ก็คือ ผู้บัญชาการหยางชวนหนาน ได้กีดกันขุนนางคนหนึ่งที่กำลังนั่งลง เขาชี้ไปที่ตำแหน่งข้างๆ เขาและพูดว่า

“มีสหายคนหนึ่งกำลังจะมา”

ขุนนางผู้นั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วต่อมาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงตบหัวตัวเองเหมือนนึกขึ้นได้ แล้วก็เดินไปที่โต๊ะอื่นโดยไม่ได้แสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย

…สหายหรือ ไม่ใช่ใต้เท้าคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสหาย? สวี่ชีอันจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วนั่งตัวตรง

“หนิงเยี่ยน อักษรปริศนาที่พูดถึงวันนี้…” ผู้ตรวจการจางกระซิบ

“ท่านใต้เท้าผู้ตรวจการ!” สวี่ชีอันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “จริงๆ แล้วมันง่ายมาก เพียงแค่เปลี่ยนแนวคิดเท่านั้น”

“อย่างไรรึ”

“ท่านจริงจังมากเกินไป” ผู้ตรวจการจางซึ่งเป็นผู้ตรวจของฝ่ายตรวจการนับเป็นผู้สูงศักดิ์ เป็นถึงผู้ตรวจการในวงขุนนางแห่งเมืองหลวงนี่นา ยังไงก็ต้องสูงศักดิ์อยู่แล้ว

หากเป็นพวกขุนนางชั้นต่ำที่คร่ำหวอดในวงการดื่มสุราเคล้านารีและผีพนัน คงจะรู้คำตอบไปนานแล้ว

ผู้ตรวจการจางกำลังจะพูดต่อ ก็เหลือบเห็นแม่ทัพสาวสวมเสื้อเกราะอ่อนเดินเข้ามา นางมีรูปร่างสูง ผอม สมส่วนงดงาม มัดผมหางม้าสูง

เป็นทหารหญิงที่ทั้งสวยและสง่างาม… ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกายขึ้นมาทันที คิดในใจว่าอวิ๋นโจวยังมีทหารหญิงที่สวยเช่นนี้อีกหรือ

การแต่งกาย ดึงดูดใจกว่าชุดนักเรียนม.ปลาย ถุงน่องสีดำ พยาบาล และแอร์โฮสเตสหลายเท่า คนละระดับกันเลย

ทหารหญิงคนสวยเดินตรงไปที่โต๊ะเจ้าภาพ นั่งข้างผู้บัญชาการหยางชวนหนาน

ผู้ตรวจการจางมองสำรวจทหารหญิงอย่างละเอียด ทบทวนรายชื่อบุคคลในแวดวงขุนนางของอวิ๋นโจวในหัว ก็พบว่านางไม่สามารถนั่งตำแหน่งนี้ได้

“ท่านนี้คือ..” เขาถามด้วยความใคร่รู้

หยางชวนหนานยิ้มแล้วกล่าว “คิดว่าทุกท่านคงไม่เคยได้ยินชื่อจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน นางชื่อหลี่เมี่ยวเจิน เป็นแม่ทัพรับจ้างที่ข้าจ้างมา ปีกว่ามานี้ นางเที่ยวปราบโจรทุกหนทุกแห่ง สร้างความดีความชอบมากมาย หากจะให้รางวัลตามความดีความชอบ ข้าคงต้องยกตำแหน่งผู้บัญชาการให้นางด้วยสองมือ”

คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจเหล่าขุนนางทั้งหลาย ต่างรู้สึกชื่นชมแม่ทัพหญิงคนนี้เป็นอย่างยิ่ง

ผู้ตรวจการจางไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น

แม่ทัพรับจ้างที่หยางชวนหนานจ้างมา… ซึ่งก็หมายความว่าไม่มีการจัดสรรตำแหน่ง ไม่ได้เป็นนายทหารชั้นสูงของราชสำนักอย่างเป็นทางการ… สวี่ชีอันมองสำรวจทหารหญิงคนงามอย่างละเอียด รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย

หมายเลขสอง ก็อยู่ในอวิ๋นโจวเช่นกัน แล้วยังกระตือรือร้นในการปราบโจรและประณามจักรพรรดิหยวนจิ่งอีกด้วย…. นางบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนของราชสำนัก… ข้ายังเคยยกย่องนางว่ากล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่สาวน้อยผู้สง่างามคนนี้คือจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน… เฮ้อ จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน…

ตอนที่คุยกันขณะล่องเรือ หมายเลขสองสนับสนุนหยางชวนหนาน และมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเขา… นางคงไม่ใช่หมายเลขสองหรอกมั้ง สวี่ชีอันดื่มชาอย่างสงบ ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ หาโอกาสหยั่งเชิงอีกที

ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี ตอนนี้สามารถยืนยันได้ว่าหมายเลขห้าและหมายเลขสองเป็นผู้หญิง หมายเลขสองหน้าตาดี มีเสน่ห์ดึงดูด… ไม่รู้ว่าหมายเลขห้าหน้าตาเป็นอย่างไร… สาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้

นางระบำสองแถวสวมเสื้อผ้าหลากสี เปลือยไหล่ ร่ายรำประกอบการรรเลงของนักดนตรี

อวิ๋นโจวไร้เงาฆราวาสจื่อหยาง ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้เยินยอสวี่ชีอัน หัวข้อสนทนาวนเวียนอยู่กับที่เรื่องราวของเมืองหลวงและตัวของผู้ตรวจการจาง

หลี่เมี่ยวเจินพินิจพิเคราะห์คณะผู้ตรวจการอย่างสงบ โดยนางให้ความสำคัญกับเจียงลวี่จงเป็นพิเศษ โดยรู้ว่าเขาเป็นฆ้องทองคำและเป็นทหารระดับสี่ แต่เชี่ยวชาญในด้านไหน อุปนิสัยเป็นอย่างไรนั้น นางไม่รู้อะไรเลย อายุก็ไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าเลือดลมของเขาอยู่ในระดับสูงสุด… ไม่รู้เชี่ยวชาญอาวุธอะไร มี ‘ความตั้งใจ’ อย่างไร หลังงานเลี้ยงสิ้นสุดลง ค่อยถามหมายเลขสามก็แล้วกัน

หลี่เมี่ยวเจินก้มหน้าดื่มเหล้าอึกหนึ่ง แล้วก็เริ่มมองสำรวจตรวจสอบสวี่ชีอันอย่างละเอียดทันที ท่าทางเขาเป็นคนเก็บงำความรู้สึก ดูไม่ออกว่าพลังปราณอยู่ในระดับไหน แต่ทหารระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง บางครั้งจะมีแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายระยิบระยับบนร่างกาย แต่คนคนนี้ไม่มี อย่างมากที่สุดก็อยู่ในระดับหลอมวิญญาณ…

ดวงตาทั้งคู่ซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้ไม่ได้ ถุงใต้ตาบวมเป่ง ท่าทางเหมือนอันธพาลที่ถูกสุรานารีมอมเมา… ‘คนคนนี้อาจจะเป็นญาติของใต้เท้าคนใดคนหนึ่งของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หรืออาจจะเป็นญาติของผู้ตรวจการจาง ข้าเคยได้ยินหยางชวนหนานพูดว่า ฝ่ายตรวจการอยู่ภายใต้การควบคุมของเว่ยเยวียน การที่ผู้ตรวจการจางจัดให้ญาติของตัวเองไปเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็สมเหตุสมผลดี…’

งานเลี้ยงอาหารค่ำสิ้นสุดลงท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยมิตรไมตรี คนรับใช้ยกผีผาสีเข้ม ลูกใหญ่มาจานแล้วจานเล่า

ฤดูนี้ยังมีผีผาอีกหรือ สวี่ชีอันหยิบผีผาลูกที่ไม่สดมากเท่าไรขึ้นมา ปอกเปลือกแล้วชิม รสเปรี้ยวอมหวาน รสชาติไม่เลว ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีเมล็ด

“ใต้เท้าผู้ตรวจการลองชิมสิขอรับ บอกได้เลยว่าผีผาของอวิ๋นโจวยอดเยี่ยมที่สุด สุกในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน เมืองหลวงไม่มีผีผาที่รสชาติดีเช่นนี้อย่างแน่นอน”

“หลังจากผีผาสุกแล้ว ก็จะถูกเก็บไว้ในห้องเย็น และจะคัดลูกที่เสียออกทุกๆ สิบวัน ตอนนี้ เหลือไม่มากแล้วขอรับ” ซ่งฉางฝู่ สมุหเทศาภิบาลซ่งหยิบมาสองสามลูกด้วยท่าทางกระตือรือร้น และวางไว้เบื้องหน้าผู้ตรวจการจาง

ผู้ตรวจการจางกินไปลูกหนึ่ง ก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “ไม่มีเมล็ดจริงๆ ด้วย”

สมุหเทศาภิบาลซ่งหัวเราะโดยไม่พูดอะไร ส่วนขุนนางคนอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะเช่นกัน

ผู้ตรวจการจางค่อนข้างประหลาดใจมากทีเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กินผีผาไร้เมล็ด เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เขาพูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่า

“ในโลกนี้มีผีผาไร้เมล็ดอยู่จริงๆ ด้วย วิเศษ วิเศษมาก”

เรื่องแค่นี้เอง ถ้าเจ้าได้กินแตงโมไร้เมล็ด จะไม่ตื่นเต้นจนหลั่งน้ำตาเป็นสายฝนเลยหรือ สวี่ชีอันคิดในใจ

“ผีผาไร้เมล็ดนี้เป็นพันธุ์พิเศษของอวิ๋นโจวหรือ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” ผู้ตรวจการจางเอ่ย

“ไม่ใช่ขอรับ แต่เป็นเพราะว่าต้นผีผาได้รับอานิสงส์จากกลิ่นธูปของวัดไป๋ตี้ จึงออกผลเป็นผีผาไร้เมล็ด” สมุหเทศาภิบาลซ่งยิ้มแล้วพูด

“ถูกต้อง ถูกต้อง นี่คือของมงคลจากอวิ๋นโจวของข้า”

“เดิมทีอวิ๋นโจวก็เป็นสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ ได้รับการดูแลจากไป๋ตี้ ทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล”

เหล่าขุนนางต่างคุยโม้โอ้อวดกันใหญ่ ร่วมมือร่วมใจกันกรอกหูผู้ตรวจการจางให้คิดว่า ‘อวิ๋นโจวคือดินแดนมงคล’ อย่างขันแข็ง

ผู้ตรวจการจางตกอยู่ในภวังค์ เมื่อเขาได้ชิมรสแล้ว แต่ไม่อาจเดาได้ว่าความลึกล้ำของผีผาไร้เมล็ดนั้นอยู่ตรงไหน จึงระมัดระวังไม่ได้โต้แย้งออกไป

สมุหเทศาภิบาลซ่งปอกเปลือกผีผาอีกลูก แล้วยื่นให้ และถามด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้าผู้ตรวจการ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ขอรับ”

…ผู้ตรวจการจางกล่าวด้วยความจนใจว่า “ที่ใต้เท้าท่านซ่งกล่าว…”

“ใต้เท้าซ่งพูดไม่ถูกขอรับ” สวี่ชีอันเอ่ยปากตัดบทในทันใด

ขุนนางที่โต๊ะเจ้าภาพและโต๊ะอื่นๆ ต่างหันมาจ้องสวี่ชีอันเป็นตาเดียว

หลี่เมี่ยวเจินที่กำลังก้มหน้ากินอาหารอยู่นั้นนึกดูแคลนในใจ นางรู้เหตุผล แต่ตอนนี้นางอยู่ฝ่ายทางการของอวิ๋นโจว ดังนั้นจึงไม่ได้เปิดโปงสมุหเทศาภิบาลซ่ง

นางเงยหน้าขึ้น จ้องมองสวี่ชีอันที่พูดจาโอหัง อยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไร

สมุหเทศาภิบาลซ่งขมวดคิ้ว มองดูฆ้องทองแดงที่ถูกตนเพิกเฉยไปแล้ว และพูดด้วยรอยยิ้มเช่นเดิมว่า “ใต้เท้าท่านนี้มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือขอรับ”

สวี่ชีอันวางแก้วเหล้าลง เคี้ยวอาหารในปากช้าๆ กลืนลงคอ จากนั้นจึงหยิบผีผาขึ้นมาลูกหนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า

“หลักการนั้นง่ายมาก แค่ดึงหนวดตรงกลางเกสรออกในช่วงที่ผีผากำลังออกดอก ผลของผีผาก็จะไม่มีเมล็ดแล้ว”

“ใต้เท้าสมุหเทศาภิบาล ข้าน้อยพูดถูกต้องหรือไม่ขอรับ”

งานเลี้ยงตกอยู่ในความเงียบทันที บรรดาขุนนางต่างมองเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

สีหน้าของสมุหเทศาภิบาลเหม่อลอยทันที

…………………………………..

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท