Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 949

ตอนที่ 949

ตอนที่ 949 ข้อเรียกร้องพิเศษของซย่าจื้อ
แม่นางเยวี่ยรู้ว่าในตัวหลินสวินมีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันเรียกได้ว่าไม่มีใครสู้ได้ และสามารถสังหารศัตรูข้ามระดับได้

ในโลกปัจจุบัน คนที่สามารถสู้กับเขาได้ก็มีเพียงแค่พวกปีศาจที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎและรากฐานพลังน่ากลัว!

แม่นางเยวี่ยมาจากแดนเร้นอริยะ สติปัญญายอดเยี่ยม ประสบการณ์ย่อมกว้างขวางไม่ธรรมดา แต่เมื่อนางตัดสินความสามารถของหลินสวินในตอนนี้ ในใจนางเองก็อดรู้สึกถึงแรงกดดันไม่ได้

หากเขาเข้าไปในแดนชัยบูรพา พุ่งเป้าหมายไปที่ไหน ใครจะสู้ได้

นี่ไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยรูปแบบที่ยอมรับกันในปัจจุบัน ไม่สามารถประเมินพลังต่อสู้ของหลินสวินได้แล้ว!

มหาสงครามจะต้องมีที่ยืนของเขาแน่ ที่น่าขันคือ แต่ละสำนักในแดนฐิติประจิมกลับคิดแต่จะฆ่าผู้ที่โดดเด่นไร้เทียมทานระดับนี้ เลอะเลือนจริงๆ

แม่นางเยวี่ยนึกถึงการต่อต้านและโจมตีที่หลินสวินประสบในแดนฐิติประจิม ในใจก็รู้สึกเหลวไหลและนึกขำ

ทว่านางก็เข้าใจดี ไม่ว่าผู้กล้าคนใดถือกำเนิดขึ้น ก็ล้วนถูกกำหนดให้ชักนำมาซึ่งการโจมตีและศัตรูอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ยิ่งไปกว่านั้นหลินสวินยังมาจากโลกชั้นล่าง หัวเดียวกระเทียมลีบ ศัตรูและการกดขี่ที่เผชิญแน่นอนว่าต้องมากกว่า นี่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!

แม้เข้าสู่แดนชัยบูรพา หากไม่มีขุมอำนาจสำนักที่แข็งแกร่งหนุนหลัง หลินสวินอยากผงาดเติบใหญ่ต่อ คงต้องเผชิญแรงกดดันมากมาย!

……

“รีบไปจากที่นี่” หลินสวินกลับมาแล้ว แม้จะได้รับชัยชนะแต่สีหน้าของเขากลับดูเคร่งขรึมกว่าก่อนหน้านี้

ดวงตาคู่ใสของแม่นางเยวี่ยวาบประกายเยียบเย็น พลันสั่งว่า “ออกเดินทางเต็มกำลัง!”

พวกโค่วซิงเห็นเช่นนี้ แม้ในใจจะสงสัยแต่ไม่กล้าชักช้าสักนิด รีบควบคุมยานสำเภาเคลื่อนห่างออกไป

“ทำไมหรือ” แม่นางเยวี่ยเดินเข้ามาถาม

“มีคนแอบจับตาดูอยู่ และการต่อสู้เมื่อครู่นี้สะเทือนไหวเกินไป กลัวว่าคงดึงดูดความสนใจของสิ่งมีชีวิตน่ากลัวบางชนิดในแม่น้ำพรมแดนแล้ว”

หลินสวินสีหน้าจริงจัง ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าจะเก็บกวาดสนามรบ ตักตวงผลประโยชน์จากเหล่าผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นสักหน่อย

แต่ในใจเขากลับเกิดสั่นไหวอย่างรุนแรง รู้สึกกระวนกระวาย สัญชาตญาณที่บ่มเพาะมานานทำให้เขาตัดสินใจถอนตัวอย่างเด็ดขาด

นี่คือแม่น้ำพรมแดน ตั้งแต่บรรพกาลจนตอนนี้มีตำนานซึ่งทำให้ทุกคนที่พูดถึงล้วนหน้าเปลี่ยนสี อันตรายไม่อาจคาดเดา ถูกมองว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังไม่กล้าก้าวเข้ามาง่ายๆ

แม้ปัจจุบันแม่น้ำพรมแดนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เริ่มดึงดูดผู้แข็งแกร่งมากมายเข้ามาผจญภัยและสำรวจ

แต่ถึงอย่างไรก็ยังอันตรายเกินไป!

แม่นางเยวี่ยตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ อดพูดไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”

“ยังดี” หลินสวินพูดสบายๆ

ความจริงการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาเองก็เสียแรงไปมาก โดยเฉพาะตอนที่ใช้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตต่อต้านกระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เขาเกือบจะต้านทานไม่ไหว

สมบัตินี้แม้จะวิเศษอัศจรรย์ แต่ตอนที่กลืนกินและสั่งสมพลัง กลับต้องการพลังวิญญาณมหาศาลเพื่อสนับสนุนมัน

โชคดีที่ครั้งนี้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตสั่งสมพลังจนเต็มอีกครั้ง และเป็นอานุภาพที่มาจากกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แม้ตอนนี้เจอศัตรูอีก เพียงปลดปล่อยออกมาก็สามารถทำให้เกิดพลังทำลายล้างที่น่ากลัวอย่างไม่สามารถจินตนาการได้!

……

พวกหลินสวินเพิ่งจากไป ยานสำเภาสีทองอร่ามลำหนึ่งก็โฉมเข้ามา

“ลั่วเจีย ตอนนี้เจ้าควรบอกข้าว่าเจ้าหมอนั่นเป็นใครได้แล้วกระมัง” บนยานสำเภา สายตาของซุ่นไป๋เสวียนราวกับสายฟ้า กวาดมองสนามรบ

ก่อนหน้านี้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในที่มืด เฝ้าดูการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าตะลึงโลก ทำให้ซุ่นไป๋เสวียนเองก็รู้สึกตะลึง ในใจไม่สามารถสงบได้

เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ในแม่น้ำพรมแดนนี้จะสามารถเจอ ‘คนรุ่นเดียวกัน’ ที่พลิกฟ้าเพียงนี้ ฆ่าราชันกึ่งระดับราวกับหั่นแตงสับผัก วิปริตเกินไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เขาสนใจดาบหักและขวดมหามรรคไร้ขอบเขตในมือหลินสวินอย่างมาก สัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์และแข็งแกร่งของมัน

ลั่วเจียเงียบ นางกำลังคิดทบทวนแต่ละภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้อย่างละเอียด ในที่สุดนางก็ได้ข้อสรุปหนึ่ง เมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ในเทศกาลโคมกถามรรค เด็กหนุ่มที่ถูกมองว่าเป็นเทพมารคนนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว!

“เขาคงไม่ใช่เทพมารหลินนั่นหรอกนะ” ซุ่นไป๋เสวียนสงสัย

“นอกจากเขา ยังมีใครที่มีพลังต่อสู้พลิกฟ้าเพียงนี้” ลั่วเจียคืนสู่ความสงบ เสื้อผ้าพลิ้วไปตามสายลม นัยน์ตานิ่งสงบ ใบหน้าเรียบเฉย

“เป็นเขาจริงๆ หรือนี่” ซุ่นไป๋เสวียนตะลึง “ไม่ใช่บอกว่าที่พึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือเจดีย์สมบัติลึกลับที่สร้างจากเหล็กเทพศุภโชคองค์หนึ่งหรือ”

ลั่วเจียถอนหายใจเบาๆ กล่าว “เขายังไม่ได้ใช้เจดีย์สมบัติด้วยซ้ำก็สามารถต้านทานพลังเจตจำนงอริยะได้แล้ว นี่ต่างหากที่น่ากลัวกว่าไม่ใช่หรือ”

ซุ่นไป๋เสวียนคิดตามคร่าวๆ ก็เข้าใจทันที จากนั้นยิ้มพูดว่า “ในที่สุดก็ได้เห็นศักยภาพของเทพมารหลิน ไม่เลว หาใช่ชื่อเสียงจอมปลอม เฮ้อ ไม่รู้ว่าเขาจะยอมให้ข้า ‘ยืม’ เล่นสมบัติในมือหรือไม่”

พูดถึงตรงนี้ ประกายไหววาบพลุ่งพล่านในดวงตาเขา สว่างไสวน่ากลัว แผ่อานุภาพไร้รูปไปทั่วร่างกาย ราวกับจักรพรรดิที่มาเยือนโลก หยิ่งผยองและอวดดี

คิ้วงามของลั่วเจียขมวดเข้าหากันทันที เอ่ยว่า “เจ้าก็ได้เห็นความน่ากลัวของเขาแล้ว ยังคิดจะไปหาเรื่องเขาอีกหรือ”

“หาเรื่อง?”

ซุ่นไป๋เสวียนยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวดั่งหิมะที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ “ไม่ ข้าเจอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงแล้วยากจะทนความตื่นเต้นในใจ อยากจะดวลกับเขาสักครั้ง หากสามารถยืมสมบัติในมือเขามาเล่นสักหน่อยก็ยิ่งดี”

พูดถึงตรงนี้เขาเหมือนทนรอแทบไม่ไหวแล้ว เร่งยานสำเภาเคลื่อนไปในทิศทางที่พวกของหลินสวินหายไป “ดูฤกษ์ไม่สู้บังเอิญ ไปๆๆ ไปเล่นตอนนี้เลย!”

ลั่วเจียปวดหัวขึ้นมา หากพูดถึงความสามารถในการหาเรื่อง ซุ่นไป๋เสวียนคนนี้ฝีมือดีจริงๆ และอะไรที่เขาตัดสินใจแล้ว ใครก็ห้ามไม่ได้

บรรดาคนรุ่นเยาว์ในตระกูลอริยะปัจจุบัน ทายาทสายตรงที่มาจากตระกูลซุ่นมีฉายาว่า ‘ราชันมารจอมก่อกวน’ ไม่เห็นใครในสายตา ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ!

หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของอีกฝ่ายกับขุมอำนาจที่นางอยู่ตอนนี้ไม่เลว นางไม่มีทางขอให้เจ้าหมอนี่มาช่วยตนแน่

“เจ้าลืมเป้าหมายครั้งนี้ของเราแล้วหรือ” ลั่วเจียตั้งใจจะห้ามอีกครั้ง

“จะกล้าลืมได้อย่างไร หลังจากสู้กับเจ้าหมอนั่นสักตาหนึ่ง ข้าก็จะไปกำราบเสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้นให้เจ้า!” ซุ่นไป๋เสวียนยิ้มพูดอย่างลำพองใจ

“ในมือเขามีสมบัติอริยะ!”

“เหอะ การเดินทางครั้งนี้ข้าก็พกอาวุธสังหารที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษในตระกูลมาด้วยชิ้นหนึ่ง ไปกำราบเสี้ยววิญญาณหงส์ดำเลือดทมิฬครานี้ต้องพึ่งสมบัตินี่เชียวนะ”

“เจ้าไม่กลัวโดนจัดการหรือ”

“ฮ่าๆๆ ลั่วเจีย แม้เทพมารหลินนั่นจะแข็งแกร่ง แต่เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวเขาหรือ” สีหน้าของซุ่นไป๋เสวียนเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ตอนนี้ลั่วเจียล้มเลิกความคิดที่จะห้ามเขาแล้ว ในใจคิดเพียงว่าหากหลินสวินสามารถต่อยเจ้าหมอนี่หนักๆ สักยก กำจัดความหยิ่งผยองของเขาสักหน่อยก็ไม่เลว

……

ในห้อง หลินสวินนั่งขัดสมาธิฟื้นพลังกาย

ข้างๆ ซย่าจื้อนั่งตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะ กินอาหารที่หลินสวินเตรียมให้นางอย่างตั้งใจ ดวงหน้าเล็กขาวผ่องที่สามารถทำให้ฟ้าดินมืดมนลงนิ่งสงบเหมือนเคย

“ฆ่าศัตรูก็คือฆ่าศัตรู เหตุใดต้องเคี่ยวกรำวิชายุทธ์ หากตอนนั้นเจ้ามีสมาธิเสียหน่อย การต่อสู้ครั้งนั้นคงจบไปตั้งนานแล้ว” ซย่าจื้อกินข้าวไปพลางวิจารณ์ไปด้วย เสียงที่ใสราวกับน้ำพุดังก้องอยู่ในห้อง

ถูกแม่นางน้อยอย่างซย่าจื้อสบประมาท ทำให้ใบหน้าหลินสวินแทบแขวนไว้ไม่อยู่ เอ่ยปากอธิบายว่า “ฆ่าศัตรูเป็นเรื่องรอง สิ่งที่ข้าขาดที่สุดตอนนี้คือยกระดับพลังต่อสู้ นี่ต่างหากที่สำคัญที่สุด”

“วิธียกระดับพลังต่อสู้มีมากมาย ไม่เห็นต้องทำเช่นนี้”

ซย่าจื้อคีบแผ่นเนื้อที่ย่างอย่างอิ่มฉ่ำมันเยิ้มชิ้นหนึ่งเข้าปากไป เคี้ยวไปด้วยพร้อมพูดงึมงำ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว อีกไม่นานข้าอาจจะเข้าสู่การจุติครั้งที่สี่แล้ว ก่อนหน้านั้นข้าหวังว่าเจ้าจะรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”

หลินสวินอึ้ง “เร็วขนาดนี้เลยหรือ”

ซย่าจื้อขานรับว่าอืม ยังคงกินต่อ

“เรื่องอะไร หากทำได้ข้ารับปากทั้งหมด” หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอบอย่างเด็ดเดี่ยว นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าจื้อเป็นฝ่ายเสนอข้อเรียกร้องก่อน เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร

“ง่ายมาก”

พูดถึงตรงนี้ ซย่าจื้อวางถ้วยและตะเกียบลง เงยดวงหน้าเล็กอันงดงามราวกับภาพวาดขึ้น ดวงตาเสี้ยวพระจันทร์ที่กระจ่างใสราวกับดวงดาราจ้องหลินสวินซึ่งอยู่ตรงหน้าพร้อมพูดอย่างจริงจัง “ช่วงที่ข้าจุติกำเนิดใหม่ เจ้าห้ามหยอกล้อยั่วเย้าผู้หญิง ห้ามมีผู้หญิงข้างนอก แม้คนอื่นเข้าหาก่อน ก็ห้าม”

หลินสวิน “…”

มุมปากของเขากระตุกอย่างควบคุมไม่อยู่ อึ้งจนไปต่อไม่ถูก เดาอย่างไรเขาก็เดาไม่ออกเลยว่าซย่าจื้อจะเสนอข้อเรียกร้องที่ ‘เกิดเหตุ’ เช่นนี้!

เขาพูดอย่างหัวเสีย “ที่ผ่านมาข้าไม่เคยทำเช่นนี้เลย เจ้ากำชับเช่นนี้ ไม่เคารพความรู้สึกของข้าเกินไปแล้วกระมัง”

ซย่าจื้อพูดอย่างสมเหตุสมผล “ข้ากำลังดับไฟแต่ต้นลม ที่ผ่านมาไม่เคยทำ ไม่ได้หมายความว่าต่อไปเจ้าจะไม่ทำ”

แตกต่างจากเมื่อก่อน ซย่าจื้อในตอนนี้กลายเป็นเด็กสาวที่สวยงามตะลึงโลกแล้ว งดงามบริสุทธิ์ คิ้วตาราวกับจันทราบนท้องฟ้า เรือนร่างอรชรแบบบางแต่สง่างาม ไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

กับข้อเรียกร้องเช่นนี้ของนาง คงไม่มีใครใจร้ายปฏิเสธได้ลง

แต่หลินสวินกลับรู้สึกอัดอั้นอย่างมาก นับดูแล้วตนกำลังจะอายุสิบแปดปีแล้ว กลับยังไม่เคยสัมผัสกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ตอนนี้ยังจะถูกห้ามไม่ให้ทำเช่นนี้ นี่จะให้เขาเดียวดายไปชั่วชีวิตหรือ

ข้อเรียกร้องนี้ยอมไม่ได้จริงๆ!

“ไม่ได้” หลินสวินปฏิเสธข้อเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลนี้อย่างเด็ดเดี่ยว ทนไม่ได้หรอกนะ หากทน ชีวิตต่อจากนี้จะอยู่อย่างไร

วิธีการของซย่าจื้อง่ายดายมาก ลุกขึ้นพูด “เช่นนั้นตอนที่ข้าตื่นมาอีกครั้ง ข้าจะโกรธมาก”

หลินสวินอึ้ง “จริงจังหรือ”

ซย่าจื้อพยักหน้านิ่งๆ

หลินสวินลุกขึ้นพูดอย่างหัวเสีย “นี่เจ้าคิดจะก่อกบฏหรือ เจ้าทำได้ลงคอหรือ”

ซย่าจื้อเลิกคิ้วละมุนละไม คิดๆ แล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ ข้าถอยให้ก้าวหนึ่ง ถึงตอนนั้นหากเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะยอมรับการปฏิเสธของเจ้า แต่ถ้าไม่สามารถชนะข้าได้ เจ้าก็ต้องยอมรับ”

หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเล “ตกลงตามนั้น!”

เขาไม่เชื่อว่าเขาจะทำไม่ได้!

“หลินสวิน บนโลกนี้ ข้ายอมถอยให้เจ้าแค่คนเดียว” ซย่าจื้อพูดอย่างจริงจัง

เผชิญกับดวงตาคู่ใสกระจ่างของซย่าจื้อ มองสีหน้าจริงจังบนดวงหน้าเล็กอันงดงามและขาวเนียนของเด็กสาว ในใจหลินสวินก็สั่นไหวเบาๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ

ตอนนี้เอง เสียงรบกวนที่สับสนวุ่นวายดังขึ้นจากนอกห้อง ทำให้หลินสวินตกใจ เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว

ซย่าจื้อเองก็เหมือนไม่พอใจ คิ้วสีดำสนิทราวกับหมึกทั้งคู่ขมวดอย่างยากจะสังเกตเห็น

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท