มีเพียงลูกสี่ของตระกูลตระกูลเทวเทพ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ถามอย่างไม่สบายใจว่า: “คุณท่านไม่อยู่ ท่านก็ให้คนเฝ้าไว้บนยอดเขาแน่ แล้วพวกเราจะมีโอกาสเขาไปได้อย่างไร”
“ทำไมจะไม่มีหล่ะ? พี่รองของนายต้องจักการเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน!!”
ทันทีที่พูดจบ ภรรยาของวุฒิพลก็พูดขัดจังหวะพวกเขาขึ้นมาอย่างดุดัน
ตอนนี้งานเลี้ยงใกล้จะเลิกลาแล้ว
พวกเขาแค่รอวันที่16 จะมาถึง…
แน่นอนว่าทรงกลดต้องมีวิธีทำให้คนของตัวเองขึ้นไปยอดเขาหลังจากที่ไชยันต์ออกไป ล้วนแล้วแต่เป็นคนตระกูลเทวเทพทั้งนั้น ใครจะไม่มีหูมีตาอยู่ที่นั่นหล่ะ?
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดคือในวันที่16 เขายังไม่ทันได้ลงมืออะไรเลยก็เหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้พวกเขาตกตะลึง คือเกิดเรื่องในตระกูลเทวเทพอีกแล้ว
“นายพูดอะไร?พูดอีกครั้งสิ?นายบอกว่าใครตายนะ?!!”
“อาจารย์หญิงทำใจดีๆก่อน ฉันก็เพิ่งได้ยินข่าวจากกองทัพมานิดหน่อยจึงรีบวิ่งมาบอกเธอ พวกเขาบอกว่าครูเสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการป่วยเฉียบพลัน”
ทหารหนุ่มที่มาสวนแมกโนเลียในตอนเช้าตรู่ เมื่อเห็นภรรยาของวุฒิพลเขาบอกข่าวร้ายให้หล่อนอย่างกล้ำกลืน
เมื่อภรรยาของวุฒิพลได้ยินเธอก็แทบจะเป็นบ้า!
“โรคเฉียบพลันอะไร? อาจารย์ของนายจะมีโรคเฉียบพลันได้อย่างไร? เขามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และเขาก็ยังมีอายุไม่ถึงห้าสิบเลย เขาจะมีโรคเฉียบพลันได้ยังไง?”
เธอพูดอย่างรุนแรง ไม่ยอมเชื่อข่าวร้ายนั้นเลย
แน่นอนว่าด้วยสุขภาพที่แข็งแรงของวุฒิพลและอายุของเขาแล้ว มันยากที่จะให้เชื่อได้
แต่ว่าเขาตายไปแล้ว
เช้าตรู่ของวันที่16 เขาได้เสียชีวิตในห้องขังของเขา ขณะที่เขากำลังจะสิ้นสุดการถูกคุมขัง
แล้วภรรยาของวุฒิพล ก็วูบเป็นลมไปทันที
ทรงกลดตกตะลึงนิ่งอยู่ตรงนั้นหลังจากได้ทราบข่าวนี้ เขารีบร้อนใจไปที่กองทหารโดยไม่ได้สนใจแผนการฆาตกรรมที่วางในวันนี้เลย
เมื่อเขาไปถึงที่นั่นก็เห็นเพียงศพของวุฒิพลแล้ว
“ร้อยเอกทรงกลดเสียใจด้วยครับ ตอนที่เห็นเขาพวกผมได้พยายามยื้อชีวิตของเขาจนวินาทีสุดท้ายแล้ว แต่ก็ยังมาช้าไป” เจ้าหน้าที่ทหารที่เห็นเขาทำได้เพียงกล่าวขอโทษเขาด้วยความเสียใจ
ถูกขังอยู่ในห้องคุมขัง และยังเป็นลมและมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
นอกจากปัญหาด้านสุขภาพของตัวเองแล้วจะมีปัญหาอะไรได้อีกหล่ะ?
ทรงกลดมองดูศพแม้ตายศพก็ยังเป็นม่วงคล้ำ และเขาทรุดตัวลง
“ไม่จริง ไม่! พ่อของฉันไม่ได้ป่วยตายแน่นอน พ่อของฉันคงถูกใครบางคนฆ่าตายแน่ ต้องเป็นไอ้บ้าคนนั่นแน่!!”
ทันใดนั้น จูเน่ที่ได้รับอนุญาตให้มาหาพ่อของเธอเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นพ่อที่ไร้ลมหายใจของเธอนอนอยู่บนพื้นหลังจากที่ถูกพามาที่นี่ เธอกรีดร้องเหมือนอย่างคนบ้าขึ้นมาทันที
คนที่คุมตัวเธอมาได้รั้งเธอไว้
“จูเน่ หยุดนิ่งอย่าขยับ อย่าลืมว่าคุณยังเป็นนักโทษประหารอยู่!”
“ไม่ ไม่… ฉันขอร้อง ให้ชันสูตรศพพ่อของฉันด้วย พ่อต้องไม่ตายด้วยการเป็นโรคแล้วป่วยตายแน่ พ่อของฉันไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร เขาไม่มีทางที่ป่วยตาย ฉันขอร้องหล่ะ”
เพื่อที่จะหาสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตของพ่อเธอ ผู้หญิงคนนี้จึงคุกเข่าลงต่อหน้าคนสองคนที่คุมเธอไว้ และก้มหัวกราบอย่างไม่หยุด
สองคนนี้:“……”
เมื่อทรงกลดเห็นอย่างนั้นก็ได้สติขึ้นทันทีทันใด เขาจึงรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “ใช่ ต้องชันสูตร ฉันก็ไม่เชื่อว่าเขาจะป่วยตาย อย่างไรก็ตาม เราต้องรู้สาเหตุที่แท้จริงของการตายของพ่อ ”
เขายังร้องขออย่างหนัก
ไม่มีทางเลือก ญาติของทหารต่างก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น และในที่สุด หลังจากขอคำแนะนำจากผู้บังคับบัญชา พวกเขาก็ตกลงที่จะชันสูตรศพของ วุฒิพล
ผลที่ได้คือสิ่งที่ไม่มีใครคิดก็คือ เมื่อ วุฒิพลนอนอยู่บนโต๊ะชันสูตรศพ เมื่อผ่าศพถออก พวกเขาพบว่าอวัยวะภายในช่องท้องของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำจริงๆ
สีนั้นเปรียบเสมือนสีม่วงคล้ำที่ปรากฏบนร่างกายมนุษย์หลังจากที่ถูกรัดคอจนขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?
แผนกนิติวิทยาศาสตร์ต่างก็ตกตะลึงอึ้งกันหมด
และเมื่อจูเน่เห็นศพ เธอก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง “ฉันบอกแล้วว่า พ่อฉันไม่ได้ป่วยตาย เขาถูกฆ่าตาย แสนรักไอ้สารเลว ฉันจะไม่ปล่อยแกไว้แน่! !”
เธอกรีดร้องจนสุดกำลัง ดวงตาของเธอก็แดงก่ำ
เมื่อไชยันต์ที่อยู่ในไวท์ พาเลซได้ยินข่าวนี้ ก็ช้าเกินไปแล้ว กรมทหารทั้งหมดรู้เรื่องนี้แล้วและเกิดความโกลาหลขึ้นมากมาย
“ได้ยินมาว่าคุณชายเล็กที่ตระกูลเทวเทพเพิ่งพาเข้าบ้านเป็นคนฆ่าพันโทม็อกกี้?”
“จริงด้วย ฉันก็เพิ่งได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่น่าเชื่อเลย เขาฆ่าได้ยังไง พันโทม็อกกี้อยู่ในที่ห้องคุมขังไม่ใช่เหรอ? แล้วเขาจะวิ่งมาฆ่าถึงที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันก็ยังคิดไม่ออก”
“อาจเป็นเพราะเขาแอบเข้ามา ฉันได้ยินมาว่าเขาเก่งกาจมาก ในอดีตเขาก็เป็นคนฆ่า ม็อกกาและ ม็อกกี้รวมทั้ง จูเน่ด้วย เขาถูกส่งตัวไปที่ศาลทหารและถูกจับกุมและถูกตัดสินประหารชีวิต”
“จริงเหรอ?”
ประโยคสุดท้ายนี่ช่างน่าหวาดกลัวจริงๆ
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที แสนรักก็กลายเป็นปีศาจในกองบัญชาการทหารแห่งนี้
สำหรับตระกูลเทวเทพ สีหน้าหน้าก็จากหายไป
ไชยันต์เข้ามาด้วยความโกรธและเห็นกองบัญชาการทหารที่รกร้างกระจัดกระจาย เช่นเดียวกับศพวุฒิพลที่นอนอยู่ที่นั่น ซึ่งยังไม่ได้เย็บเลย เขาโกรธมากจนร่างกายของเขาสั่นสะท้าน