ท่านอ๋องตวนไม่ยินดีจะอยู่ต่อและต้องการจะลุกออกไปจากที่นี่ ประการแรกเนื่องจากอวิ๋นหลัวฉวนอยู่ที่นี่ ประการที่สอง เขาไม่อยากเห็นฉีเฟยอวิ๋น หากไม่ใช่เพราะน้องของเขาต้องการให้มาแสดงตัว เขาคงไม่มีทางมาที่นี่แน่
“ไม่…” ท่านอ๋องตวนกำลังจะลากลับ ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นก็กำลังจะกล่าวลาพวกเขาอย่างสุภาพ ไม่คาดคิดว่าจวินฉูฉู่จะตัดสินใจทำอะไรโดยพลการ
“ในเมื่อพระชายาเย่เชื้อเชิญด้วยไมตรีเช่นนี้ ก็เป็นการยากที่จะปฏิเสธคำเชิญ ข้ากับท่านอ๋องจะอยู่ที่นี่ต่อ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกรังเกียจจนพูดไม่ออก
แค่บอกมาว่าจะอยู่ก็พอแล้ว จะพูดให้มากความทำไม!
“พ่อบ้าน ไปเตรียมสำรับอาหารเย็นและไปหาท่านอ๋อง เรียนท่านว่าข้าเรียนเชิญฉีกั๋วกง อันกั๋วจิ้ว ท่านอ๋องตวนและพระชายาตวนร่วมมื้ออาหาร”
“แล้วข้าล่ะ” อวิ๋นหลัวฉวนถามเพราะกลัวว่านางจะลืมตน
“แน่นอนว่ามีจวิ้นจู่ด้วย” (จวิ้นจู่ คือชื่อตำแหน่งองค์หญิง)
“เช่นนั้นก็ดีเลย”
อวิ๋นหลัวฉวนยิ้มอย่างมีชัย ฉีเฟยอวิ๋นเองก็เริ่มชอบหญิงสาวผู้นี้ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
พ่อบ้านตอบรับและออกไปหาท่านอ๋องเย่
ขณะนี้ทังเหอรออยู่ข้างนอกแล้ว เมื่อพ่อบ้านออกมา เขาจึงส่งสัญญาณให้ทังเหอไปตามหนานกงเย่ ส่วนพ่อบ้านก็แยกไปเตรียมสำรับอาหาร
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงอีกครั้ง นางหมดคำพูดแล้วและไม่รู้จะกล่าวอะไรดี จึงได้แต่นั่งเงียบ
ตรงกันข้ามกับอวิ๋นหลัวฉวนที่กำลังนั่งจ้องฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นพบว่าเด็กสาวผู้นี้สนใจจิ้งจอกหางสั้นของนางมาก
“ท่านพี่หญิง ข้าขออุ้มลูกจิ้งจอกตัวนั้นได้หรือไม่” ในที่สุดเด็กสาวก็เอ่ยปาก ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกคิดผิดที่อุ้มจิ้งจอกหางสั้นมาด้วย
“นางไม่ได้ชื่อว่าลูกจิ้งจอก แต่ข้าเรียกนางว่าเจ้าจิ้งจอกน้อย ถ้าเจ้าอยากจะอุ้มนางแล้วนางยอมให้อุ้มก็ย่อมได้ เจ้าเรียกนางว่าลูกจิ้งจอก นางอาจจะไม่ชอบใจ”
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายอย่างระมัดระวัง ก่อนจะลุกขึ้นและส่งจิ้งจอกหางสั้นให้อวิ๋นหลัวฉวน ดูท่าทางแล้วนางก็ไม่น่าใช่คนเลวร้าย จึงยอมส่งให้นางอุ้มสักครู่
อวิ๋นหลัวฉวนรีบเอื้อมมือออกไปรับทันที “ถ้าเช่นนั้นข้าจะดูแลนางอย่างดี เจ้าจิ้งจอกน้อยเจ้าอย่าโมโหข้านะ!”
อวิ๋นหลัวฉวนยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นว่าจิ้งจอกหางสั้นไม่มีท่าทางหงุดหงิดและนอนอยู่ในอ้อมแขนของนางเงียบๆ
ฉีเฟยอวิ๋นพบว่าจิ้งจอกตัวนี้แสนรู้มาก
นางกลับไปนั่งยังที่นั่งของตนเองและรอคอยหนานกงเย่
รอจนถึงเวลาอาหารเย็นแล้วแต่เขาก็ยังไม่มา
ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาทุกคนไปรับประทานอาหารเย็น ฉีเฟยอวิ๋นลงที่โต๊ะอาหารอย่างจำใจ อวิ๋นหลัวฉวนพูดง่ายไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่รับมือยากที่สุดคือจวินฉูฉู่ ทันทีที่ทิ้งตัวนั่งลง นางก็ตั้งคำถามมากมาย
“พระชายาเย่จะไม่เรียกให้คนมาตักอาหารให้แขกหรือ” จวินฉูฉู่ไม่หยิบตะเกียบและรอฟังคำตอบจากฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่าปกติการรับประทานอาหารในจวนท่านอ๋องจะต้องมีกฎเกณฑ์และพิธีรีตองต่างๆ แต่นั่นมันเป็นเรื่องในอดีต เพราะในตอนนี้นางรับประทานอาหารกับหนานกงเย่เพียงสองคนจึงไม่ต้องให้ใครมาตักอาหารให้ พอวันนี้มีคนเยอะ นางก็เลยคิดไม่ถึง
พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ รีบเร่ง ใจก็นึกอยากจะเตือน เพราะหากไม่เตือนเกรงว่าจะต้องเสียเกียรติ
“พระชายาเย่ ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรเลยล่ะ” จวินฉูฉู่ยังคงถามต่อไป
อันกั๋วจิ้วกำลังจะเอ่ยปาก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร อวิ๋นหลัวฉวนที่อยู่ข้างๆ ก็ถามอย่างเป็นเดือดเป็นร้อนว่า “แค่จะทานอาหารทำไมท่านต้องมากความด้วย ที่นี่คือจวนท่านอ๋องเย่ ไม่ใช่ลานหลังจวนของจวนท่านที่อยากจะทำอะไรก็ทำ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ท่านก็ไม่เข้าใจงั้นรึ”
ท่านอ๋องตวนตบโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บังอาจ!”
“หืม” สีหน้าของฉีกั๋วกงเองก็เคร่งขรึมขึ้นและมองไปที่อ๋องตวน “ท่านอ๋องตวน ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ฉีเฟยอวิ๋นใจคอเหี่ยวแห้ง การรับประทานอาหารด้วยกันเพียงมื้อเดียวทำไมถึงเหมือนการทะเลาะวิวาทกันเช่นนี้
“ข้าทนมองคนที่ไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ไม่ได้ พระชายาของข้ากล่าวมีเหตุผลทุกอย่าง พระชายาเย่ไม่เรียกคนมาตักอาหารก็แล้ว และมันใช่เวลาที่นางควรพูดงั้นหรือ”
ท่านอ๋องตวนไม่สนใจเรื่องมารยาทและแสดงท่าทางฉุนเฉียวออกมา
ใบหน้าชราของฉีกั๋วกงแดงก่ำ เขาเป็นทหารอยู่บนหลังม้ามาตลอดและเป็นแค่แม่ทัพคนหนึ่ง ดังนั้นจึงพูดอะไรกับอ๋องตวนไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นทนดูสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้อีกต่อไป
“ท่านอ๋องตวน ท่านออกจะพูดเกินไปหน่อย จวิ้นจู่ไร้เดียงสาและเต็มไปด้วยจินตนาการ สิ่งที่นางกล่าวไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใคร หากจวนอ๋องเย่ของเราดูแลพวกท่านไม่ทั่วถึง ท่านก็มาพูดกับข้า แต่ท่านกลับตบโต๊ะและถลึงตาใส่จวิ้นจู่เช่นนี้ ท่านนี่เป็นคนอย่างไรกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นโบกมือ “พวกเจ้ามานี่ มาตักอาหารให้พระชายาตวน อย่าให้ข้ารอคนหยาบคายเช่นนี้เลย ละเลยพระชายาตวนเช่นนี้ ใครรู้เข้าคงขายหน้า”
พ่อบ้านรีบขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านสั่งให้คนมาตักอาหาร ส่วนจวินฉูฉู่นั้นมีสีหน้าเย็นชาเต็มที
ท่านอ๋องตวนหน้าแดงก่ำ แต่เขาก็ยังไม่เลิกรา
“ข้าแค่เพียงปกป้องพระชายา ฉูฉู่ได้รับการศึกษาและมีเหตุผลมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทั้งซื่อสัตย์และมีคุณธรรม เมื่อนางเห็นกฎถูกละเลยนางจึงทนไม่ได้และพูดออกมา พระชายาเย่ไม่ต้องการฟังก็ไม่ต้องฟัง”
“ข้าเองก็ไม่ได้อยากฟัง แต่ข้าทนไม่ได้ที่มีคนไม่ยอมปล่อยให้ผู้อื่นได้ทานอาหารอย่างสบายใจเสียที ท่านอ๋องตวนเป็นองค์ชายแห่งเมืองต้าเหลียง แต่เรื่องแค่นี้กลับแยกแยะไม่ได้ ท่านไม่กลัวขายหน้าคนอื่นรึ”
“เจ้า?”
ท่านอ๋องตวนกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ แต่ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่หยุด “เมื่อสตรีออกเรือนก็มักจะมองสวามีของตนเป็นพระเจ้า แล้วเหตุใดถึงออกตัวอย่างแข็งขืนเช่นนี้ ส่วนเรื่องได้รับการศึกษาและมีเหตุผลนั่น หรือว่าพระชายาตวนจะทิ้งคุณธรรมไว้ที่บ้าน ไม่ได้เอามาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพระชายาตวนจงใจทำให้ผู้อื่นลำบากใจ ข้าไม่เข้าใจเลย หรือว่าตอนที่พระชายาตวนไปร่วมมื้ออาหารกับฮองเฮา ก็ขอให้ท่านฮองเฮาทำเช่นนี้เหมือนกันรึ
ถ้าไม่ใช่แบบนั้น ทั้งสองสถานที่ก็ได้รับการปฏิบัติต่างกัน ข้าคงประเมินพระชายาตวนต่ำเกินไปจริงๆ อยู่ในวังทำตัวแบบหนึ่ง อยู่ที่จวนอ๋องเย่ของเราก็ทำตัวอีกแบบหนึ่ง
ความจริงแล้ว จวนอ๋องเย่ก็ต่างจากวังและไม่ยุ่งเกี่ยวกัน แต่ก็ไม่น่าจะทำให้พระชายาตวนลำบากอะไรมากมาย
พูดอีกครั้งนะท่านอ๋องตวน ที่ท่านบอกว่าพระชายาตวนมีความรู้ มีเหตุผล ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม หรือว่าท่านแยกแยะความดีความชั่วยากดีมีจนด้วยความรู้และเหตุผล หรือกล่าวได้ว่าพระชายาตวนมองว่าจวนอ๋องตวนสูงกว่าจวนอ๋องเย่ของข้างั้นหรือ
ท่านอ๋องตวนไม่หยุดการกระทำของนาง ทั้งยังแก้ต่างให้กับความโอหังของนางอีกด้วย
ข้าจะพูดถึงเรื่องนี้เมื่อข้าเข้าไปในวัง จะหาคนมาแสดงความคิดเห็นร่วมกับข้าและจะพยายามทำความเข้าใจความรู้ ความมีเหตุผลและคุณธรรมของพระชายาตวน”
“เจ้า…” จวินฉูฉู่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงและตัวสั่นไปทั้งตัว
“เงียบ…” ท่านอ๋องตวนมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยความโกรธเกรี้ยว ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากประตู
“ข้าได้ยินเสียงเอะอะจากโถงกลางดังไปถึงข้างนอก นี่พวกเจ้ากำลังเอาเรื่องของข้ามาพูดล้อเล่นกันอยู่หรือ” หนานกงเย่แสดงตัวด้วยชุดสีดำปักลายเมฆมงคลและงูเหลือมตัวใหญ่ คลุมด้วยเสื้อขนสัตว์เดินเข้ามา
เขาพูดพลางถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออก จากนั้นลี่ว์หลิ่วก็รีบเข้ามารับไปแขวนให้
ฉีเฟยอวิ๋นรีบลุกขึ้นและถอนสายบัวทำความเคารพ “หม่อมฉันคารวะท่านอ๋อง”
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นนิ่งๆ และกล่าวอย่างเอาใจว่า “ไม่เป็นไร เจ้าอย่าเหนื่อยเลย!”
ฉีเฟยอวิ๋นยืดตัวขึ้น “ท่านอ๋อง ท่านล้างมือแล้วหรือ”
“ล้างแล้ว ทังเหอบอกว่าพระชายาเชิญผู้อื่นมาเลี้ยงอาหารและต้องการให้ข้ากลับมาร่วมโต๊ะด้วย ข้าจึงล้างมือแล้วมาที่นี่”
หนานกงเย่เดินวนจากด้านหนึ่งมายังข้างกายของฉีเฟยอวิ๋น เขาประคองฉีเฟยอวิ๋นด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อบอกให้นางนั่งลงด้วยกัน ฉีเฟยอวิ๋นจึงนั่งลง
เมื่อคนทั้งสองนั่งลงแล้ว หนานกงเย่จึงกล่าวทักทายฉีกั๋วกงก่อน “ท่านกั๋วกง”
“ท่านอ๋องเย่”
“กั๋วจิ้ว”
“อืม”
“พี่รอง”
ท่านอ๋องตวนหันหน้าหนีอย่างอารมณ์เสียเป็นอย่างยิ่ง
“น้องสะใภ้ดูแลท่านไม่ดีหรือ พี่รองถึงแลดูไม่มีความสุขเช่นนี้” หนานกงเย่กล่าวนิ่งๆ
จวินฉูฉู่มองหนานกงเย่ด้วยสายตาเศร้าสร้อยและเกือบจะร้องไห้
ท่านอ๋องตวนคิดว่านางโศกเศร้าเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาจึงยิ่งไม่มีความสุขมากขึ้นอีก
“ฉูฉู่ถามถึงเรื่องการตักอาหารให้แขกด้วยเจตนาดี ไม่คิดว่าจะทำให้หลัวฉวนจวิ้นจู่ไม่พอใจ ข้าจึงต่อว่านางไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คิดว่าสุดท้ายพระชายาเย่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้”
“อวิ๋นอวิ๋น เรื่องเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่” หนานกงเย่ถามด้วยสายตาเยือกเย็น ฉีเฟยอวิ๋นจึงตอบว่า “ที่ท่านอ๋องตวนกล่าวเป็นความจริงเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ท่านอ๋องโปรดลงโทษตามเห็นสมควรเถิด”
ท่านอ๋องตวนตะลึงไม่น้อย ฉีกั๋วกงและอันกั๋วจิ้วก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน
ข่าวลือจากภายนอกนั้นไม่จริงเลยสักนิด
พระชายาเย่ปฏิบัติตัวต่อหน้าท่านอ๋องเย่อย่างนอบน้อมและเชื่อฟัง!
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าก็กลับไปที่ห้อง ปิดประตูใช้เวลากับตัวเองเพื่อทบทวนและพิจารณาในสิ่งที่ตนเองทำลงไปเสียเถิด หากข้าไม่รับสั่ง เจ้าก็ห้ามออกมา อาอวี่ เจ้าไปเฝ้านางไว้
พวกเจ้าทั้งสองด้วย เป็นสาวใช้แต่กลับไม่ตักเตือนกัน เจ้าก็หนีไม่พ้นโทษ ไปปิดประตูสำนึกผิดกับพระชายาด้วย” หนานกงเย่รับสั่งเสียงเย็น
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืน ก่อนจะถอนสายบัวทำความเคารพ “หม่อมฉันขอลา ทานอาหารให้อร่อยเจ้าคะฉีกั๋วกง อันกั๋วจิ้ว ท่านอ๋องตวน”
ฉีเฟยอวิ๋นยืดตัวขึ้นและหันหลังกลับไปที่ประตู หงเถาและลี่ว์หลิ่วถอนสายบัวให้หนานกงเย่ ก่อนจะหมุนตัวและเดินตามออกไป
อาอวี่เองก็ตามไปด้วย
ห้องโถงเงียบลงทันใด
ท่านอ๋องตวนลอบถอนหายใจ สถานการณ์นี้น่าอึดอัดราวกับต้องกลืนแมลงวันลงคอ
แม้ว่าฉูฉู่จะรู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรม แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง มันก็เหมือนกับว่าพวกเขาสร้างปัญหาอย่างไร้เหตุผล เรื่องการตักอาหารให้แขกมันเป็นอย่างที่พระชายาเย่กล่าวจริงๆ ในพระราชวังเองก็ไม่มีการตักอาหารให้แขก แต่พวกเขาก็รับประทานอาหารที่นั่นได้อย่างไม่เป็นทุกข์ร้อน แต่เมื่อมาที่จวนอ๋องเย่ในวันนี้ พวกเขากลับยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
ปกติเมื่อพวกเขาไปยังสถานที่อื่นก็ไม่มีที่ไหนที่ตักอาหารให้แขก สถานที่ที่มีการตักอาหารให้แขกมักจะเป็นในวัง ในจวน หรือรับประทานกันในสถานที่ของตัวเอง ถ้าเป็นงานเลี้ยงที่มีจำนวนคนมากเข้าหน่อยก็ตักอาหารให้แขกไม่ได้
แม้แต่ในจวนของราชครูจวินก็ยังไม่เคยทำเรื่องดังกล่าวมาก่อน
แต่วันนี้ฉูฉู่กลับพูดออกมาเช่นนี้ มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจริงๆ
ที่ฉีเฟยอวิ๋นยอมรับความผิดในวันนี้ทำให้เขาไม่สบายใจ
อันกั๋วจิ้วมองออกไปนอกประตู “ช่างน่าเวทนาเสียจริง!”
“ข้ามักจะปวดหัวเพราะนางแทบทุกวัน พระชายาเติบโตมาในจวนแม่ทัพ ท่านแม่ทัพฉีก็อยู่นอกบ้านตลอดทั้งปี นางจึงซุกซนมาก คนในจวนแม่ทัพก็มักจะยอมนางเสมอ นางจึงเติบโตมาเป็นเช่นนี้
ข้าสั่งสอนและอบรมนางไปแล้ว แต่นางไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ ข้าหวังว่าฉีกั๋วกงกับอันกั๋วจิ้วจะไม่ถือสา ขอพี่รองโปรดอภัยให้นางด้วย”
หนานกงเย่ลูบศีรษะตนเองอย่างคนหมดหนทาง จวินฉูฉู่กำมือแน่น หนานกงเย่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ นางมีดีอะไร เหตุใดท่านถึงคลั่งไคล้นางเช่นนั้น
ให้ฉีเฟยอวิ๋นไปปิดประตูสำนึกผิดงั้นรึ ทำไมไม่ตบหน้านางเสีย
เมื่อมองดูสายตาที่มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างหลงใหลของเขาแล้ว ตรงไหนที่เรียกว่าสั่งสอนอบรมหรือ มันเป็นการปกป้องและเข้าข้างต่างหาก
“ท่านพี่อ๋องเย่ ท่านอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของพวกเขาเลย ท่านอ๋องตวนช่วยเหลือพระชายาของตน แต่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพระชายาของเขาต้องการสร้างความลำบากให้ท่านพี่เสียนเฟย ข้ามองออกว่าท่านพี่เสียนเฟยเป็นคนที่อ่านสถานการณ์ออก พระชายาตวนพยายามหาข้อตำหนิติเตียนผู้อื่น พอข้าไม่ยอม นางก็ตำหนิข้า ท่านพี่เสียนเฟยจึงออกตัวพูดแทนข้า
ข้าทราบดีว่าพระมเหสีหวากับท่านปู่ของข้าได้แลกเปลี่ยนกันไว้ว่าจะให้ข้าเป็นพระชายารองของท่านอ๋องตวน ในเมืองหลวงไม่มีใครที่ไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ความรักของพวกเขาทั้งคู่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าทองและมันไม่ก็ไม่เข้าตาข้าเสียเลย ถ้าไม่ใช่เพราะพระมเหสีหวากล่าวว่าพระองค์ชอบข้ามากและต้องการให้ข้าเป็นลูกสะใภ้ของพระองค์ ไม่เช่นนั้นนางจะไม่มีความสุข ข้าคงไม่ตอบรับไปอย่างนั้น”
อวิ๋นหลัวฉวนมองท่านอ๋องตวนด้วยความขุ่นเคือง ท่านอ๋องตวนกำลังจะทุบโต๊ะอีกครั้ง แต่จวินฉูฉู่ก็จับมือของเขาไว้เสียก่อน “ท่านอ๋องตวน ปล่อยเรื่องนี้ไปเถิด ข้าไม่ถือสา ในเมื่อท่านอ๋องเย่ปกป้องนางเช่นนั้น พวกเราอยู่ต่อไปก็คงน่าเบื่อหน่าย เรากลับกันเสียดีกว่า”
ฉีกั๋วกงขมวดคิ้วมุ่น มองเพียงครู่เดียวก็พอจะทราบว่าอ๋องตวนผู้นี้เป็นคนขี้ขลาดตาขาว ไม่ฉลาดและไม่มีวิสัยทัศน์เอาเสียเลย
สิ่งที่พระมเหสีหวารู้มาไม่เป็นความจริง
หลานสาวของเขาจะแต่งงานกับคนขี้ขลาดตาขาวไม่ได้
“ได้สิ”
ท่านอ๋องตวนประคองจวินฉูฉู่ให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ข้าจะไปกราบทูลเสด็จแม่เกี่ยวกับพฤติกรรมของหลัวฉวนจวิ้นจู่ในวันนี้…”
ท่านอ๋องตวนต้องการยกเลิกการหมั้นหมาย แต่จวินฉูฉู่ยั้งเขาไว้ก่อน “ท่านอ๋อง อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากเลย พวกเราไปกันเถิด”
จวินฉูฉู่ทำลายความต้องการของพระมเหสีหวาไม่ได้ นางไม่อยากจะคิดร้ายกับคนอื่นแต่ผลกลับมาทำร้ายตัวเอง จึงห้ามปรามท่านอ๋องตวนไว้และออกจากจวนอ๋องเย่
อันกั๋วจิ้วมองคนทั้งสองที่ออกจากประตูไปและรู้สึกผิดหวังกับจวินฉูฉู่ผู้นี้
นางเองก็เป็นหญิงสาวที่มีความรู้ความสามารถดีเยี่ยม ไม่คิดว่าจะสูญเสียการควบคุมตัวเองง่ายขนาดนี้ แล้วในอนาคตนางจะรับมือกับเรื่องราวในชีวิตได้อย่างไร
ตำแหน่งพระชายาตวนคงได้เปลี่ยนมือในอีกไม่ช้า