Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 902

ตอนที่ 902

ตอนที่ 901 โอสถราชันไร้เทียมทาน
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็พุ่งตัวออกมาอย่างรุนแรง ฝ่ามือกดลงไปในห้วงอากาศ ธารดาราอัคคีแถบหนึ่งพวยพุ่งออกมา ดาราดวงแล้วดวงเล่าลุกโชนระเบิดปะทุ เกิดเป็นภาพประหลาดน่าหวั่นกลัว

นี่คือธารดาราหลอมเพลิง เป็นวิชามรรคชั้นเลิศที่แท้จริง!

ชายชุดทองคนนั้นตระหนกจนหน้าเปลี่ยนสี หลบหนีไปไกลด้วยความเร็วเหนือธรรมดา เพียงแต่ยามนี้เขายังไม่ทันหนีพ้นก็ถูกหลินสวินเข้าประชิดอย่างรวดเร็ว

สาเหตุก็เพราะหลินสวินไวกว่าเขา เหยียบย่างด้วยก้าวย่างชือน้ำแข็งก้าวเดียวราวเคลื่อนย้ายกลางอากาศ

โครม!

ธารดาราที่ลุกโชนระเบิดม้วนรุนแรง กลบเงาร่างของชายชุดทองผู้นั้นจนท่วม…

“ไม่! ไม่นะ…!” กลางทะเลเพลิง ชายชุดทองร้องโหยหวน เผยให้เห็นความประหวั่นและอับจนหนทาง แต่ในที่สุดก็ตายอนาถคาที่ ถูกเผาเป็นเถ้าธุลี

ผู้แข็งแกร่งที่สังเกตเห็นภาพนี้จากไกลๆ ล้วนสูดหายใจเย็นเยียบ ในใจตื่นตะลึง

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

ทันทีที่เทพมาหลินเริ่มโจมตี ฝีมือเช่นนั้นก็อหังการไม่เป็นรองใคร น่าครั่นคร้ามถึงที่สุด ไม่มีโอกาสให้อีกฝ่ายหลบหนี

“รนหาที่ตาย!” ฉับพลันหลินสวินก็หันหลังกลับมา เห็นว่ามีคนฉวยโอกาสระหว่างที่ตนต่อสู้อยู่ เคลื่อนดอกตูมสำริดดอกนั้นมา

สวบ!

สายโซ่เปล่งประกายสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่งเคลื่อนออกมา สายโซ่นั้นหนาเพียงนิ้วโป้ง คล้ายจะพันผูกดอกตูมสำริดนั้นไว้เป็นของตัวเอง

ทว่าไม่ทันรอให้เข้าใกล้ เงาร่างของหลินสวินก็พุ่งออกไปแล้ว นิ้วมือคว้าออกไปจับสายโซ่สีน้ำเงินเข้มนั้นอย่างจังและเขย่าข้อมือแรงๆ ทันใด

ซ่า!

สายโซ่ส่งเสียงสั่นสะเทือนแสบแก้วหู ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของสายโซ่ ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดคนหนึ่งถูกโยนกระเด็นไปอย่างแรง

คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มกร้าวแกร่งหาใดเทียบคนหนึ่ง ผิวพรรณดำคล้ำ นัยน์ตายาวแคบ

เมื่อประสบเรื่องไม่คาดคิดกะทันหันเช่นนี้ การตอบโต้ของเขาก็หนักแน่นถึงที่สุด ละทิ้งสายโซ่ในมือโดยไม่ลังเล ร่างกายหายลับไปกลางอากาศ เคลื่อนออกไปไกลร่าวลูกศรที่ยิงออกจากคันธนู

“ยังจะคิดจะหนีหรือ”

ดวงตาสีดำของหลินสวินบังเกิดรังสีเยียบเย็นขึ้น ต่อยออกไปหมัดหนึ่ง สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ไม่มีความแข็งแกร่งใดต้านทานได้ พลังเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำหลอมรวมอยู่ภายในนั้นโดยสมบูรณ์

ตูม!

ชายหนุ่มกร้าวแกร่งคนนั้นก็ถูกสังหารในชั่วพริบตาพร้อมกับเสียงโครมครามน่าหวาดหวั่น

เพียงแต่ที่ทำให้ผู้อื่นเหนือความคาดหมายก็คือ ร่างกายแหลกละเอียดของเขากลับแปรสภาพเป็นละอองแสงสีทองปลิวว่อน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ร่างจริงของเขา

ยันต์มรรคจักจั่นทอง!

เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หลินสวินก็รับรู้ได้ว่าเจ้าหมอนี่ใช้พลังของยันต์มรรคจักจั่นทอง เมื่อจักจั่นลอกคราบก็หนีไปได้อย่างงดงามแล้ว

ชั่วพริบตาเท่านั้น บุคคลระดับผู้กล้าชั้นยอดสองคน คนหนึ่งตาย อีกคนหนึ่งหนี!

ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้เคียงต่างจิตใจหดหู่แล้ว พลังต่อสู้ของเทพมารหลินคนนี้ช่างเย้ยฟ้านัก ท่วงท่ากวาดกำราบโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครสามารถรับการโจมตีของเขาได้!

ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาอีก

และก็เป็นตอนนี้เอง ดอกตูมสำริดที่ดึงดูดความสนใจของหลินสวินดอกนั้นก็เริ่มเบ่งบาน กลีบดอกแต่ละกลีบบานเต็มที่ท่ามกลางความสั่นระรัว

ครู่ต่อมา ตรงเกสรดอกไม้ปรากฏแสงธรรมเพริศแพร้วพุ่งออกมาราวโคมสำริดอันหนึ่งถูกจุดให้สว่าง

แต่เพียงชั่วพริบตา ดอกไม้ที่บานเต็มที่นั้นก็เหี่ยวเฉา กลีบดอกไม้ปลิดปลิวร่วงผล็อย ในขณะเดียวกันแสงสีแดงสดแสงหนึ่งก็ทอดลงมาจากภายในนั้น

หลินสวินยื่นมือไปคว้าสิ่งนั้นไว้ มันคือก้อนหินราวหยกมันแพะก้อนหนึ่ง ด้านบนชุ่มไปด้วยคราบน้ำตาเป็นจุดๆ รอยน้ำตาสีแดงบาดตาราวกับโลหิต

มันมีขนาดเพียงถั่วซิ่งเหริน (ถั่วอัลมอนด์) แต่หนักถึงหลักหมื่นจิน เปล่งปลั่งไปทั้งเมล็ด คลื่นพลังนุ่มนวลเย็นสบายชั้นแล้วชั้นเล่ากระจายออกมา

ระหว่างที่อึ้งงัน ในก้อนหินราวกับมีปรากฏการณ์ประหลาดที่มหาหงส์ร้องครวญเศร้า สั่นสะท้านจิตวิญญาณ

ศิลาโลหิตน้ำตาหงส์!

ของล้ำค่าในฟ้าดินชนิดหนึ่ง เป็นเจตวัตถุชั้นยอดที่บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ ไม่อาจประเมินราคา เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการหลอมศาสตราจิตและสมบัติอริยะ

อย่าเห็นว่าเป็นเพียงหินก้อนเล็กเท่าถั่วซิ่งเหรินก้อนหนึ่ง หากถูกอริยะเห็นเข้าก็ต้องอิจฉาตาร้อน!

เจตวัตถุเดิมก็หายากอย่างยิ่ง บนโลกในปัจจุบันแทบไม่มีทางเสาะหาได้แล้ว ส่วนศิลาโลหิตน้ำตาหงส์ยิ่งเป็นของล้ำค่าหายากในหมู่เจตวัตถุ

ไม่ต้องสงสัยว่านี่เป็นศุภโชคที่ไม่ใช่เล็กๆ เลยครั้งหนึ่ง!

ชั่วพริบตาหลินสวินก็สังเกตเห็นว่ามีสายตาละโมบไม่น้อยกวาดมองมา

เขาเก็บศิลาโลหิตน้ำตาหงส์อย่างแนบเนียน จากนั้นดวงตาสีดำก็กวาดไปทั่วทิศอย่างเย็นเยียบ พลันทำให้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปเหล่านั้นต่างสั่นไปทั้งตัว ความโลภในใจถูกดับสิ้น

“สวรรค์ นี่เป็นสมบัติโบราณกายสิทธิ์!”

“ตามไป!”

เหนือกิ่งก้านต้นไม้โบราณที่อยู่ไกลออกไป ธงหยกขาวลำหนึ่งแปรสภาพเป็นแสงประกาย กำลังล่องหนีในห้วงอากาศ เบื้องหลังมีผู้แข็งแกร่งมากมายกำลังงัดทุกวิถีทางไล่ตาม

ครู่เดียวบริเวณนั้นก็โกลาหลหาใดเปรียบ แสงเทพตัดพัน ผู้แข็งแกร่งจากที่ต่างๆ สำแดงฝีมือหมายจะไปกำราบธงหยกขาวนั่น

ทุกคนดูออกว่านี่ต้องเป็นสมบัติอัศจรรย์ที่เกิดจากดอกไม้มรรคโบราณ เป็นมหาศุภโชคครั้งหนึ่งแน่!

หลินสวินก็อดใจเต้นไม่ได้ กำลังจะเข้าไปร่วมด้วยก็เห็นว่าอีกแถบหนึ่งของต้นไม้โบราณก็มีวาสนาถือกำเนิดอีก เป็นม้วนหนังสือโบราณสำริดสีทองเจิดจ้า

เพียงแต่มันก็เหมือนมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง บินไปทางสุดกิ่งก้านของต้นไม้โบราณ ด้านหลังกลับมีผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งตามติดไม่ยอมแพ้

เวลานี้บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณทั้งบนล่าง ดอกตูมสำริดดอกแล้วดอกเล่าเบ่งบาน เปล่งรัศมีเทพใหญ่โต จากนั้นก็ก่อตัวเป็น ‘ผล’

ทว่านี่ไม่ใช่ ‘ผล’ ทั่วไป แต่เป็นศุภโชคชิ้นแล้วชิ้นเล่า หากไม่เป็นสมบัติอริยะกายสิทธิ์ก็เป็นมรดกลี้ลับ

กระทั่งยังมีสิ่งของพิสดารหายากบางอย่าง ทุกอย่างล้วนอัศจรรย์ไม่ธรรมดา

ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ของต้นโคมสำริดมรรคโบราณล้วนสำแดงฝีมือทั้งหมด แก่งแย่งช่วงชิงกันเหมือนเสียสติ

การสังหารและไล่ตามเกิดขึ้นอย่างดุเดือด

เสียงกรีดร้อง เสียงคำราม เสียงห้ำหั่นดังขึ้นมาให้ได้ยินอยู่ตลอดท่ามกลางฟ้าดิน

บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่ตั้งตระหง่านอย่างแข็งแกร่ง ครู่เดียวก็โกลาหลอย่างยิ่ง ศุภโชคแต่ละอย่างตกลงมาราวพิรุณ กระตุ้นให้ผู้กล้าทุกคนดวงตาวาวโรจน์

“สวรรค์! นี่เป็นโอสถราชันไร้เทียมทานต้นหนึ่งหรือ ถึงได้มีสองเท้าและปีกงอกออกมา ห้อตะบึงไปในห้วงอากาศได้!” เสียงร้องตกตะลึงดังขึ้น

ก็เห็นว่าโสมวิญญาณขาวปลั่งต้นหนึ่งกำลังตะบึงไปในห้วงอากาศ มันเหมือนชายชราแคระผู้หนึ่ง ใบไม้สีเขียวชอุ่มงอกขึ้นที่หัว ส่วนรากแน่นขนัดแปรสภาพเป็นสองเท้า บนหลังของมันยังมีปีกราวมายาคู่หนึ่งงอกออกมา ดูมหัศจรรย์ถึงที่สุด

โสมวิญญาณต้นหนึ่ง กลับกำลังวิ่งแตกตื่นราวมีชีวิต!

ภาพการเช่นนั้นต้องเรียกได้ว่ามหัศจรรย์ พาให้คนตกตะลึงอ้าปากค้าง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นต้องเป็นโอสถราชันไร้เทียมทานต้นหนึ่ง ดำรงชีพอยู่ไม่รู้เนิ่นนานเพียงใด เป็นสิ่งกายสิทธิ์อยู่ก่อนแล้ว

โอสถราชันไร้เทียมทานเช่นนี้ ในโลกปัจจุบันแทบเสาะหาไม่ได้ หายากยิ่งนัก หากถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันเห็นเข้าก็ต้องไปช่วงชิงโดยไม่สนใจสิ่งใดแน่!

“ตามไป!”

ผู้แข็งแกร่งร้องตะโกน ขณะที่ทุกคนดวงตาวาวโรจน์ราวเสียสติ

เพียงแต่ต้นโสมกายสิทธิ์ต้นนั้นรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์หาใดเทียบ วิ่งไปทั่วทุกทิศประหนึ่งเคลื่อนที่ในห้วงอากาศ ไม่อาจถูกไล่ทันได้อยู่ครู่หนึ่ง

ซ่า!

หลินสวินก็ลงมือแล้ว สะบัดสายโซ่สีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายเส้นนั้นไปยังโสมขาวกายสิทธิ์ต้นนั้นทันที

เกิดภาพที่น่าตื่นตะลึงขึ้น โซ่โฉบไปบนต้นโสมขาวกายสิทธิ์ แต่กลับไม่อาจพันธนาการมันไว้ได้ เหมือนร่างของมันไม่มีจริง

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ดวงหลินสวินเปล่งประกาย ของดีนี่!

โครม!

เขาโจมตีเต็มกำลัง สำแดงผนึกป้าเซี่ย พยายามขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายก้าวเดินได้ กลับไม่คิดว่าวิชามรรคอัศจรรย์วิชานี้ยังไม่ได้ผล ไม่มีประโยชน์กับโสมขาวกายสิทธิ์นั้นเช่นกัน

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นก็ออกโจมตี สำแดงฝีมือนานาชนิดมาสู้ แต่สุดท้ายล้วนไม่ได้ผล เหมือนโสมขาวกายสิทธิ์ต้นนั้นหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกราย สรรพสัตว์ไม่อาจจับได้ อัศจรรย์ถึงที่สุด

“ให้ตายสิ เจ้าโสมแก่ต้นนี้มีวิญญาณแล้วหรือไง” มีผู้แข็งแกร่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ร้อนรนจนด่าทอยกใหญ่

ผู้แข็งแกร่งบางส่วนก็กระเทือนใจเช่นกัน โอสถไร้เทียมทานต้นหนึ่งอยู่ตรงหน้านี้เอง แต่ไม่อาจฉกฉวยมาได้ กลับถูกมันปั่นจนหัวหมุน นี่ช่างทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว

หลินสวินก็อัดอั้นอยู่บ้างเช่นกัน ที่น่าชังที่สุดก็คือโสมวิญญาณดุจชายชราแคระต้นนั้นดันแสยะยิ้มเยาะเย้ยออกมา ในดวงตาเจือไปด้วยความท้าทายและดูถูก

“ไม่ไหว ข้ายอมแพ้แล้ว!”

ผู้แข็งแกร่งบางคนคว้าน้ำเหลวมานาน โมโหจนหันหลังจากไป ไปช่วงชิงศุภโชคชิ้นอื่น ไม่ต้องการเสียเวลากับโสมแก่ต้นนี้อีก

ที่ต้องรู้ก็คือทุกเวลาในตอนนี้หมายถึงศุภโชคแต่ละชิ้น ใครจะยอมสิ้นเปลืองเล่า

หลินสวินยังไม่ยอมแพ้ เขาดูออกแล้วว่าต้นโสมแก่นี้มีจิตวิญญาณอยู่ ดูเหมือนกำลังหลบหนี แต่เห็นได้ชัดว่าจงใจหยอกพวกเขาเล่น

เห็นชัดว่ามันคิดว่าไม่มีใครกำราบมันได้ ถึงได้กล้าท้าทายอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นกลัวเช่นนี้

แต่ว่าหลินสวินย่อมมีวิธี ในใจลอบตัดสินใจอย่างเหี้ยมเกรียม ว่ารอจับเจ้าโสมสารเลวยิ่งต้นนี้ได้ จะต้องจับมันมาดอง!

สวบ!

โสมแก่ต้นนั้นไหววูบอยู่ในอากาศ มันสังเกตเห็นหลินสวินที่ไล่ตามไม่ปล่อย บนใบหน้าระบายรอยยิ้มหยอกเย้าเยาะเย้ย ท่าทางได้ใจเหมือนกำลังบอกว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ดูชั่วร้ายถึงที่สุด

ถึงขั้นที่มันยังจงใจแหย่หลินสวินเล่น บินไปเบื้องหน้าหลินสวินครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเขาเงื้อมือจะจับ ปีกด้านหลังของมันก็กระพือไหวแล้วลอยละล่องออกไปไกลทันที ท่าทางเจ้าเล่ห์เช่นนั้นทำให้หลินสวินโมโหเต็มที

ผู้แข็งแกร่งที่ตามฆ่าโสมแก่ค่อยๆ น้อยลงทุกที โดยมากถอดใจยอมแพ้โดยสิ้นเชิงแล้ว ด้วยรับรู้ว่าโอสถราชันไร้เทียมทานเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะจับได้เลย

ไม่นานนักก็เหลือเพียงหลินสวินคนเดียว ที่ไล่ตามโสมแก่ต้นนั้นซึ่งหลบหนีพัลวันบนต้นไม้เทพ ผู้แข็งแกร่งหลายคนต่างสีหน้าพิกล

นี่เทพมารหลินกำลังเสียเวลากับโสมแก่ที่น่าโมโหจนตายได้!

แต่เช่นนี้ก็ดี เพราะทำให้เทพมารหลินแยกตัวออกมาจากการช่วงชิงศุภโชคชิ้นอื่นกับพวกเขา ก็ให้เขาตามเล่นไปคนเดียวเถิด!

เหล่าผู้กล้าต่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง ไม่คิดว่าหลินสวินจะทำสำเร็จได้ เป็นไปได้สูงมากที่จะเสียแรงเปล่า

ไม่นานนักหลินสวินก็ตามไปถึงที่สูงของต้นไม้โบราณ เลียบไปตามกิ่งก้านใหญ่โตหาใดเทียบกิ่งหนึ่ง ถึงกับพุ่งขึ้นไปในชั้นเมฆโดยไม่รู้ตัว

โสมแก่ต้นนั้นเหมือนจะเหนื่อยบ้างแล้ว มองดูหลินสวินด้วยท่าทางหมดคำจะเอื้อนเอ่ย เหมือนคิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะดื้อดึงเช่นนี้ ท่าทางหมายจะทำให้มันหมดแรงตายเสียให้ได้

ทันใดนั้นมันก็ยิ้มเหี้ยมแล้วเคลื่อนกายรวดเร็วต่อไป บางครั้งบางคราวเมื่อคว้าโอกาสได้ก็จะปรากฏตัวเบื้องหลังหลินสวินกะทันหัน แล้วถีบหลังเขาอย่างแรงครั้งหนึ่ง

แม้แรงจะน้อยไม่ได้ทำให้หลินสวินบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่นี่ช่างน่าอดสูเกินไปแล้ว เขาเป็นถึงเทพมารหลิน ตอนนี้กลับถูกสมุนไพรแก่ต้นหนึ่งถีบเข้าให้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงต้องกลายเป็นตัวตลกใหญ่เท่าฟ้าตัวหนึ่งแน่

ผัวะ!

ทันใดนั้นโสมแก่ต้นนั้นก็พุ่งตัวแล้วยื่นเท้าออกมาถีบไปที่หลังของหลินสวินอย่างแรง ใบหน้ายังระบายไปด้วยรอยยิ้มลำพองใจ

เพียงแต่ในตอนนี้เอง หลินสวินพลันหันกายแล้วกัดฟันพูดว่า “ไอ้โสมแก่ ข้าทนเจ้ามานานแล้ว!”

โสมแก่ผงะไป ทันใดนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยไร้เสียง คิดว่าเจ้าเด็กนี่พูดด้วยความโมโห จะถูกตนทำให้โกรธจนคลุ้มคลั่งแล้ว

นี่ทำให้มันพอใจอย่างบอกไม่ถูกตอนที่ 902 แลกเปลี่ยนความรู้
แท้จริงแล้วเจดีย์สมบัติมีสีกระจกหยกเก่าคร่ำคร่า เพียงแต่รังสีที่อบอวลอยู่ก่อให้เกิดสีทองเจิดจรัส ดูยิ่งใหญ่ไพศาล

แม้มันมีขนาดเพียงฝ่ามือ แต่ดูออกได้ไม่ยากว่าเจดีย์นี้มหัศจรรย์ถึงที่สุด ตัวเจดีย์มีแปดมุม แบ่งเป็นแปดส่วน ทุกส่วนเป็นหนึ่งภพภูมิ ปรากฏภาพสุริยันจันทราภูผาธารา ฟ้าเสถียรดินขนาน เทพธรรมบาลแลหมู่ดาวและสัตว์เทพบรรพกาลเป็นต้น

ประหนึ่งว่าร่องรอยแดนเทพบรรพกาลประทับอยู่บนตัวเจดีย์ มีกลิ่นอายทรงพลังที่บรรจุนิรันดร์กาลไว้!

เพียงแต่น่าเสียดายที่เจดีย์นี้มีตำหนิเสียหาย ตำแหน่งยอดเจดีย์เดิมทีมีอักษรมรรคสลักไว้ แต่ตอนนี้เหลือเพียงอักษร ‘ไร้’ ไม่สมบูรณ์และลางเลือนตัวหนึ่ง

นี่ก็คือเจดีย์สมบัติไร้อักษร!

สมบัติชั้นยอดที่ลี้ลับที่สุดชิ้นหนึ่งในมือของหลินสวิน เคยบรรจุมรรคคาถาที่เกี่ยวโยงกับปริศนาแห่งคีรีดวงกมล ไม่อาจสืบหาที่มาได้

ทันใดนั้นโสมแก่เหมือนสังเกตได้ว่าไม่ชอบมาพากล รอยยิ้มบนใบหน้าชราแข็งทื่อ ออกจะตื่นตระหนก สาวเท้าจะหนีไปทันใด

“คิดหนีหรือ สายไปแล้ว!”

ยามเอ่ยปาก แสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งพลันเคลื่อนออกมาจากเจดีย์สมบัติไร้อักษรราวม้าห้อ ม้วนเบาๆ กลางอากาศแล้วพันธนาการโสมแก่ต้นนั้นไว้

มันตระหนกจนแสงเปล่งประกายออกมาทั่วร่างอย่างท่วมท้น แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่ช่วยอะไร ใบหน้าชราเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ในที่สุดก็ถูกลากเข้ามาในเจดีย์สมบัติไร้อักษร

ตึง!

ในชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติ แสงมรรคทองนิลกาฬกดกำราบ โสมแก่ต้นนั้นรับรู้ได้ถึงสถานการณ์อันตราย เผยสีหน้าน่าสงสารร้องขอชีวิต แผ่จิตออกมาระลอกหนึ่งว่า ‘สหายตัวน้อยโปรดคลายโกรธ นี่เป็นการเข้าใจผิด’

หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ใจสั่นสะท้าน โอสถราชันไร้เทียมทานต้นนี้มีสติปัญญาด้วย!

ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มหยัน “เมื่อกี้เจ้าไม่ได้เล่นสนุกดีหรือ เหตุใดตอนนี้ไม่ยิ้ม กลับเริ่มร้องขอชีวิตซะแล้วล่ะ”

ตลอดทางที่ไล่ตามมาเมื่อกี้ โสมแก่ต้นนี้ท้าทายไม่ว่างเว้น ทั้งยังเผยรอยยิ้มเย้ยหยันและน่าชิงชังเช่นนั้น หลินสวินใจเย็นเช่นนี้ก็ยังถูกยั่วโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง

หากไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นโอสถราชันไร้เทียมทาน และไม่ใช่ศัตรูคู่แค้น เขาก็คงบี้เจ้าโสมแก่ต้นนี้ให้ตายไปนานแล้ว

‘สหายน้อย ข้าเป็นรากวิญญาณรากหนึ่งของเขาพยับคราม ตั้งแต่ตื่นรู้ก็ไม่เคยทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมมาก่อน เมื่อครู่เพียงแต่เล่นกับสหายน้อยนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด ขอเจ้ามีน้ำใจกว้างขวางไว้ชีวิตข้าสักครั้งหนึ่ง’ โสมแก่เอ่ยปากอย่างน่าเวทนา

“อย่าแม้แต่จะคิด!” วาจาหลินสวินแน่วแน่ โอสถกายสิทธิ์เช่นนี้หากไม่กินให้เรียบล่ะก็ เช่นนั้นก็คงเสียของนัก

‘แม่งเอ๊ย ไอ้หนูอย่างเจ้าไม่แล้วไม่เลิกจริงๆ ใช่ไหม จะบอกเจ้าให้! เมื่อก่อนบนเขาพยับครามข้าก็เป็นคนร้ายกาจลือชื่อผู้หนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหานับไม่ถ้วน ขนาดอริยะเหล่านั้นยังต้องเคารพอยู่สามส่วน เจ้าชั่วตัวจ้อยแบบเจ้านับเป็นอะไรได้ ให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง รีบปล่อยข้าซะ อย่าก่อความผิดใหญ่หลวง หาไม่แล้ว เหนือฟ้าบนดินคงไม่มีใครช่วยเจ้าได้!’

ทันใดนั้น โสมแก่ที่เดิมร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนาก็เปลี่ยนสีหน้า เท้าสะเอวทำท่าทางอย่างคนพาล ด่าทอใหญ่โต

การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วนัก ทำให้หลินสวินอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าโสมแก่นี่จะมีสองใบหน้า

ตู้ม!

ที่ตอบกลับโสมแก่ไปคือแสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งกำราบลงมา ฟาดบนตัวเขาอย่างแรงเหมือนแส้ เล่นงานเขาจนร้องโอดโอยเสียงดัง พร่ำเอ่ยวาจาหยาบคายต่างๆ ไม่น่าฟังยิ่งนัก

‘ข้าจะขึ้นคร่อมบรรพชนเจ้า ไอ้…’

‘โอ๊ย เจ็บยันโคตรเจ้าแล้ว ไอ้ชิงหมาเกิด ไอ้…’

นี่เป็นโอสถราชันไร้เทียมทานต้นหนึ่งเสียที่ไหน เป็นอันธพาลเฒ่าคนหนึ่งชัดๆ!

ในที่สุดโสมแก่ก็ถูกกำราบจนน้ำตาแทบไหลออกมา ลมหายใจรวยริน เลิกด่าทอแล้ว

แต่มันยังคงไม่ยินยอม ท่าทางเหมือนอันธพาลเฒ่าโหดเหี้ยมอำมหิต กัดฟันกรอดแล้วเอ่ยว่า ‘เจ้ารอก่อนเถอะ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ…’

จากนั้นมันก็นอนแน่นิ่งไปเช่นนั้น ไม่เคลื่อนไหวแล้ว

มันในตอนนี้ค่อยเหมือนสมุนไพรแก่ต้นหนึ่ง ร่างขาวเปล่งปลั่งส่งกลิ่นสมุนไพรเข้มข้นกำจายออกมา

หากไม่ใช่ไม่เหมาะแก่เวลา หลินสวินอยากจะตัดออกมาลิ้มลองสักชิ้นจริงๆ

‘เจ้าหมอนี่มีฤทธิ์เดช ทั้งมีสติปัญญา มีชีวิตมาไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะรู้ความลับของเขาพยับครามบางอย่าง อย่ารีบเอามันไปทำยาเลย…’

เขาครุ่นคิดไปพลางเรียกจิตรับรู้กลับมา แล้วเก็บเจดีย์สมบัติไร้อักษร

ตอนนี้บริเวณที่เขายืนอยู่คือจุดสูงสุดของต้นโคมสำริดมรรคโบราณ กิ่งก้านสูงเทียมเมฆ เมฆหมอกสีม่วงโอบล้อม ใกล้กันนั้นว่างเปล่าไร้คน

เบื้องล่างยังมีเสียงต่อสู้ห้ำหั่นดุเดือดแว่วมา เหล่าผู้แข็งแกร่งกำลังช่วงชิงศุภโชคต่างๆ กัน สังหารนองเลือดถึงที่สุด มีผู้แข็งแกร่งสิ้นชีพไปไม่ว่างเว้น

น่าหดหู่เกินไปแล้ว!

คนที่สามารถเหยียบย่างบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณล้วนเป็นบุคคลระดับผู้กล้าชั้นยอดในหมู่คนรุ่นเยาว์ ทุกครั้งที่สูญเสียคนหนึ่งไป สำหรับสำนักแห่งหนึ่งแล้วก็ไม่ต่างกับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงครั้งหนึ่ง

แต่ตอนนี้เพื่อช่วงชิงศุภโชค ใครก็ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ประหัดประหารจนชีวิตหาไม่

นี่ก็คือการช่วงชิงมหามรรค ศุภโชคที่ว่าก็มักจะมาพร้อมกับการนองเลือดและเคราะห์สังหาร!

โครม!

ฉับพลัน ท่ามกลางหมอกสีม่วงไกลออกไปก็มีเสียงฆ่าฟันดุเดือดดังขึ้น

จิตรับรู้หลินสวินแผ่ออกไป ชั่วพริบตาก็สังเกตเห็นว่าเป็นการประลองระหว่างมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวิน ผู้โดดเด่นแห่งยุคสองคน

พวกเขากำลังช่วงชิงม้วนหนังสัตว์ม้วนหนึ่ง สิ่งนี้เปล่งรัศมีเทพสีเขียวแผ่วพลิ้ว ร่ายรำในห้วงอากาศ ท่ามกลางความคลุมเครือ มีเสียงธรรมระลอกแล้วระลอกเล่าดังลั่นจนคนหูหนวกยังได้ยิน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่ต้องเป็นมรดกเก่าแก่ที่ลี้ลับไม่อาจหยั่งถึงได้ชิ้นหนึ่ง!

มิน่าเล่าถึงได้ดึงดูดให้เกิดการช่วงชิงระหว่างมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวิน ขนาดหลินสวินยังออกจะใจเต้นด้วยความตื่นเต้น

ทั้งเสียงธรรมเลื่อนลอย ทั้งรัศมีเทพลอยละล่อง มรดกที่จดบันทึกไว้ในม้วนหนังสัตว์ม้วนนี้ เพียงคิดก็รู้ว่าไม่ธรรมดาขนาดไหน

เพียงแต่ในที่สุดหลินสวินก็อดทนไว้ ไม่ได้ไปช่วงชิง

เขากับสองคนนี้ไม่ได้ผิดใจหรือแค้นเคืองกัน อีกทั้งบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณนี้ยังมีศุภโชคชิ้นอื่นอีก ไม่คุ้มค่าที่จะยื่นมือไปร่วมด้วย

หลินสวินตัดสินใจว่าจะไปดูที่อื่น

เพียงแต่ตอนที่เขาเพิ่งหันตัวกำลังจะจากไป กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งก็โจมตีเข้ามาทันใด

โครม!

นั่นเป็นกระบี่มรรคลายสนเล่มหนึ่งที่โชติช่วงราวดวงระวี เปล่งประกายไพศาล มีอานุภาพม้วนกวาดฟ้าดิน ฟาดฟันลงมา น่าครั่นคร้ามยิ่งนัก

หลินสวินหลบไปอีกด้านโดยแทบจะเป็นไปตามจิตใต้สำนึก

แต่ขณะเดียวกับที่เขาเคลื่อนไหว กระบองยาวที่รัดพันด้วยอสนีน่าพรั่นพรึงแท่งหนึ่ง มีอานุภาพบดขยี้ภูผาธารา ทำลายล้างจักรวาลก็พุ่งแหวกฟ้าออกมา

จะหลบหนีก็ทำไม่ได้!

การฆ่าฟันเช่นนี้เข้ามารวดเร็วนัก ทั้งร่วมมือกันอย่างเข้าขา เหมือนคำนวณอย่างแม่นยำไว้ก่อนแล้วว่าหลินสวินจะหลบไปที่นั่น

“ย่า!” ในเวลาสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ หลินสวินแผดเสียงราวอสนีในวสันตฤดู วงคลื่นเสียงสีทองเจิดจ้าแผ่กระจายออกมา

นี่เป็นความเร้นลับของเสียงคำรามผูเหลา

เพียงแต่ต่างจากแต่ก่อน วงคลื่นเสียงสีทองนั้นพลันแปรสภาพเป็นผนึกหนาแน่น บังเกิดเงามายาของสัตว์เทพป้าเซี่ยตัวหนึ่ง ทั้งสี่เท้าเหยียบย่างไปบนอากาศ ผนึกบริเวณนี้เอาไว้!

นี่คือผนึกป้าเซี่ย!

ปริศนาวิชาลับที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงสองชนิด ถูกหลินสวินหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบในชั่วเสียงคำรามเดียว และสำแดงออกมาอย่างครึกโครมในตอนนี้

ก็เห็นว่ากระบองยาวอสนีที่แหวกฟ้ามานั้นช้าลงในทันใด ความเร็วผ่อนลงดุจตกอยู่ในบึงโคลน

หลินสวินถือโอกาสนี้หายตัวไปจากที่เดิม เคลื่อนออกไปไกลราวภูตผี

โครม!

กระบี่มรรคลายสนฟันลงมา ทำให้ห้วงอากาศในตำแหน่งที่หลินสวินเคยยืนอยู่ส่งเสียงระเบิด เกิดเป็นสภาวะทำลายล้างไร้รูป

เปรี๊ยะ!

กระบองยาวอสนีหลุดออกจากพันธนาการ ฟาดกระแทกลงกับพื้น แผ่พุ่งเป็นดอกไม้ไฟแสบตานับหมื่นพัน

บนพื้นคือกิ่งก้านต้นไม้โบราณแน่นขนัด หากเปลี่ยนเป็นโลกภายนอก เพียงแค่อานุภาพของกระบองนี้ก็สามารถซัดมหาบรรพตลูกหนึ่งให้ราบได้!

เพียงคิดก็รู้ว่า หากเมื่อกี้หลินสวินตอบสนองช้ากว่านี้สักนิด ต้องถูกหนึ่งกระบี่หนึ่งกระบองนี้ประกบโจมตี ตกอยู่ในการกำราบโดยที่ไม่อาจโต้ตอบได้ ถึงขั้นอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส!

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง เพียงชั่วพริบตาก็สิ้นสุดลง แต่ภยันตรายที่เกิดขึ้นภายในนี้กลับสามารถทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนพรั่นพรึง

และก็ตอนนี้เอง เขาถึงเห็นผู้แข็งแกร่งสองคนที่ลอบโจมตีตนได้อย่างชัดเจน

“เป็นพวกเจ้า!” ดวงตาสีดำของหลินสวินบังเกิดรังสีเย็นเยียบ ความโกรธและจิตสังหารปรากฏขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา

ไกลออกไป มู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินเข้ามาด้วยกัน

เมื่อกี้พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดเพื่อชิงม้วนหนังสัตว์ม้วนนั้นอยู่ชัดๆ แต่ตอนนี้กลับร่วมมือกันอย่างแนบแน่น

ไม่ต้องคิดหลินสวินก็รู้ว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนเมื่อกี้นี้ เป็นเพียงการเล่นละครตบตาเพื่อหลอกตน จุดประสงค์แท้จริงของพวกเขาคือการฉวยโอกาสตอนที่ตนไม่ได้เตรียมพร้อมมาฆ่าตน!

นี่ทำให้ในใจหลินสวินบังเกิดไอสังหารที่ยากควบคุมได้ เมื่อครู่เขาเพิ่งตัดสินใจจะจากไป ไม่ต้องการแทรกแซง คิดว่าไม่ได้ผิดใจหรือแค้นเคืองสองคนนี้ ไม่คุ้มที่จะผูกความแค้นเพื่อช่วงชิงศุภโชค

แต่จะคิดได้อย่างไรว่าชั่วพริบตาเดียวนี้เอง อีกฝ่ายกลับร่วมกันลงมือกับตนซะได้ อีกทั้งยังโหดเหี้ยมหาใดเทียบ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะทำลายตน

“สมกับเป็นเทพมารหลิน เพียงแค่พลังการตอบสนองเช่นนี้ก็น่าตื่นตะลึงแล้ว” มู่เจี้ยนถิงประสานมือสรรเสริญ เขาสวมชุดนักพรตทั้งตัว ผมเกล้าเป็นมวย รูปร่างงามสง่า

“น่าประหลาดใจจริงๆ” เงาร่างเหลยเชียนจวินสูงใหญ่กำยำ หนวดเคราเผ้าผมสยาย สง่างามน่าเกรงขามข่มผู้อื่น

“ทำไม” หลินสวินเสียงเย็นเฉียบ

“แลกเปลี่ยนความรู้” มู่เจี้ยนถิงยิ้มบางๆ พลางเอ่ยปาก

“ไม่ผิด เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้” ดวงตาเหลยเชียนจวินแผ่สายฟ้าเย็นเยียบ

เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสอง หลินสวินก็รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบจากพวกเขาแน่ ต่อให้ซักไซ้อีกฝ่ายก็ต้องไม่บอก

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ไอสังหารในใจหลินสวินแรงกล้าขึ้น

ตลอดทางมานี้เขาระแวงพวกอวี่หลิงคง ซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์ และจั๋วขวงหลันอยู่เสมอ ไม่คิดเลยว่า บุคคลระดับที่เรียกได้ว่าผู้กล้าแห่งยุคเช่นเดียวกันอย่างพวกมู่เจี้ยนถิงนี้ กลับพุ่งปลายหอกมาทางตนด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด การเคลื่อนไหวเมื่อกี้ของทั้งสองคนก็ล้ำเส้นของหลินสวินแล้ว!

“แลกเปลี่ยนความรู้หรือ”

หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง ก้าวไปหนึ่งก้าว รัศมีเทพที่น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบแผ่ออกมาจากรอบกาย เปล่งประกายราวอาทิตย์สีใส

ชั่วพริบตาเท่านั้น ท่าทางเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว ราวกับเทพมารองค์หนึ่ง พลังขับเคลื่อนในร่างกายพลุ่งพล่าน ไต่ไปถึงสภาวะสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน

“ก็ดี ข้าจะแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเจ้าดีๆ ก็แล้วกัน!”

ผมสีดำของหลินสวินปลิวไสว กลิ่นอายราวห้วงน้ำเหวนรก ไอสังหารดุจกระแสวารีแผ่พุ่งออกมาจากร่างของเขา ปกคลุมไปทั่วบริเวณนี้อย่างมืดฟ้ามัวดิน

นันย์ตาของมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินพากันหดรัด สังเกตได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของหลินสวิน ทั้งสองคนสบตากันครั้งหนึ่งแล้วพากันออกโจมตีราวสื่อจิตถึงกันได้

สวบ!

คมกระบี่แสบตาพุ่งทะลุเมฆ โชติช่วงไพศาล ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี แขนเสื้อมู่เจี้ยนถิงโบกสะบัด พุ่งไปจู่โจมหลินสวินโดยไม่ลังเลประหนึ่งราชันมรรคกระบี่ที่มีไอพิฆาตสะท้านโลกาองค์หนึ่ง

เปรี้ยง!

อีกด้านหนึ่ง มุมปากของเหลยเชียนจวินยกขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม มือใหญ่ถือกระบองอสนีเล่มนั้น ก้าวไปในห้วงอากาศราวพยัคฆ์ร้ายออกจากถ้ำ กลิ่นอายระเบิดออกมาอย่างรุนแรง

——

แต่กลับเห็นว่าหลินสวินก็ยิ้มเหี้ยมเกรียมเช่นกัน เจดีย์สมบัติแปดเหลี่ยมรูปลักษณ์เก่าแก่ เจิดจรัสราวสร้างขึ้นจากทองคำองค์หนึ่งปรากฏขึ้นในมือตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท