Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 938

ตอนที่ 938

ตอนที่ 938 แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจ
“เคยเห็น”

ผู้สืบสอดสำนักยุทธ์พันเวทที่เฝ้าอยู่แถวแม่น้ำพรมแดนสีหน้าเปลี่ยนไปน้อยๆ ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของผู้แข็งแกร่งกลุ่มนี้ ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ

“สองชั่วยามก่อน แม่นางคนนี้เข้ามาในแม่น้ำพรมแดนพร้อมกับนักผจญภัยกลุ่มหนึ่ง”

“เจ้ารู้จักนักผจญภัยพวกนั้นหรือไม่” ชายชราเคราขาวหน้าอมเลือดฝาดเอ่ยถามเสียงเย็น

พรึ่บ!

คนผู้นั้นรีบหยิบคันฉ่องทะลวงมายาออกมาทันใด แสงวิญญาณหมุนวนคุโชน เริ่มทำการพลิกหา เนิ่นนานในที่สุดก็พบภาพยามที่ขบวนของพวกหลินสวินเข้ารับการตรวจค้น

“เป็นพวกเขา”

สายตาดั่งสายฟ้าของชายชรากวาดสำรวจบนตัวพวกโค่วซิง หน้าเขียว จงอางแดง และหลินสวินทีละคน ท้ายที่สุดก็มองไปบนตัว ‘แม่นางเยวี่ย’ คนนั้น

“เป็นนาง!” กลุ่มผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้ชายชราต่างเผยสีหน้าเจือไอสังหาร คล้ายอยากเคลื่อนไหวเต็มกำลัง

“ไป!”

จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็พุ่งไปทางแม่น้ำพรมแดนราวกับลมกระโชก

“พวกเขาเป็นใคร น่ากลัวชะมัดยาด!”

“ดูท่าทางไม่คล้ายขุมอำนาจของแดนฐิติประจิมของพวกเราเลย…”

“จะวุ่นวายแล้ว แม่น้ำพรมแดนเปลี่ยนแปลงน่าตกใจ จะต้องเกิดคลื่นลมมากมายขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน!”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในบริเวณนั้นดังไม่หยุด กลุ่มผู้ฝึกปราณต่างหวั่นใจอยู่ไม่สุข

กลุ่มคนเมื่อครู่นั้นแต่ละคนราวกับเดินออกมาจากขุมนรก ไอสังหารคละคลุ้งรอบกาย น่าสะพรึงหาใดเปรียบ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่พวกเขามีราชันกึ่งระดับเป็นกองกำลังหลักหกคนเต็มๆ!

……

แม่น้ำพรมแดนกว้างใหญ่ ไหลเชี่ยวพลุ่งพล่าน สามารถพบเห็นมรสุมหอบม้วนได้ทุกหนทุกแห่ง ห้วงอากาศปั่นป่วน ภัยธรรมชาติเกรี้ยวกราดพบได้บ่อยครั้งบนที่แห่งนี้ เป็นภาพน่าสยดสยองถึงที่สุด

หลังจากเข้าสู่แม่น้ำพรมแดน โค่วซิงเรียกยานสมบัติสีเทาเข้มออกมาลำหนึ่ง บรรทุกทุกคนเดินหน้ากลางห้วงอากาศอย่างระมัดระวัง

หน้าเขียวกำลังนำทาง

จงอางแดงพานักผจญภัยคนอื่นๆ เฝ้าประจำการตามมุมต่างๆ ในยานสมบัติ รอตั้งรับเต็มรูปแบบ

ตามที่พวกเขากล่าวมา หลังจากเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนแล้ว อันตรายจะอุบัติขึ้นได้ทุกช่วงเวลา แม้จะเป็นพวกหน้าเก่าที่มากประสบการณ์ก็ไม่กล้าละเลยการป้องกัน

ในแม่น้ำพรมแดนมีความเร้นลับและแปลกประหลาดมากมายเกินไป เวิ้งนภามืดสลัว มีบางจุดแตกเป็นเสี่ยงกลายเป็นหลุมดำหมุนวนที่พาให้คนพรั่นใจ บรรยากาศบีบเค้นหาที่เปรียบไม่ได้

ระหว่างทางพวกเขาได้พบเงาร่างของผู้ฝึกปราณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเป็นครั้งคราว เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ฝึกปราณระหว่างทางก็ค่อยๆ ลดน้อยลง…

ทันใดนั้นเสียงแปลกประหลาดลอยมาระลอกหนึ่ง เสียงอือๆ ฮือๆ เหมือนตัดพ้อร้องรำพัน ถึงจะแสนเบาหวิวแต่กลับสมจริงยิ่งนัก ราวกับลอยมาจากจุดลึกสุดของใต้หล้า

โค่วซิงหน้าเปลี่ยนสี เผนแววตกใจ ทอดมองไปยังที่ไกลๆ

ก็เห็นว่าบนพื้นผิวแม่น้ำสีเทาเข้มที่ไหลเชี่ยวพลุ่งพล่านไกลๆ มีเบาะรองนั่งสีเลือดน่าอัศจรรย์ใบหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ลอยคว้างไม่มั่นคง

บนเบาะรองนั่งมีเงาร่างหญิงสาวที่คล้ายมีแต่ไม่มีคนหนึ่งกำลังก้มหน้าหลั่งน้ำตา บริเวณลำคอของนางถูกกระบี่เลือดเล่มหนึ่งเสียบผ่าน พาให้ผู้คนสะท้านสั่นเทา

คนอื่นๆ ต่างก็ผงะ เบาะรองนั่งสีเลือด มีหญิงสาวร่ำไห้ เสียงร้องโหยหวนเย็นยะเยือก กระบี่เลือดเจาะทะลุลำคอของนาง แต่นางกลับดูเหมือนไม่รู้ตัว

ภาพนี้ออกจะสยองขวัญไปหน่อยแล้ว

เพียงแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น โค่วซิงคล้ายมองเห็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ร้องตะโกนเสียงเข้ม “หนีเร็ว!”

นั่นคืออะไร

หลินสวินอยากถาม แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก พวกโค่วซิงก็บังคับยานสมบัติถอยห่างจากพื้นที่บริเวณนี้

โครมครืน!

ไม่นานหลนสวินก็ใจสะท้าน มองเห็นพื้นที่เบื้องหน้าพวกเขาแตกสลายกลายเป็นเสี่ยง เวิ้งนภาพังครืน แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกลายเป็นกระแสน้ำวนปั่นป่วน กลืนกินพื้นที่แถบนั้นทั้งแถบ…

“นี่…”

หลินสวินไหวหวั่น เมื่อครู่หากชักช้าไปเพียงนิดเดียว เกรงว่าคงจมมิดไปในพริบตา

“ลือกันว่านั่นคือเสี้ยวเจตจำนงอริยะที่เน่าเปื่อยในที่แห่งนี้ตั้งแต่ยุคบรรพกาล ผ่านการกัดเซาะของกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุดก็ไม่ถูกดับทำลาย ในแม่น้ำพรมแดน ขอเพียงบังเอิญพบเจ้าของเส็งเคร็งนี่ต้องรีบหนีห่างทันที หาไม่คงต้องทิ้งชีวิตอยู่ที่นี่!”

จงอางแดงอยู่แถวนั้นคล้ายกับมองออกว่าหลินสวินกำลังสงสัย จึงอธิบายเสียงขรึมหนึ่งครา

เสี้ยวเจตจำนงอริยะ!

หลินสวินนึกถึง ‘กองทัพวิญญาณอาฆาต’ ซึ่งเคยเจอที่สุสานสมุทรฝังมรรคในทะเลกลืนวิญญาณขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกัน เห็นได้ชัดว่าเสี้ยวเจตจำนงอริยะนี้น่ากลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ยานสมบัติมุ่งหน้าต่อไป บรรยากาศโดยรอบยิ่งบีบเค้นมากขึ้นทุกที ฟ้าดินมืดสลัว แม่น้ำไหลเชี่ยว ห้วงอากาศปั่นป่วน สายฟ้าและมรสุมเกรี้ยวกราดไม่หยุดหย่อน

แม้แต่หลินสวินยังรู้สึกใจเต้นเนื้อกระตุก หากเขามาเองคงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปลึกกว่านี้แน่

และไม่น่าแปลกใจที่ในคำเล่าขานตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แม่น้ำพรมแดนถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาภายในนี้ เพราะภาพในนี้น่าสะพรึงเกินไปจริงๆ

ตามคำบอกเล่าของจงอางแดง หากคิดจะไปถึงแดนชัยบูรพาอีกฝั่งหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาข้ามแม่น้ำพรมแดนนานกว่าครึ่งเดือน!

ยิ่งกว่านั้นเมื่อเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนลึกเข้าไป ความแปลกประหลาดและเคลือบคลุมที่พานพบทั้งหมดยังมีแต่จะน่ากลัวและอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ…

โชคดีเพียงอย่างเดียวคือพวกโค่วซิงต่างเป็นมือฉมังมากประสบการณ์ เคยเข้าออกแม่น้ำพรมแดนหลายต่อหลายครั้ง มีพวกเขาคอยนำทางก็พอจะหลบเลี่ยงอันตรายถึงแก่ชีวิตส่วนหนึ่งได้

“หัวหน้า ท่านดูนั่น ภูเขากระดูกขาวลูกนั้นโผล่มาอีกแล้ว!” นักผจญภัยคนหนึ่งร้องอุทานเสียงหลง

ในบริเวณไกลโพ้น แม่น้ำม้วนตลบ ปรากฏภูเขาลูกใหญ่ที่เกิดจากการทับถมของกระดูกขาวลูกหนึ่ง มีหยาดเลือดไหลหลั่งเจิ่งนองออกจากภูเขากระดูกขาว แปลกประหลาดและน่าสยดสยอง

ภูเขากระดูกขาวไม่รู้ว่ามีขนาดใหญ่เพียงใด กระดูกขาวที่ทับถมบนนั้นถึงกับมีดอกไม้เลือดดอกแล้วดอกเล่ากำเนิดขึ้น กลีบดอกสีแดงฉานหาที่เปรียบไม่ได้ หยาดเลือดที่ไหลล้นออกมาก็หลั่งออกมาจากเกสรดอกไม้นั่น

“ภูเขาฝังวิญญาณ ดอกไม้นรกสีเลือด!”

พวกโค่วซิงต่างอึ้งงัน คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าต้องเจอกับภาพ ‘ดุดันยิ่งใหญ่’ ถึงเพียงนี้หลังจากที่เพิ่งเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนได้เพียงสองชั่วยาม

ภูเขาฝังวิญญาณ สิ่งที่กลบฝังอยู่คือดวงวิญญาณของผู้แข็งแกร่งยุคบรรพกาล

ส่วนดอกไม้นรกสีเลือดนั้นกลับเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า หล่อเลี้ยงโดยใช้เลือดเนื้อของผู้แข็งแกร่ง เพียงสัมผัสโดน ก็จะถูกทำลายกายเนื้อในชั่วพริบตาราวกับตกสู่แดนนรกสีเลือด!

ปกติแล้วไม่ว่าภูเขาฝังวิญญาณหรือดอกไม้นรกสีเลือด ต่างก็มีอยู่เฉพาะสมัยบรรพกาลเท่านั้น มีเพียงสถานที่แสนอันตรายนองเลือดที่สุดจึงจะปรากฏสิ่งอัปมงคลเช่นนี้ขึ้นมา

แต่ขอเพียงพวกมันปรากฏขึ้น นั่นหมายความว่าหายนะอับโชคกำลังจะมาเยือนอย่างแน่นอน!

“หนีเร็ว!”

โค่วซิงสีหน้าไม่น่าดู เดิมคิดว่าแม่น้ำพรมแดนเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกใจ ความอัปมงคลและพิสดารทั้งหมดจะสงบลงไม่น้อย ไหนเลยจะคิดว่าเพิ่งเริ่มเคลื่อนไหวได้ไม่ทันไรก็เจอกับภาพประหลาดสองครั้งติดกันแล้ว

ก่อนหน้านี้คือเสี้ยวเจตจำนงอริยะ และยามนี้ก็มีภูเขาฝังวิญญาณกับดอกไม้นรกสีเลือดปรากฏขึ้นมาตรงๆ!

สิ่งนี้ทำให้ในใจพวกโค่วซิงต่างปกคลุมด้วยเงาทะมึนชั้นหนึ่ง

“หากมีผู้บำเพ็ญธรรมมากสามารถอยู่ที่นี่ สำหรับพวกเขาแล้ว ภูเขาฝังวิญญาณกับดอกไม้นรกสีเลือดนี้กลับเป็นวาสนาชิ้นโตอย่างหนึ่ง”

ทันใดนั้นแม่นางเยวี่ยเอ่ยปากเสียงเบา “สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างประเมินค่าไม่ได้ต่อการฝึก ‘จิตฌาณไร้หวั่น’ และ ‘ร่างทองอรหันต์’ ของพวกเขา”

นัยน์ตาสีดำของหลินสวินฉายแววประหลาดใจ ตระหนักได้อย่างฉับไวว่าแม่นางน้อยที่ดูขี้โรคออดแอดคนนี้ เหมือนจะรู้ความลับมากมายที่ไม่มีใครรู้

พวกโค่วซิงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ หลังจากที่เห็นภาพประหลาดเช่นนี้ พวกเขาก็บังคับยานสมบัติหลบหนีเต็มกำลังตั้งแต่เนิ่นๆ กังวลว่าหายนะจะมาเยือน

เพียงแต่ครู่เดียวเท่านั้นโค่วซิงก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างมาก ส่งเสียงร้องตะโกน “ไม่ดีแล้ว เตรียมต่อสู้!”

“หืม?”

ในขณะเดียวกันหลินสวินแผ่จิตรับรู้กระจายออกไป กลับไม่พบอันตรายอะไรอยู่เลยสักนิด

และระหว่างที่เขานึกแปลกใจอยู่นั้น ก็เห็นพวกโค่วซิงทอดสมอยานสมบัติกลางอากาศ สายตาต่างมองไปทางข้างหน้าราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจก็ไม่ปาน

“เห็นหรือไม่ พยับหมอกสีเทาพวกนั้นถูกพวกเรานักผจญภัยขนานนามว่า ‘หมอกหายนะอัปมงคล’ เมื่อปรากฏขึ้น จะต้องมีอันตรายมาเยือนอย่างแน่นอน” จงอางแดงอธิบายเสียงขรึมอยู่ข้างๆ

นางมีทัศคติที่ดีต่อหลินสวิน ดังนั้นจึงให้การดูแลเป็นอย่างดีตลอดทาง ซ้ำยังชี้แนะประสบการณ์ในการแสวงหาโชคลาภและหลบเลี่ยงอันตรายในแม่น้ำพรมแดนให้หลินสวินเป็นครั้งคราวอีกด้วย

หลินสวินทอดสายตามองไปก็เห็นว่าบนผิวน้ำไหลเชี่ยวไกลออกไป มีไอหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่าลอยออกมา คลุมเครือราวกับควันเมฆ

ทันใดนั้นหลินสวินใจเต้นเนื้อกระตุกทั่วสรรพางค์กาย ผิวหนังหนาวเหน็บ พยับหมอกเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีพิษภัยอะไร แต่กลับเจือกลิ่นอายแปลกประหลาดวูบหนึ่ง

“มาแล้ว!” โค่วซิงสีหน้าเคร่งขรึม

พร้อมกันนั้นหลินสวินก็มองเห็น ว่าท่ามกลางพยับหมอกขมุกขมัวเหล่านั้นปรากฏพยับเมฆสีดำทะมึนทั้งแถบอย่างไร้สุ้มเสียง

เมื่อเพ่งมองโดยถี่ถ้วน นั่นไม่ใช่พยับเมฆจริงๆ แต่เป็นแมลงเม่าตัวแล้วตัวเล่าที่รูปร่างคล้ายผีเสื้อ แต่ลำตัวสีดำสนิท มีดวงตาสีแดงฉาน เขี้ยวสีขาวหิมะ

แมลงเม่าทุกตัวล้วนมีขนาดเท่าฝ่ามือ ปีกสีดำสนิท ปลดปล่อยไอหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่า เหมือนแมลงเม่ามารที่มาจากขุมนรกชัดๆ เห็นได้ชัดว่าแปลกประหลาดและดุร้าย

พวกมันมีจำนวนมากมาย เบียดเสียดแน่นขนัดปกคลุมฟ้าดิน มองออกไปจากไกลๆ จึงคล้ายกับชั้นเมฆสีดำทะมึนทั้งแถบ พาให้ผู้คนรู้สึกถึงความบีบคั้นจนแทบหายใจไม่ออก

“แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจ!”

“เป็นพวกมันนั่นเอง คราวนี้ปัญหาใหญ่แล้ว!”

“หมดกัน ครั้งนี้อาจเจอคราวเคราะห์…”

ทันใดนั้นพวกนักผจญภัยอย่างโค่วซิงต่างหน้าเปลี่ยนสี แข็งทื่อไปทั้งร่าง หัวใจผุดความหนาวสั่น พวกเขามีประสบการณ์มากมาย หลายปีมานี้เคยได้ยินมากกว่าหนึ่งครั้ง ไม่ว่าแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจปรากฏขึ้นที่ใดก็ตาม จะต้องมีแต่ความตายไร้ชีวิตอย่างแน่นอน!

“น่ากลัวมากเลยหรือ” หลินสวินขมวดคิ้ว

เหนือความคาดหมาย คนที่เอ่ยอธิบายคือแม่นางเยวี่ยคนนั้น “แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอย่างหนึ่งในยุคบรรพกาล ลำตัวของมันวิวัฒน์มาจากพลังวิญญาณทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากต้องการฆ่าพวกมัน วิชายุทธ์ทั่วไปใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิด จะต้องใช้วิธีพิเศษที่ควบคุมจิตวิญญาณโดยเฉพาะจึงจะสามารถสังหารพวกมันได้”

“พวกมันถือกำเนิดโดยการกลืนกินเศษเสี้ยววิญญาณของผู้แข็งแกร่งที่ตายไป สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือหลังจากถูกพวกมันกลืนกิน ความทรงจำอย่างมรดกตกทอด วิชาลับที่หลงเหลืออยู่ในเศษเสี้ยววิญญาณของผู้แข็งแกร่งก็จะถูกพวกมันควบคุมด้วยเช่นกัน เมื่อใช้ในการต่อสู้จะปะทุอานุภาพที่ยากคาดเดาออกมา”

ในใจหลินสวินรู้สึกอึ้งทึ่ง เจ้าแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจนี้น่าพิศวงจริงๆ!

“แล้วแม่นางเยวี่ยมีวิธีจัดการกับพวกมันหรือไม่” โค่วซิงอดถามไม่ได้

“ในมือข้ามีกระดิ่งใบหนึ่ง น่าจะพอบังคับพวกมันได้ แต่ข้าจำเป็นต้องให้พวกเจ้าออกไปต่อสู้สยบพวกมันเต็มกำลัง” แม่นางเยวี่ยที่ดูอ่อนแอขี้โรค เวลานี้ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของนางกลับฉายแววเด็ดเดี่ยวแน่วแน่วูบหนึ่ง

“ดี! พวกข้าจะต่อสู้สุดความสามารถแน่!” พวกโค่วซิงพยักหน้าตอบรับโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด

“คุณชายหลินซย่า เจ้าไม่ควรมัวโอ้เอ้อยู่ที่นี่ กลับไปซ่อนตัวในห้องจะดีกว่า เดี๋ยวพอเปิดศึกเกรงว่าพวกข้าคงดูแลเจ้าไม่ได้” จงอางแดงพูดกับหลินสวินที่อยู่ด้านข้าง เตือนให้เขาไปซ่อนตัว

หลินสวินอึ้งงัน ในใจไม่รู้ควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี หากถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ รู้เข้าว่าเทพมารหลินอย่างเขาถึงกับถูกคน ‘ดูแล’ เช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรกันบ้าง

แต่ว่าได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากจงอางแดง กลับทำให้หลินสวินค่อนข้างรู้สึกประทับใจและอิ่มเอม

เขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มหันตภัยอยู่ตรงหน้ามีหรือข้าจะล่าถอย ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นตัวถ่วงพวกเจ้าหรอก”

ทุกคนต่างลงเรือลำเดียวกัน หนำซ้ำหลินสวินยังต้องอาศัยความช่วยเหลือของพวกโค่วซิงเพื่อมุ่งหน้าสู่แดนชัยบูรพาอีกด้วย ช่วงเวลาเช่นนี้หลินสวินย่อมไม่อาจยืนชมอย่างสบายใจเฉิบได้เป็นธรรมดา

จงอางแดงขมวดคิ้ว ยังอยากพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ เสียงกรีดร้องแหลมสูงก็ดังลอยมาแต่ไกล!

เสียงนั้นคล้ายกับใบมีดคมกริบเสียดสีบนพื้น พาให้หลายคนขนลุกขนชัน จิตวิญญาณบังเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบเป็นระลอก

นี่คือการโจมตีจิตวิญญาณอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย!

“มาแล้ว เตรียมต่อสู้!” โค่วซิงคำรามดุดัน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท