Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 923

ตอนที่ 923

ตอนที่ 923 ต่อรองราคา
ใต้แท่นมรรค มีผู้แข็งแกร่งบางคนยืนอยู่

ก่อนหน้านี้พวกเขาละทิ้งการช่วงชิงศุภโชค ยังอยู่ด้านล่างต้นโคมสำริดมรรคโบราณ เพียงแต่เมื่อได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นบนแท่นมรรคนั้น ก็อดใจไม่ไหวจนออกมาแล้ว

ที่น่าเสียดายก็คือผนึกต้องห้ามบนแท่นมรรคคลุมเครือ น่าหวาดหวั่นเกินไป ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าใกล้ ทำได้เพียงยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้

“อวี่หลิงคงถูกฟันแล้ว ในหมู่คนรุ่นเยาว์บนโลกนี้ยังมีใครต้านทานก้าวย่างของเทพมารหลินได้ไหม”

“ตำหนักอมตะน่ากริ่งเกรงเกินไปแล้ว สมกับเป็นยอดสมบัติอริยมรรคของแดนพิสุทธิ์อมตะ การโจมตีเมื่อครู่นั้นทำให้เทพมารหลินแทบประสบเคราะห์!”

“เด็กสาวคนนั้นเป็นใคร เหตุใดถึงทรงพลังเช่นนี้”

“นะนะนาง… ถึงกับฆ่าบุคคลแห่งยุคมากมายเพียงนี้!”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น แม้ไม่อาจเข้าใกล้ยอดของแท่นมรรค แต่ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้กลับสามารถมองเห็นการประหัตประหารนองเลือดที่เกิดขึ้นด้านบนนั้นได้รางเลือน

กระทั่งเมื่อเห็นว่าลำพังซย่าจื้อเพียงผู้เดียวสังหารบุคคลแห่งยุคคนแล้วคนเล่าราวกับผักปลา ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ล้วนตระหนก ความหนาวยะเยือกผุดขึ้นมาในหัวใจ ขนพองสยองเกล้า

“ฮ่าๆ เด็กสาวผู้นั้นแข็งแกร่งปานนี้ แต่ดัน… ดันไม่มีคุณสมบัติช่วงชิงศุภโชคอันดับหนึ่ง คราวนี้กลายเป็นเรื่องเศร้าเสียแล้ว”

และเมื่อได้รู้ข่าวนี้ ก็มีคนอดไม่ได้ที่จะมีความสุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์

แต่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นเขาก็หุบปาก นัยน์ตาขยายกว้าง นิ่งงันอยู่ตรงนั้นราวถูกสายฟ้าฟาด ในใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

ไม่เพียงแค่เขา ผู้แข็งแกร่งคนอื่นในที่นั้นต่างพากันเงียบเชียบไร้เสียง แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสียิ่ง เผยความหวั่นเกรงหาใดเทียบ

ในครรลองสายตาของเขาพวกเขา เทพมารหลินกับเด็กสาวลึกลับผู้นั้นรวมถึงไป๋หลิงซี เดินลงมาจากด้านบนแท่นมรรคแล้ว…

หลินสวินไม่สนใจพวกเขา พาซย่าจื้อกับไป๋หลิงซีเดินตรงดิ่งจากไปอย่างรีบร้อน

กระทั่งเงาร่างของพวกเขาหายไป ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ถึงกล้าผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย แต่ละคนต่างมีท่าทางราวยกภูเขาออกจากอก

ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือซย่าจื้อ ต่างใช้ผลการต่อสู้อันเจิดจรัสนองเลือดพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตน ไม่ใช่คนที่พวกเขาเหล่านี้จะกล้าวิจารณ์ต่อหน้าได้!

“ข่าวกระจายออกไปหรือยัง” มีคนเอ่ยปากขึ้นทันใด

“กระจายออกไปแล้ว”

“สามารถคาดการณ์ได้ว่า หลังจากเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ปิดฉาก ยามเทพมารหลินคนนั้นเดินออกไปจากเขาพยับคราม ต้องเผชิญหน้ากับเคราะห์สังหารที่คาดเดาได้ยากอีกครั้งหนึ่งแน่!”

“แต่ว่า นี่เขาไม่ได้ออกไปก่อนหรอกหรือ”

“ไม่ เขาออกไปไม่ได้หรอก เทศกาลโคมธรรมกถามรรคยังไม่ปิดฉากลง ใครก็ไม่อาจออกไปได้!”

……

“พวกเราต้องออกไปให้เร็วที่สุด”

ระหว่างทาง หลินสวินขมวดคิ้วเคร่ง เขารับรู้ได้ถึงความรุนแรงของปัญหาเช่นกัน

เงาร่างซย่าจื้ออ้อนแอ้นอรชร เท้าเปลือยเปล่าของนางราวหยก เดินเคียงไหล่ข้างหลินสวิน ในมือขาวกระจ่างเรียวยาวถือร่มดำคันหนึ่ง มีกลิ่นอายเยียบเย็นสงบนิ่งอันเป็นเอกลักษณ์

“เพียงแต่ อิงตามประสบการณ์ในเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านมา หากการช่วงชิงศุภโชคอันดับหนึ่งไม่ปิดฉากลง พวกเราเหล่าคนที่มาถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณคนไหนก็ออกไปไม่ได้”

คิ้วงามของไป๋หลิงซีมุ่นขึ้นเล็กน้อย อาภรณ์ขาวของนางเปื้อนเลือด ใบหน้าพริ้งเพราใสกระจ่างซีดขาว ดูอ่อนแรงอยู่บ้าง

การต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ทำให้นางได้รับบาดเจ็บอย่างมาก ทั้งอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้ดีไปกว่าหลินสวิน

ยามไป๋หลิงซีพูดก็ชะงักไปเล็กน้อย นางรับรู้ได้อย่างเฉียบคมว่าเด็กสาวลึกลับข้างกายหลินสวินผู้นั้นกำลังประเมินนางอยู่

ไม่ใช่การประเมินอย่างลับๆ แต่เป็นการพินิจพิเคราะห์อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

ในดวงตาจันทร์เสี้ยวสีดำสนิทราวราตรีนิรันดร์คู่นั้น เจือความเฉยชาอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีคลื่นอารมณ์ไหววูบแม้แต่น้อย

นี่ทำให้ไป๋หลิงซีอึ้งไป ออกจะไม่สบายใจเล็กน้อย

และในตอนนี้เอง ซย่าจื้อก็เอ่ยปากแล้ว เสียงกังวานราวกระดิ่งกระทบกัน “เจ้ากับหลินสวินมีความสัมพันธ์เช่นไรกัน”

วาจาเช่นนี้เดิมทีควรเป็นคำถามส่วนตัวนัก อีกทั้งต่อให้เอ่ยถาม ก็ควรไปถามหลินสวินถึงจะถูก

แต่เห็นได้ชัดว่าซย่าจื้อไม่เหมือนคนอื่น นางเอ่ยถามอย่างสงบนิ่ง เรียบง่ายและตรงไปตรงมาถึงเพียงนั้น ทำให้ไป๋หลิงซีอดอึ้งไม่ได้

“เพื่อนน่ะ”

ทันใดนั้นนางก็แย้มยิ้ม สังเกตเห็นว่าซย่าจื้อเหมือนจะใส่ใจหลินสวินมาก ดังนั้นถึงได้เอ่ยถามเช่นนี้ออกมา เสียแต่วิธีถามตรงไปตรงมาเกินไป

“เพื่อนหรือ” คิ้วงามสีดำขลับราวน้ำหมึกของซย่าจื้อมุ่นขึ้นอย่างยากสังเกตเห็น

“ใช่ เพื่อน” ไป๋หลิงซีรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง หลินสวินกับเด็กสาวผู้นี้มีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่ เหตุใดนางถึงใส่ใจเรื่องแบบนี้ด้วย

แต่กลับเห็นว่าซย่าจื้อพยักหน้าแล้วพูดว่า “เป็นเพื่อนก็ดี”

จากนั้นนางก็ชักสายตากลับไป ไม่มองไป๋หลิงซีอีก คล้ายว่าแน่ใจกับคำตอบนี้ ทำให้นางหมดความสนใจจับจ้องไป๋หลิงซีไปแล้ว

ไป๋หลิงซียิ่งรู้สึกประหลาดยิ่งขึ้นไปอีก คิดไปคิดมา ก็ทำได้เพียงตัดสินว่าความสัมพันธ์ของหลินสวินกับเด็กสาวคนนี้ต้องไม่ธรรมดา

‘น่าสนใจจริงๆ ถ้าข้างกายหลินสวินมีสาวงามรู้ใจที่ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนบางคนเพิ่มขึ้นมา เกรงว่าเด็กสาวคนนี้จะไม่ยอมรับเป็นคนแรกกระมัง’

ความคิดประหลาดบังเกิดขึ้นในใจไป๋หลิงซี

……

หลินสวินย่อมได้ยินทุกอย่างนี้ แต่เขาก็ชาชินมานานแล้ว เพราะซย่าจื้อก็ไม่เหมือนใครมาแต่ไหนแต่ไร

ตั้งแต่เมื่อก่อนถึงตอนนี้ นางก็เป็นเช่นนี้มาตลอด

แม้จะแปลกใจอยู่บ้างว่าเหตุใดซย่าจื้อถึงถามคำถามแบบไม่มีที่มาที่ไปเช่นนี้ แต่ตอนนี้หลินสวินไม่มีแก่ใจมาถามอะไรมากมาย

เขากำลังคิดหาวิธีออกไปจากที่นี่

“ตาแก่ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้เส้นทางที่ใช้ออกจากที่นี่” ไม่นานนักหลินสวินก็เรียกโอสถกายสิทธิ์เฒ่าต้นนั้น

เมื่ออันธพาลเฒ่าผู้นี้ได้ยินก็ยิ้มเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า “ไร้สาระ ข้ามีชีวิตอยู่ในเขาพยับครามแห่งนี้ไม่รู้กี่เดือนกี่ปี ที่ไหนมีโพรงมดยังเล็ดรอดสายตาข้าไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับเส้นทางเส้นเดียวเล่า”

ในใจหลินสวินพลันตื่นเต้น “อยู่ที่ไหน”

อันธพาลเฒ่าพูดอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้ารับปากมาก่อนสิว่าจะปล่อยข้าไป ข้าจากไปก็จะบอกเจ้า หาไม่แล้วเจ้าก็ฆ่าข้าเสีย แล้วอย่าคิดจะออกไปเลย!”

เห็นได้ชัดว่าเขาฉวยโอกาสต่อรองกับหลินสวิน ทั้งยังมั่นใจมากด้วย

หลินสวินยิ้มเหี้ยม “นี่เจ้าครั่นเนื้อครั่นตัวอยากโดนตีอีกแล้วใช่ไหม”

อันธพาลเฒ่าหน้าเปลี่ยนสี ทันใดนั้นก็ผรุสวาทอย่างขุ่นเคืองว่า “ไอ้เด็กเวรแบบเจ้ายังมีมโนธรรมอยู่ไหม เมื่อกี้เป็นใครกันที่มอบโอสถวิญญาณช่วยชีวิตเจ้ายามคับขัน ไม่รู้บุญคุณก็ไม่น่าเล่นเช่นนี้กระมัง แน่จริงก็ฆ่าข้าสิ ถ้าข้านิ่วหน้าแม้แต่นิดจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้าเลย!”

ที่เขาพูดก็คือรากกับใบโสมขาวก่อนหน้านี้

หลินสวินจนคำพูดไปครู่หนึ่ง เป็นถึงโอสถราชันไร้เทียมทานกายสิทธิ์ต้นหนึ่ง แต่กลับเหมือนกุ๊ยชั้นต่ำ ช่างผิดธรรมดาเกินไปแล้ว

ก็ในตอนนี้เอง จู่ๆ อันธพาลเฒ่าก็เปลี่ยนเรื่อง “แน่นอน ข้ารู้ด้วยเช่นกันว่าเจ้าต้องคิดอาศัยพลังของข้ามาฝึกปราณ”

สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มีกลิ่นอายน่าเกรงขาม “ตอนนั้นข้าเห็นเหล่าอริยะเผยแผ่มรรคบนเขาพยับคราม และเคยได้ฟังผู้ฝึกปราณระดับราชันมากมายสาธยายความลี้ลับแห่งมหามรรค ทั้งได้เป็นประจักษ์พยานว่าคนรุ่นเยาว์ที่เหยียบย่างลงบนมกุฎมรรคาแต่ละคนผงาดขึ้นเช่นไร บอกเจ้าได้อย่างแจ่มแจ้งเลยว่า ทันทีที่เจ้าทำเช่นนี้แล้ว ชีวิตนี้อย่าหวังว่าจะได้เหยียบย่างบนมกุฎมรรคในระดับราชันเลย!”

“มรรคแห่งมกุฎ ล้วนต้องค้นหาด้วยตัวเอง พิสูจน์กับหมื่นมรรคธรรมบาล ถึงจะแผ้วทางมกุฎราชันที่ถือเป็นของตนได้”

“หากใช้ประโยชน์จากสิ่งภายนอก มรรคที่สำเร็จก็ไม่ถือเป็นของเจ้าอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องเพ้อพกถึงหนทางมกุฎราชันอะไรนั่นเลย”

ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอันธพาลเฒ่าผู้นี้จะมีความรู้เช่นนี้ ทำให้เขาออกจะเหลือเชื่ออยู่บ้าง

“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก ทว่าที่ข้าจับเจ้ามาไม่ได้ทำเพื่อหลอมมรรคของตนเอง แต่นำมาเป็นวิธีช่วยชีวิตเท่านั้น เจ้าไม่คิดว่าเมื่อครู่หากข้ากลืนเจ้าลงไปจนหมด อาการบาดเจ็บบนร่างกายจะไม่ดีขึ้นยิ่งกว่าหรือ” หลินสวินชำเลืองมองเขา

อันธพาลเฒ่าหน้าหม่นแสง กลิ่นอายน่าเกรงขามพลันหายไป

เขาโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง กัดฟันพูดว่า “เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้ากำลังดูหมิ่นอริยโอสถที่ภายภาคหน้าจะสำเร็จอริยะกลายเป็นปรมาจารย์ผู้หนึ่งอยู่!”

“เพ้อเจ้อให้มันน้อยๆ หน่อย จะบอกหรือไม่บอกกันแน่” หลินสวินตำหนิ

“ตีให้ตายก็ไม่บอก”

คราวนี้อันธพาลเฒ่าแข็งข้อผิดปกติ “นอกจากเจ้าจะปล่อยข้าไป”

“จริงหรือ”

“จริงสิ!”

“โอ๊ยๆ ไอ้หนูเหตุใดเจ้ายังลงมืออีกเล่า”

……

ในที่สุดหลังจากผ่านการไต่สวนโดยใช้วิธีการต่างๆ ทั้งขู่ให้กลัว กำราบ และเกลี้ยกล่อม หลินสวินก็รับปากว่าจะปล่อยอันธพาลเฒ่าผู้นี้ไป

ส่วนอันธพาลเฒ่าก็ยอมรับเงื่อนไขของหลินสวิน ทั้งยังจะมอบ ‘แก่นแท้โอสถราชัน’ สามหยดและเมล็ดโอสถราชันเมล็ดหนึ่งทดแทนให้หลินสวิน

“ให้ตายสิ ข้าไม่เคยพบเคยเห็นเด็กเวรร้ายกาจอย่างเจ้ามาก่อนเลย จะไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว!”

อันธพาลเฒ่าด่าสาดเสียเทเสีย เขากำลังเจ็บปวดใจ แก่นแท้โอสถราชันเป็นถึงแหล่งกำเนิดของเขา เพียงแค่หยดเดียวก็ฟื้นคืนชีวิตได้ ต่อให้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ ก็จะฟื้นตัวขึ้นในชั่วพริบตา

เช่นเดียวกัน เมล็ดโอสถราชันที่เขาให้นั้นก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า หาไม่ได้อีกแล้วในในโลกยุคปัจจุบัน

“จำไว้ ข้าเป็น ‘โสมสมบัติเก้าห้อง’ ที่ได้รับบัญชาชะตาฟ้าดินให้ถือกำเนิดขึ้นมา มีหนึ่งไม่มีสองทั้งบนฟ้าและใต้หล้า เมล็ดนี้ก็จะถือเป็นลูกหลานเพียงหนึ่งเดียวของข้า เจ้าอย่าทำให้มันเสียเปล่าเด็ดขาด”

อันธพาลเฒ่าสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าหวังว่าเจ้าจะไปขุดเอาดินปราณห้าสีบนแหล่งสถานคุนหลุน ไปรับเอาน้ำอริยะเร้นมรรคที่ใต้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ไปเด็ดแกนแห่งฟ้าดินบางส่วนจากแหล่งสถานศุภโชค ไปที่แหล่งสถานอัศจรรย์เพื่อ… เอ้อ ทางไปแหล่งสถานอัศจรรย์ขาดไปนานแล้ว…”

“ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร มีดินปราณห้าสี น้ำอริยะเร้นมรรคกับแกนแห่งฟ้าดินก็พอจะหล่อเลี้ยงทายาทผู้เดียวของข้านี้ได้แบบพอถูไถ ถ้าเป็นเช่นนี้สักวันหนึ่ง ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นเหมือนข้า เบิกดวงใจเก้าห้อง มีพลังแฝงสามารถเป็นอริยะปฐมาจารย์ได้”

เมื่อหลินสวินฟังจบเขาก็รู้สึกอยากจะฆ่าคนเสียแล้ว ดินปราณห้าสี น้ำอริยะเร้นมรรคกับแกนแห่งฟ้าดินหรือ นั่นเป็นถึงของวิเศษหายากในตำนานนะ!

ขนาดอริยะยังไม่เคยเห็นว่าใครจะเคยเจอ เห็นได้ชัดว่าเจ้าอันธพาลเฒ่าผู้นี้กำลังพูดจาส่งเดช เพ้อเจ้อกับตนอยู่!

……

บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ภายใต้การชี้นำของอันธพาลเฒ่า พวกหลินสวินก็เดินเลียบกิ่งก้านหนึ่งในนั้นห่างออกมาเรื่อยๆ เดินเข้าสู่ส่วนลึกของเมฆสูง

“ในสมัยบรรพกาล กิ่งก้านทุกกิ่งของต้นไม้นี้ล้วนไปยังโลกที่แตกต่างกัน ผู้ฝึกปราณที่อยู่บนเขาพยับครามอาศัยต้นไม้นี้ไปท่องเที่ยวโลกต่างๆ ได้ น่าเสียดาย เมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้มันประสบเคราะห์ ตอนนี้เหลือเพียงเปลือกนอกที่เย็นเยียบ… พอพูดขึ้นมา ตอนนั้นพวกเราทั้งสองเป็นสหายที่คุยกันทุกเรื่องนะ…”

อันธพาลเฒ่าถอนหายใจ

หลินสวินนึกเสียใจภายหลังขึ้นมากะทันหัน เห็นได้ชัดว่าอันธพาลเฒ่าผู้นี้ล่วงรู้ความลับมากมาย ปล่อยเขาไปเช่นนี้ช่างไม่คุ้มอย่างยิ่ง

“เช่นนั้นเจ้าคงรู้ว่าศุภโชคอันดับหนึ่งนั่นเป็นสมบัติระดับไหนกันแน่สินะ” หลินสวินใจเต้น

อันธพาลเฒ่าเอ่ยอย่างดูถูกว่า “บนเขาพยับครามแห่งนี้ยังไม่มีเรื่องที่ข้าไม่รู้ ศุภโชคอันดับหนึ่งที่พวกเจ้าว่ากัน เป็นของขวัญบางชิ้นที่อริยะเหล่านั้นทิ้งไว้ในสมัยก่อนเท่านั้นเอง”

พูดถึงตรงนี้เขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยพึมพำว่า “แต่ว่าไปแล้ว ศุภโชคที่ปรากฏขึ้นคราวนี้ กลับเป็นระฆังมหามรรคไร้กฎใบนั้น ทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ…”

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท