ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายโดยไม่รู้ตัว:“ท่านอ๋อง เรื่องเช่นนี้ปฏิบัติมากเกินไปจะทำร้ายร่างกายนะเพคะ หม่อมฉันไม่ดูตาม้าตาเรือ เป็นหม่อมฉันที่……”
ปากเล็ก ๆ ของนางพูดเจื้อยแจ้วจนเขาทนไม่ไหว จึงถือโอกาสจะปิดกั้นเสีย
พูดจาไร้สาระมากความเช่นนั้นก็เพราะต้องการให้เขาออกไป
เขารู้สึกว่านางได้ผลประโยชน์แล้วจะไม่รับผิดชอบผลที่ตามมา และต้องการจากไป
ดีเช่นนั้นที่ไหนกัน
ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งจะเข้าใจว่าติดค้างแล้วก็ย่อมต้องคืน
แต่ก่อนที่ฉีเฟยอวิ๋นจะถูกโยนออกไป นางยอมตายดีกว่ายอมก้มหัวให้ และไม่ยอมที่จะเข้าใกล้
“ข้าไม่อยากใช้กำลัง”
หนานกงเย่ทำหน้าบึ้งตึง เรื่องนี้ไม่ทำไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นกอดผ้าห่ม:“มีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องพูดเพคะ”
“พูดไปพลางทำไปพลาง” หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว
“เช่นนั้นก็ว่ามา”
“วันนั้นที่ท่านกับจวินฉูฉู่อยู่ที่ตำหนักข้างในวัง ตอนที่หม่อมฉันเข้าไปทรงกำลังทำอะไรกันอยู่เพคะ ?” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกไม่สบายใจ หากไม่ได้มีอะไรกันก็แล้วไป แต่ในตอนนี้ต้องถามเรื่องนี้ให้ชัดเจน นางกลุ้มใจทุกครั้งที่นึกขึ้นได้
หนานกงเย่นึกขี้นได้และไม่อยากปิดบัง:“วันนั้นพระชายาตวนมาเยี่ยมข้า นางบอกว่ามีเรื่องที่อยากจะคุยกันตามลำพัง และข้าก็อยากฟังว่านางอยากจะพูดอะไร จึงตอบตกลง”
“หือ ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เชื่อ
หนานกงเย่ไม่สบอารมณ์:“วันนั้นร่างกายของข้าเป็นเช่นนั้น มีอะไรน่าสงสัยกัน ?
“อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าของนางขาดรุ่งริ่ง และร่างกายของท่านก็เปลือยเปล่า หากท่านบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแค่พูดคุยกัน แค่พูดคุยกันท่านต้องถอดเสื้อผ้า และเสื้อผ้าของนางต้องขาดรุ่งริ่งด้วยหรือ
พวกท่านเป็นน้องสามีกับพี่สะใภ้ ไม่กลัวว่าหากเรื่องแพร่กระจายออกไปจะทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียและถูกครหาให้อับอายหรือ ?” ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ
“ข้าประพฤติตนเหมาะสม เรื่องวันนั้นข้าสามารถสาบานได้ หากสิ่งที่ข้ากล่าวในวันนั้นไม่เป็นความจริง ข้ายอมให้ม้าห้าตัวแยกข้าออกเป็นชิ้น ๆ อย่างทุกข์ทรมาน บ้านเมืองและตระกูลพังพินาศย่อยยับ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกดีขึ้น:“ท่านไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีจริง ๆ หรือ ?”
“จริง ๆ ” หนานกงเย่ยกผ้าห่มขึ้นและแทรกตัวเข้าไปข้างใน ฉีเฟยอวิ๋นไม่ปฏิเสธ และทั้งสองก็แนบชิดอิงแอบกัน
แต่ไม่มีใครรีบร้อน ฉีเฟยอวิ๋นยังคงมีบางอย่างจะพูด
“หากมีอะไรก็ถามให้ชัดเจนในวันนี้ เพราะวันหน้าข้าอาจจะไม่พูด” หนานกงเย่ก็ตั้งใจที่จะชี้แจงเรื่องนี้ให้ชัดเจน เก็บไว้ก็จะเป็นมูลเหตุแห่งความหายนะ
“แล้วพวกท่านถอดเสื้อผ้ากันทำไม ?” ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ
“เจ้า!ข้าไม่ได้สวมเสื้อผ้าแต่แรกแล้ว หรือว่าข้าไม่เคยเปลือยเปล่า ?” ฉีเฟยอวิ๋นคิดอย่างรอบคอบ มันก็เป็นเช่นจริง ๆ เวลาที่นางอยู่เขาก็ไม่ได้ถอดเสื้อผ้ามากเกินไป
“ส่วนพระชายาตวน วันนั้นนางบอกกับข้าว่าที่นางอภิเษกสมรสกับอ๋องตวน เป็นเพราะถูกราชครูจวินบีบบังคับ เธอยังบอกด้วยว่านางทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ข้าไม่ตอบสนอง นางจึงเปิดเสื้อผ้าแล้วหันหลังให้ข้าดู ที่หลังของนางมีร่องรอยของการถูกตี”
ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ:“เช่นนั้นก็แสดงว่าจวินฉูฉู่ยังมีใจให้ท่าน ไม่ช้าก็เร็วคงต้อง……”
“ไร้สาระ นางเป็นพระชายาตวน และเป็นพี่สะใภ้รองของข้า กฎหมายไม่ปรานีใคร ต่อให้ข้าเลอะเลือนก็จะไม่ทำเรื่องเหมือนเช่นบรรพบุรุษอย่างแน่นอน”
นางเป็นพระชายาตวน ข้าเป็นอ๋องเย่ มีความเกี่ยวพันกันเพียงแค่น้องสามีกับพี่สะใภ้เท่านั้น ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้” สีหน้าของหนานกงเย่ดูแน่วแน่ ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ
“เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านไม่ได้คิดอะไรกับนางมานานแล้ว ?”
“คิดอะไรหรือ ?”
หนานกงเย่ประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง:“ข้ากับนางเป็นเพื่อนเล่นกันในวัยเด็ก ไม่ต้องพูดถึงข้าเลย แม้แต่ในเมืองหลวง เกรงว่าจะไม่มีใครคิดว่าพวกเราจะกลายเป็นมาเป็นน้องสามีกับพี่สะใภ้
แต่ข้าไม่ได้เลอะเลือนจนมองไม่เห็นข้อเท็จจริง ”
“ข้อเท็จจริงอะไรเพคะ ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ
“นางปรารถนาตำแหน่งฮองเฮา และข้าจะไม่ขัดขวางอย่างเด็ดขาด”
“แล้วท่านไม่ต้องการจะยึดอำนาจหรือ ?”
“หากข้าบอกว่าไม่ เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ?” หนานกงเย่จ้องมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น และดูเหมือนว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังคิดอะไรอยู่
“หม่อมฉันบอกไม่ได้เพคะ เรื่องของจิตใจยากที่จะคาดเดาได้ ใครจะรู้ว่าดีในวันนี้อาจจะร้ายในวันหน้าก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นการอยู่ในที่ที่มีความรุ่งโรจน์ และมีอำนาจอยู่ในมือ ยังมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกล่ะเพคะ ?” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว
หนานกงเย่ยิ้ม:“ตั้งแต่ต้าเหลียงก่อตั้งขึ้น มีจักรพรรดิสักกี่พระองค์กันที่เป็นผู้ทรงคุณธรรม และผลสุดท้ายเป็นอย่างไร?ล้วนแต่ต้องจากไป การมีชีวิตอยู่อย่างสบายอกสบายใจไม่ดีตรงไหนกัน ตำแหน่งจักรพรรดิที่สูงส่งเช่นนั้น เหน็บหนาวมากแค่ไหน ใครเล่าจะรู้ ?”
“สิ่งที่ท่านกล่าวมาก็ถูก หรือว่าท่านมีใจให้จวินฉูฉู่ นางต้องการตำแหน่งฮองเฮา ท่านก็เลยไม่ต้องการนางแล้ว ?ฉีเฟยอวิ๋นพูดอย่างช้า ๆ
หนานกงเย่ส่ายหัว:“ข้ารู้จักท่านราชครูจวินดี จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะทุบตีนาง แม้จะไม่รู้ว่านางได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร แต่ท่านราชครูจวินไม่ได้ทุบตีนางอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นคนฉลาด และรักใคร่กลมเกลียวกับอ๋องตวนเช่นนั้น นางจะถูกบังคับได้อย่างไร ?”
จู่ ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกประหลาดใจ:“เช่นนั้นท่านก็รู้แล้วว่านางโกหกท่านตั้งแต่แรก ?”
“สตรีที่ฉลาดเกินไปนั้นไม่ดีเลย ข้าหวังให้นางมาเป็นพระชายาของข้า แต่สายน้ำไม่ไหลกลับ ในเมื่อนางสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ”
“ช่างเป็นคนโหดเหี้ยม พวกท่านเหมาะสมกันจริง ๆ นางโหดเหี้ยม ท่านก็โหดเหี้ยมเช่นกัน”
“หากข้าไม่โหดเหี้ยม ข้าจะได้ลิ้มรสของเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร ” หนานกงเย่บีบคางของฉีเฟยอวิ๋น และชอบมากจนวางไม่ลง
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเสียใจภายหลัง:“ไม่ต้องมาวุ่นวายเลยเพคะ หม่อมฉันเหนื่อยมาก และร่างกายก็แย่”
“ข้าไม่สน ในเมื่อข้าชี้แจ้งอย่างชัดเจนแล้ว ข้าก็ควรจะลงมือ และเจ้าก็ต้องปรนนิบัติข้าให้ดี หากเจ้าปรนนิบัติไม่ดีก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่รู้จักหนักเบา และทำร้ายเจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นคิดจะขัดขืนก็สายไปเสียแล้ว นางจึงทำได้เพียงตอบสนองต่อการมาของหนานกงเย่
นางกำลังจะพลิกตัวไปข้างหน้า แต่หนานกงเย่ที่อยู่ด้านหลังไม่มีความนุ่มนวลใด ๆ เลย และใช้ศิลปะการต่อสู้ทั้งสิบแปดท่า
ตกดึกก็นอนพัก และถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาทำต่ออีกครั้ง
ไม่ได้ออกจากห้องเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน และไม่นานเรื่องก็แพร่กระจายออกไปทั่วจวนอ๋องเย่ว่าพระชายาเย่ได้รับความโปรดปรานจากอ๋องเย่แล้ว อายุก็มากพูดไปแล้วก็รู้สึกเขินอาย และอายุน้อยพูดไปแล้วก็รู้สึกหน้าแดง
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาฉีเฟยอวิ๋นได้ยินแต่เรื่องนี้ จนนางไม่กล้าที่จะพบเจอผู้คน นอกจากทำยาอยู่แต่ในห้องแล้ว พอตกกลางคืนก็ถูกหนานกงเย่ทำมิดีมิร้าย
วันนี้ท้องฟ้ามืดช้า และหนานกงเย่ก็กลับตอนมืดแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในจวนอย่างเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่เป็นไร นางทำไพ่กระดาษ และกำลังจะเล่นไพ่กับอาอวี่ หงเถาและลี่ว์หลิ่ว แต่เพิ่งจะเริ่มเล่นก็มีคนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ มีคนถูกพิษที่สวนหลังจวน พระองค์ทรงเสด็จไปดูหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ หมอประจำจวนก็ไม่รู้ว่าคืออะไร” พ่อบ้านรีบกล่าวอย่างเร่งรีบ
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจอะไรและรีบไปที่สวนหลังจวน เมื่อมาถึงสวนหลังจวนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ว่าเป็นแม่นมในจวนที่ถูกพิษ จะว่าไปแล้วแม่นมคนนี้ก็หน้าตาคุ้น ๆ แต่ฉีเฟยอวิ๋นลืมไปแล้วเคยเจอแม่นมคนนี้เมื่อไหร่
“ขอข้าดูหน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าลงและจับมือของแม่นม แม่นมก้มหน้าลงและไม่กล้าที่จะมองฉีเฟยอวิ๋น แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้ถือสา
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มใช้สมาธิและตกตะลึงไปขณะหนึ่ง นางเปิดแขนเสื้อของแม่นมขึ้นเพื่อดู มิน่าล่ะ แม่นมถึงมีแผลที่แขน
“ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ?”
คนในจวนไม่รู้ว่าแม่นมถูกพิษ และเชื่อว่าแม่นมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกพิษ พ่อบ้านบอกว่ามีคนถูกพิษ เพราะเห็นว่าริมฝีปากของแม่นมเปลี่ยนเป็นม่วงคล้ำ เขาจึงคิดว่าแม่นมน่าจะถูกพิษ
แต่แผลที่ถูกซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ มีเพียงแม่นมเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ แม้ว่าจะเห็นแผลแล้ว แต่แม่นมคงจะไม่รู้ว่าตัวเองถูกพิษ
เมื่อได้ยินฉีเฟยอวิ๋นถามเช่นนี้ แม่นมก็ลุกขึ้นและคุกเข่าลงตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น นางร้องไห้ไปพลางโขกศีรษะไปพลาง และขอให้ฉีเฟยอวิ๋นช่วยชีวิต