ตอนที่ 914 ปะทะอวี่หลิงคง
พรูด!
หลินสวินไม่ทันตั้งตัว แม้อาศัยก้าวย่างชือน้ำแข็งหลีกหลบหวุดหวิด แต่ยังถูกกวาดโดนไหล่ โลหิตแดงสดสาดกระจาย
เขาถึงเห็นว่าคู่ต่อสู้คือซางเจี่ย ทั่วร่างอีกฝ่ายจิตต่อสู้เร้าระทึก มือถือทวนสุวรรณเล่มหนึ่ง ข่มขู่ผู้คนดุจเทพสงคราม
เล่าลือว่าซางเจี่ยพรสวรรค์โดดเด่นแต่กำเนิด กลางฝ่ามือมีลายมรรคสีทองปริศนา ทวนสุวรรณในมือก็วิวัฒน์จากลายมรรคนี้ เป็นที่เลื่องลือว่าไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้ เฉียบคมหาใดเปรียบ
การประลองกับอวี่หลิงคงก่อนหน้า ซางเจี่ยก็แสดงศักยภาพไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้เขากลับหันปลายทวนจ่อหลินสวิน
“หาเรื่องรึ” นัยน์ตาหลินสวินวาบไอสังหาร เจ้าหมอนี่จู่โจมกะทันหันจนไหล่ตนปอกเปิก ทำให้เขาบันดาลโทสะ
“หากเป็นไปดังคาด หลังเทศกาลโคมกถามรรคสิ้นสุด เผ่าข้าจะไปสู่ขอกับเผ่าหงส์เขียวให้ชิงเหลียนเอ๋อร์มาเป็นภรรยาข้า ตอนนี้สังหารเจ้าแล้วก็สามารถนำมาเป็นสินสอด แสดงความจริงใจของข้าได้”
คำตอบของซางเจี่ยง่ายดายนัก เฉยชาและอำมหิต
“ที่แท้เพื่อชิงเหลียนเอ๋อร์” หลินสวินกล่าวกับตนเอง
ไม่ช้าทั้งสองก็รบพุ่งเปิดฉากต่อสู้
ตูม!
การต่อสู้ดุเดือดเริ่มขึ้น ทว่าผ่านไปไม่นานซางเจี่ยก็หลั่งโลหิต ถูกดาบหักเฉือนบ่า ตัดแขนเขาข้างหนึ่งเกือบขาด
ทว่าชั่วพริบตาอาการบาดเจ็บของซางเจี่ยก็ฟื้นคืนดังเดิม แสดงพลังฟื้นฟูอันน่าพรั่นพรึงหาใดเปรียบ
แววตาหลินสวินลุ่มลึกเยียบเย็น ตระหนักได้ว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่ถูกประเมินต่ำเกินไป ความแกร่งของพลังเทียบกับพวกมู่เจี้ยนถิง จงหลีอู๋จี้ ซาหลิวฉานแล้วมีแต่จะเหนือกว่า
“หากเจ้ามีฝีมือเพียงเท่านี้ ประเดี๋ยวก็ฆ่าเจ้าได้แน่!”
ซางเจี่ยไม่สู้ต่อ เลือกที่จะถอย ปีนป่ายสู่ยอดแท่นมรรคจากอีกฝั่ง เขารู้ดีว่าไม่อาจสังหารหลินสวินในเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่คิดถูกรั้งอยู่ที่นี่
“บ้าระห่ำเสียจริง…” แววตาหลินสวินเยียบเย็น สะกดข่มความวู่วามอยากไล่ล่า อีกฝ่ายไม่คิดเซ้าซี้ เขาก็ไม่อยากถูกถ่วงเวลาเช่นกัน
ศุภโชคอันดับหนึ่งอยู่บนยอดแท่นมรรค เปรียบเทียบกันแล้วเรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องเล็ก
ไม่นานนักหลินสวินก็พบ ‘คนคุ้นเคย’ อีกคน…
มู่เจี้ยนถิง!
เมื่อเห็นหลินสวินเข้ามาใกล้ มู่เจี้ยนถิงพลันหน้าเปลี่ยนสี ไม่รอหลินสวินลงมือก็ถอยหลีกห่างไกล
เห็นชัดว่าการปราชัยในมือหลินสวินครั้งก่อนทำให้เขาเกิดเงามืด หวาดกลัวหาใดเปรียบ ไม่กล้าเผชิญหน้าหลินสวินสักนิด
หลินสวินไม่ใส่ใจผู้พ่ายแพ้คนนี้ มุ่งหน้าต่อไป
นี่คือเส้นทางโลหิตสู่ศุภโชคอันดับหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย บุคคลแห่งยุคทั้งหมดกำลังเข่นฆ่าโรมรัน เปิดฉากศึกนองเลือด
ระหว่างทางแม้แต่ตัวหลินสวินยังเปื้อนโลหิตอย่างไม่อาจเลี่ยง แค่คิดก็รู้ว่าการต่อสู้บ้าระห่ำระดับใด
สุดท้ายหลินสวินก็ก้าวสู่เบื้องบน แต่แรงกดดันกลับมากขึ้น เพราะแทบจะในเวลาเดียวกัน เหล่าบุคคลแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา ซางเจี่ย ซื่ออวิ๋นก็ทยอยมาถึง
แต่เมื่อถึงยอดแท่นมรรคเข้าจริง ความขัดแย้งกลับยุติลงชั่วคราว ต่างฝ่ายต่างรีบคุมเชิง ระมัดระวังตัว
โต๊ะเก่าแก่ตั้งอยู่ใจกลาง วางระฆังสำริดไว้ด้านบน ประทับลายมหามรรคแน่นขนัด แสงเขียวเจิดจรัสไหลเวียน
นี่ก็คือศุภโชคอันดับหนึ่ง มีแรงดึงดูดที่ทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดในโลกหล้าต่างไม่อาจต้านทาน
แต่เช่นเดียวกัน หากหมายช่วงชิงศุภโชค ก็ต้องเผชิญกับอันตรายถึงชีวิต
แทบทุกคนต่างรู้ดี ใครกล้าพุ่งออกไปเป็นคนแรก ต้องตกเป็นเป้าถูกผู้แข็งแกร่งอื่นรุมโจมตี!
ดังนั้นจึงไม่มีคนกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
“ข้ามีข้อเสนอ สังหารหลินสวินก่อน จากนั้นพวกเราค่อยแข่งชิงระฆังสำริด ทุกท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร”
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด อวี่หลิงคงเอ่ยปาก กวาดมองเหล่าผู้กล้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย สุดท้ายจึงมองไปยังหลินสวิน
เพียงชั่วขณะสายตาบุคคลแห่งยุคอย่างมู่เจี้ยนถิง ซางเจี่ย หลี่ชิงฮวนต่างเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก คล้ายเห็นด้วยอยู่บ้าง
“แน่นอนว่าพวกเราไม่คัดค้าน”
เวลานี้นอกจากอวี่หลิงคง ยังมีผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะสามคนรวมไป๋หลิงซีอยู่ด้วย เมื่อได้ยินข้อเสนอของอวี่หลิงคง สองคนในนั้นก็รับคำโดยไม่ลังเล
ส่วนไป๋หลิงซีกลับเม้มริมฝีปากแดงอวบอิ่มไม่เอื้อนเอ่ย ดวงหน้างามประณีตผุดผ่องคล้ายนิ่งสงบ แท้จริงภายในใจกลับวิตกกังวลอย่างที่สุด
นางนึกไม่ถึงว่าทันทีที่ขึ้นสู่แท่นมรรค อวี่หลิงคงก็ชิงหาเรื่องหลินสวิน ซ้ำยังคิดร่วมมือกับคนอื่นมาจัดการหลินสวิน!
และยังมีบางคนที่เงียบสนิท เฉกเช่นพวกจี้ซิงเหยา ลั่วเจีย ซื่ออวิ๋น
แต่ไม่ว่าอย่างไร เพราะประโยคเดียวของอวี่หลิงคง เพียงชั่วขณะก็ผลักหลินสวินมาถึงปากเหว สถานการณ์อันตรายยิ่ง
“ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะมีน้ำยาแค่นี้หรือ สังหารข้าหลินสวินคนเดียวยังต้องยืมมือคนอื่น ดูท่าเจ้าอวี่หลิงคงก็ไม่เท่าไหร่”
หลินสวินยิ้มเยาะ นัยน์ตาดำขลับล้ำลึกเยียบเย็น
“ไร้เดียงสา! ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าถ่วงเวลาชิงศุภโชคของทุกคนก็เท่านั้น” อวี่หลิงคงสวมชุดหยกทั้งตัว ผมดำแผ่สยาย แววตาเย็นชาไร้ปรานี
“ไร้สาระ หากไม่ใช่ว่าเจ้าอวี่หลิงคงเกรงกลัว ยังต้องเสนอความคิดไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาด้วยหรือ” หลินสวินไม่ปกปิดการดูแคลนของตนแม้แต่น้อย
ทั้งสองต่างฝ่ายต่างคุมเชิง สุดท้ายก็ปะทะกัน!
คนหนึ่งคือเอกบุคคลรุ่นเยาว์แห่งแดนพิสุทธิ์อมตะในแดนกาฬทักษิณ ชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ก่อนแล้ว รากฐาน พลังต่อสู้ ฝีมือ ล้วนเรียกได้ว่าเหนือยุคสมัย ข่มคนรุ่นเดียวกันจนโงหัวไม่ขึ้น
อีกคนคือเทพมารหลินผู้เพิ่งผงาดกร้าวจากทางสังหารนองโลหิตในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เคยกำราบผู้กล้ามากมาย สำแดงพลานุภาพยิ่งใหญ่
ไม่ต้องสงสัยเลย การเผชิญหน้าของบุคคลแห่งยุคทั้งสองนี้เป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง
เคร้ง!
อวี่หลิงคงดีดนิ้วใส่กระบี่มรรคในมือเบาๆ คมกระบี่แววกระจ่างดุจหยกเปล่งแสงเจิดจ้า เยียบเย็นบาดตา น่าพรั่นพรึงหาใดเปรียบ
“ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ ตอนนี้ข้าก็จะฆ่าเจ้าซะ เลี่ยงไม่ให้เจ้าตายตาไม่หลับ” อวี่หลิงคงเอ่ยปาก ราบเรียบนิ่งสงบ ไม่มีคลื่นความรู้สึกแม้เศษเสี้ยว
เขาโดดเด่นอย่างแท้จริง สภาวะจิตดั่งหินผา นี่คือความทะนงตนที่เก็บซ่อนไว้ คือความสง่างามผงาดง้ำอันไร้คู่ต่อกร
บรรยากาศบนแท่นมรรคกดดันตึงเครียด จิตใจทุกคนล้วนถูกดึงดูด
ต่อหน้าศุภโชคอันดับหนึ่ง อวี่หลิงคงกลับเพ่งเล็งหลินสวินหมายสยบกำราบ นี่ช่างเกินคาดหมาย แต่ลองคิดดูโดยละเอียดก็สมเหตุสมผล
เพราะเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ดำเนินมาถึงช่วงเวลาสุดท้ายของการแบ่งแยกแพ้ชนะแล้ว
อีกทั้งตอนแรกที่ริมฝั่งทะเลปรวนแปร อวี่หลิงคงเคยออกปากเองว่าจะสังหารหลินสวินกับมือ!
“ว่ากันตามจริง ข้าทนเจ้ามานานแล้ว ยั่วยุกันครั้งแล้วครั้งเล่า คิดหรือว่าตนสูงส่งไร้คู่ต่อกร สามารถทำตามอำเภอใจได้”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉยเช่นกัน อีกทั้งน้ำเสียงจริงจังอย่างยิ่ง “ในเมื่อเจ้าส่งตัวเองมาถึงที่ เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าสมปรารถนา ส่งเจ้าสู่ทางมรณา”
ฟุ่บ!
ห้วงอากาศสั่นระรัวรุนแรง อวี่หลิงคงไม่พูดมากความอีก กระชับกระบี่มรรคซึ่งเปี่ยมกลิ่นอายโบราณพุ่งสังหารเข้ามา
เสมือนสายฟ้าเจิดจ้าสายหนึ่งสาดส่องฟ้าดิน
พลังเจตจำนงแห่งมรรคไร้สิ้นสุดดั่งกระแสวารี ในเจตกระบี่อันดุดันสะท้อนลักษณ์ประหลาดสะเทือนใต้หล้ามากมาย ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต
เจตกระบี่สายหนึ่ง ทันทีที่ออกจู่โจมก็มีพลังช่วงชิงฟ้าดิน สง่างามไร้เทียมทาน พาให้สรรพสิ่งต่างหม่นมัว!
แววตาหลินสวินลุ่มลึก พลังขับเคลื่อนพลังทั่วร่างโคจร เขาในตอนนี้ผลักดันพลังแห่งตนถึงขีดสุด ใช้ดาบหักมารับศึก
ปัง!
กลางอากาศราวกับมีอสนีเทพระเบิดออก แท่นมรรคสั่นคลอนส่งเสียงกระหึ่ม เจตกระบี่และแสงดาบชวนประหวั่นแผ่คลุม เต็มไปด้วยปรากฏการณ์ทำลายล้าง
พริบตานั้นทั้งสองห้ำหั่นกันราวตะวันจันทราแข่งกันเจิดจ้า ทั้งคล้ายคีรีเทพดึกดำบรรพ์ปะทะกันหนักหน่วง
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นต่างนัยน์ตาหดรัดลง ถอยหลีกตามสัญชาตญาณ ไม่อยากถูกดึงเข้าไปเอี่ยว
ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะสองคนนั้นเตรียมพร้อมจู่โจม ตั้งท่าคอยจังหวะ คล้ายอยากเข้าไปร่วมมือกับอวี่หลิงคงสังหารหลินสวิน
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้บุกโจมตี เพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่า ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาช่วยอวี่หลิงคงก็สามารถกำจัดหลินสวินได้อย่างง่ายดาย
พวกเขารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของอวี่หลิงคงดี ทั่วแดนกาฬทักษิณล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลแห่งยุคผู้เจิดจรัสที่สุด
เมื่อเห็นอวี่หลิงคงออกโจมตีเพียงคนเดียว ไป๋หลิงซีก็ลอบเป่าปากโล่งอก แต่ไม่ทันไรนางก็อดห่วงไม่ได้ เป็นกังวลเพราะนางรู้ว่าอวี่หลิงคงน่ากลัวระดับใด หลินสวิน… จะสามารถรับมือได้จริงหรือ
จี้ซิงเหยาในชุดกระโปรงสีพื้น เยียบเย็นดุจหิมะ รูปร่างสง่าไร้มลทิน นัยน์ตากระจ่างของนางอบอวลประกายอัศจรรย์ชวนประหวั่น จ้องมองสองคนที่กำลังประลองกัน บนหน้างามสง่าหาใดเปรียบราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์
อีกฟากหนึ่ง ลั่วเจียยืนนิ่ง ทั่วร่างนางไหลบ่าด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ดุจหงส์เซียน เหนือศีรษะแจกันวิเศษลอยเด่น ประกายอัศจรรย์อบอวลอาบไล้ร่างนาง พาให้คนยำเกรง
นอกจากนี้คนอื่นๆ อย่างซางเจี่ยผู้ที่มีพรสวรรค์แปลกประหลาด กลางฝ่ามือแฝงลายมรรคสีทองแต่กำเนิด ซื่ออวิ๋นผู้กล้าแห่งยุคเผ่ามารรัตติกาล หลี่ชิงฮวน มู่เจี้ยนถิง ต่างกำลังจับจ้องพร้อมตะครุบ แววตาดุจอสนี
ทว่าที่พวกเขาใส่ใจมากกว่าคือศุภโชคอันดับหนึ่งบนโต๊ะซึ่งอยู่ไม่ไกล!
เวลานี้อวี่หลิงคงประลองกับหลินสวิน ทั้งคู่ต่างไร้เวลามาสนใจ นี่คือโอกาสดีในการช่วงชิงศุภโชคโดยไม่ต้องสงสัย
ตูม!
ศึกใหญ่กำลังระอุ หลินสวินกร้าวแกร่งผงาดผยองดุจเทพมารอุบัติโลก ดาบหักถูกกระตุ้นจนขาวเจิดจ้าดั่งภาพฝัน ไอสังหารมืดฟ้ามัวดิน
แต่อวี่หลิงคงแข็งแกร่งยิ่งกว่า เขาราวถอดแบบอริยเทพ ระหว่างขยับตัวเจตกระบี่ครวญคร่ำ คมกระบี่ฉายแสงเจิดจ้าแสบตาถึงขีดสุด
เวลานี้ในที่สุดก็มีคนลงมืออย่างอดไม่อยู่ เป็นซื่ออวิ๋นเผ่ามารรัตติกาล หมายฉวยโอกาสชิงศุภโชคอันดับหนึ่ง
สวบ!
แทบจะในเวลาเดียวกัน จี้ซิงเหยาก็ขยับก้าวพลิ้วไหว ไม่เจือกลิ่นอายธุลีแม้เศษเสี้ยว ว่องไวยิ่งกว่าซื่ออวิ๋น
แต่ระหว่างทางนางก็ถูกขัดขวาง
เป็นมู่เจี้ยนถิงและหลี่ชิงฮวน ทั้งคู่ไม่ได้ช่วงชิงศุภโชคแต่ตีขนาบจี้ซิงเหยาจากต่างทิศ
นัยน์ตากระจ่างของจี้ซิงเหยาหดรัด เพียงพริบตาก็มองออก เจ้าสองคนนี้เห็นชัดว่าร่วมมือกับซื่ออวิ๋นอยู่ก่อนแล้ว ให้ซื่ออวิ๋นไปชิงศุภโชค ส่วนพวกเขารับหน้าที่ขวางคนอื่น!
“ลงมือ!”
แต่จี้ซิงเหยาไม่ลนลาน มุมปากกลับปรากฏความเยียบเย็น
เมื่อนางเอ่ยปาก ลั่วเจียที่ยืนนิ่งมาตลอดเงาร่างพลันวาบไหว เคลื่อนย้ายกลางอากาศดุจหงส์เซียนทะยานนภา พุ่งจากด้านหลังเข้ามาขัดขวางซื่ออวิ๋น!
เห็นชัดว่าจี้ซิงเหยาและลั่วเจียก็แอบร่วมมือกัน
การเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝันเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด สามารถทำให้ใครก็ตามตกตะลึงอ้าปากค้าง ใครเล่าจะคาดคิด เหล่าบุคคลแห่งยุคต่างเลือกร่วมมือกันโดยไม่ได้นัดหมาย?
เท่านี้ก็เห็นแล้วว่าสถานการณ์ล่อแหลมเกิดคาดระดับใด หากพลาดเพียงก้าวก็มีโอกาสพบจุดจบ ร่างแหลกกระดูกป่น กายสิ้นมรรคสลาย!
………….