องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 219 นางอันดับที่เท่าใด
“นี่คือสิ่งใด?” หนานกงเย่หยิบมีดทหารมาเปิดออก ฉีเฟยอวิ๋นหยุดรั้งไว้แล้วมือของเขาก็มีเลือดไหลออกมาในทันที พอปล่อยมือออกมีดก็ตกลงบนพื้นพร้อมกับเกิดเสียงกระทบกับพื้นขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นกุมมือของหนานกงเย่ทันที แล้วนำสิ่งของที่ใช้ฆ่าเชื้อออกมาฆ่าเชื้อให้เขาพร้อมทั้งพันแผลเอาไว้ด้วย
หนานกงเย่จดจ้องไปยังมีดบนพื้นอย่างเอาจริงเอาจัง มีดสามารถฉายประกายต่อคนซะแล้ว
ขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นพันแผลให้หนานกงเย่ หนานกงเย่ก็ก้มลงไปหยิบขึ้นมาแล้วมองซ้ำไปซ้ำมาและถามว่า: “นี่คือสิ่งใด?”
“มีดทหาร”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างจนใจ เมื่อมองไปยังใบหน้าของหนานกงเย่ก็รู้ว่าเขาชื่นชอบ
อย่างไรแล้วสถานที่นี้ไม่มีของสิ่งใดประณีตเช่นนี้
มีดชนิดนี้อยู่ที่นางทางโน้นก็พบเจอได้น้อย มาถึงที่นี่ก็ยิ่งขาดแคลน
“ใช้ทำสิ่งใด?” หนานกงเย่นั่งลง ไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บที่นิ้วของเขาตั้งนานแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง: “ของสิ่งนี้ที่พวกข้าทางโน้นในทีมของพวกข้ามีกันทุกคน แต่ว่าก็มีเพียงพวกเราแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น
“เล่มนี้เป็นของซูมู่หรง”
“ซูมู่หรง?” สีหน้าของหนานกงเย่หม่นหมอง: “ฮึ่ม!”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าคืนหนานกงจะโยนมีดในมือทิ้ง แต่เขาไม่ได้ทิ้งกลับกล่าวขึ้นมาว่า: “เช่นนั้นข้ายิ่งมอบให้เขาไม่ได้”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นชื่นชมคุณสมบัติอันธพาลอันน่าเกรงขามของหนานกงเย่ แย่งชิงยังแน่วแน่เช่นนั้น
“ท่านชอบก็เก็บไว้เถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยความจริงใจ
หนานกงเย่มองอย่างแน่วแน่: “ไม่เคยเห็นมาก่อนว่ามีอยู่?”
“พูดไปท่านก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อ” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
“ไม่พูดแล้วข้าจะรู้ได้เช่นไรว่าเชื่อได้หรือไม่?” หนานกงเย่ยิ่งรู้สึกไม่พอใจราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ รู้สึกอึดอัดไม่ค่อยสบายนัก
ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวถึงเรื่องราวที่พบมีดทหารในวันนั้นออกมา
หนานกงเย่แปลกใจ: “เจ้าหมายถึงว่าเจ้าฝันว่าซูมู่หรงขึ้นเป็นองค์ชายหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า: “ก่อนหน้านี้ข้าฝันว่าเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวและยังฝันว่าเขาตายไปแล้ว ต่อมาก็ฝันอยู่หลายครั้งราวกับว่าเขามาแล้วจริงๆ”
สีหน้าของหนานกงเย่ดูไม่ได้เลย: “เขามาแล้วก็ไม่รอดอยู่ดี”
ฉีเฟยอวิ๋นกรอกตาขาว: “แต่ว่าเหตุใดถึงมีมีดอยู่ด้ามหนึ่งหล่ะ?”
หนานกงเย่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน แต่เขาก็มองไปมองมาแล้วหยิบฝักมีดขึ้นมา ทำมาจากหนังสัตว์แต่แตกต่างจากหนังสัตว์ที่นี่ของพวกเขา
“นี่คือสิ่งใด?”
“นี่คือหนังสัตว์ที่ขัดแล้ว ขัดแล้วยิ่งทนทานมากขึ้น”
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบมีดแล้วใส่เข้าไปด้านในแล้วนำหนังไว้บนร่างกาย: “มีดเป็นใบมีดน้ำแข็ง ช่วงฤดูหนาวนำติดตัวไว้จะรู้สึกหนาวพวข้าจะวางไว้ตรงนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นวางมีดทหารไว้ตรงขากางเกงตบๆแล้วหยิบขึ้นมา: “มีซองหนังอยู่ภายในรองเท้าและมีซองหนังอยู่ด้านนอกด้วย เพื่อมิให้เป็นการทำให้ข้อเท้าได้รับบาดเจ็บ หากเป็นโลหะก็คือเหล็ก ทองแดง ซึ่งจะรู้สึกเย็นนักและไม่สะดวก ทั้งสามารถตกลงไปได้ การเสียดสีจะได้มิถูกที่ร่างกาย
นอกจากนี้เมื่อดึงฝักโลหะออกจะเกิดเสียงขึ้น ในภารกิจบางอย่างพวก-ข้าไม่สามารถออกเสียงได้ ”
หนานกงเย่นำมีดมาใส่ยังข้อเท้า ศึกษาอยู่ครู่หนึ่งยิ่งชื่นชอบมากขึ้นยิ่งนัก
“หลักแหลมยิ่งนัก” หนานกงเย่กล่าวด้วยความจริงใจ
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม: “อืม ใช่”
“ข้าชอบยิ่งนัก” หนานกงเย่เห็นสัญลักษณ์สามตัวบนมีด: “นี่คือสิ่งใด?”
“เลขอารบิก ศูนย์ไม่มีความหมาย หนึ่งหมายถึงหนึ่ง อันดับหนึ่ง” ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายอย่างตั้งอกตั้งใจ
“หมายถึงสิ่งใด?”
“ในกลุ่มของพวกข้ามากสุดก็ไม่เกินหนึ่งร้อยคน ศูนย์ศูนย์นั้นหมายความว่าไม่มีใครอยู่ข้างหน้า หนึ่งคืออันดับหนึ่งและเก่งกาจที่สุด”
หนานกงเย่ถามว่า: “นี่คือชื่อแทนตัวของซูมู่หรง เป็นมีดของเขา เขาเก่งกาจที่สุดหรือ?”
“อืม” ฉีเฟยอวิ๋นเต็มใจที่จะอยู่กับคนฉลาด และหนานกงเย่ก็เป็นคนฉลาด
หนานกงเย่ถามว่า: “แล้วเจ้าหล่ะ อันดับที่เท่าใด?”
“ท่านเดาดูสิ!”
“อันดับยี่สิบเก้า?”
“ฮ่าฮ่า…..” ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะหัวเราะ
“อันดับที่เท่าใดหล่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นยืนขึ้น: “ท่านเดาไม่ถูกหรอกเพคะ”
หนานกงเย่กระหายเต็มอกลุกยืนขึ้น: “ข้าต้องรู้ให้ได้”
“งั้นก็ค่อยๆคิด”
หนานกงเย่เดาหลายอันดับแต่ก็เดาไม่ถูก
หนานกงเย่ไม่เดาแล้ว มองดูมีดแล้วถามว่า “นี่มันเหล็กอะไรถึงได้คมเช่นนี้?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าหนานกงเย่เป็นเหมือนเด็กทารกที่อยากรู้อยากเห็นซึ่งไม่เข้าใจอะไรเลยและต้องการรู้ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างร้อนรน
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม: “นี่คือทำจากเหล็กชนิดหนึ่ง ผ่านกระบวนการหลังจากอุณหภูมิที่สูง แต่ว่าข้าทำไม่สิ่งนี้ไม่เป็น”
หนานกงเย่รู้สึกผิดหวัง: “เหตุใดถึงไม่เป็นหล่ะ?”
“ข้าก็ไม่ได้สามารถทำได้ทุกอย่าง หากข้าสามารถทำได้ทุกอย่างข้าก็กลับไปแล้ว”
“เจ้ากล้าหรือ?”
หนานกงเย่รีบเดินไปหาฉีเฟยอวิ๋นและกอดฉีเฟยอวิ๋นอย่างดุเดือด: “อย่าได้กล่าวเช่นนี้อีก หากอวิ๋นอวิ๋นยังไม่สำนึกผิด ข้าจะลงกลอนขังอวิ๋นอวิ๋นเอาไว้”
“……”ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจ แต่คิดว่าทำไมจู่ๆถึงมีมีดเพิ่มขึ้นมาเล่มหนึ่งหล่ะ?
“ตอบข้ามา”
“อืม” ฉีเฟยอวิ๋นถือว่ารับปากแล้ว
หนานกงเย่ดึงตัวฉีเฟยอวิ๋นกลับไป ถือมีดเอาไว้ในมือแล้วถามคำถามมากมาย ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวไปกล่าวมาก็ไม่กลัวแล้วจึงนอนพักอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่ หนานกงเย่ถือมีดในมือและเริ่มไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
จักรพรรดิอวี้ตี้เสด็จไปประทับอยู่กับพระพันปี พระพันปีทอดพระเนตรพระองค์อยู่ครู่หนึ่ง: “เวลาใดแล้วเหตุใดถึงยังไม่กลับไปพักผ่อน มาอยู่ที่ตำหนักของข้าด้วยเหตุใด?”
“องค์หญิงใหญ่เฆี่ยนโบยทุกคนแล้ว ได้ยินมาว่านิ้วมือของพระชายาเฉิงชินอ๋องหักสามนิ้ว ต่อไปก็ไม่มีวันหายซะแล้ว”
หญิงผู้หนึ่งเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ต่อไปภายภาคหน้าไม่สามารถพบหน้าผู้คนได้แล้ว
เดิมทีเฉิงชินอ๋องพิกลพิการ ตอนนี้พิกลพิการเพิ่มขึ้นจากพิกลพิการอีก ได้ยินมาว่าเฉิงชินอ๋องอดอาหารแล้ว”
พระพันปีเพิกเฉย: “ความเมตตาของฝ่าบาทนั่นข้ารับรู้ แต่นิสัยขององค์หญิงใหญ่ใช่ว่าฝ่าบาทจะไม่รู้ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เวทนาพวกเขาแต่ผู้ใดเคยสงสารข้าบ้าง?”
จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสว่า: “ข้าก็รู้เช่นกันว่าเรื่องคราวนี้ไม่ใช่ความผิดขององค์หญิงใหญ่ แต่พระนางรู้ว่าอ๋องเย่แกล้งตายแล้วยังลงทัณฑ์เหล่าชินอ๋องทั้งหลาย ประสงค์สิ่งใดหรือ?”
พระพันปีทอดพระเนตร ยังถือว่าพอพระทัยในองค์จักรพรรดิอวี้ตี้
ผู้เป็นจักรพรรดิ ไม่สามารถเมตตาเกินไปได้เป็นเรื่องธรรมดา
ในเมื่อเป็นเพียงการยืมเรื่องของเฉิงชินอ๋องมาถามถึงความสงสัยในพระทัย พระพันปีก็ไม่ต้องการทรงตำหนิแล้ว
“จงชินทั้งหลายไม่พอใจในสิ่งที่ข้ากระทำ แต่พวกเขาเห็นเพียงสิ่งที่ข้ากระทำและลืมไปว่าข้าทำด้วยเหตุอันใด
ข้าให้พวกเขาเข้าวังมารอความตาย เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
หากพวกเขาสงบเสงี่ยมและซื้อสัตย์ ขจัดความคิดที่ไม่ควรมีออกไปทุกอย่างก็ง่ายที่จะพูดคุยกัน
แต่พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ขจัดออกไปกลับยิ่งโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น
หากว่าหรงชินอ๋องแบกรับความรับผิดชอบแล้วฝากฝังไว้ให้ชัดเจน อย่างมากก็เนรเทศ พวกเขายินยอมที่จะละทิ้งหรงชินอ๋องและให้อ๋องเย่แบกรับเรื่องนี้ไว้ คือเป็นการหักแขนข้างหนึ่งของฝ่าบาท
อ๋องตวนเกิดเรื่อง อ๋องเย่เกิดเหตุ นางถือว่าในราชสำนักไม่มีผู้คนอยู่
รังแกแม่ม่ายลูกกำพร้าอย่างข้าหรือ?
ขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ในราชสำนักไม่ยอมออกหน้า เนื่องจากพวกเขาเป็นจงชินเลยไม่มีผู้ใดจัดการ
แต่พวกเขาลืมไปว่ายังมีศาลพิเศษกลางอยู่
ยังมีองค์หญิงใหญ่
อดีตจักรพรรดิมองออกแต่แรกแล้วถึงความทะเยอทะยานของพวกเขา
หากพวกเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างรู้หน้าที่อันพึงกระทำ ทุกอย่างก็พูดง่าย
หากว่าพวกเขาไม่ยอม แม่ม่ายลูกกำพร้าอย่างข้าแล้วเช่นไร?
ในเมื่อสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคงก็ไม่เกรงกลัวการก่อกบฏของจงชิน”
“องค์หญิงใหญ่กระทำตามเจตนารมณ์ของเสด็จแม่?” จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกแปลกพระทัยอยู่บ้าง