องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ – บทที่ 325

บทที่ 325

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บบที่ 325
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นนัยน์ตาของหนานกงเย่ก็รู้ทันทีว่าเขาไม่ได้เจตนาดี ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กล่าวออกไปว่า : “ท่านอ๋อง ไม่สู้กลับไป แล้วให้เจ้าแห่งอีกากินเนื้อดีกว่านะเพคะ?”

“มันไม่ง่ายเช่นนั้น รอจัดการเรื่องนี้เรียบร้อย ข้าจะให้เจ้าแห่งอีกาและทั้งตระกูลกินอาหารดีหรือไม่?”

“กา กา ….” เจ้าแห่งอีกาดีใจอย่างมาก จากนั้นก็บินทะยานสู่ฟากฟ้าและจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังทิศทางที่เขาบินจากไป กระทั่งมีเจ้าอีกาน้อยตัวหนึ่งโรยตัวลงมาบนไหล่ของนาง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปและถามว่า : “เจ้าเป็นใครกัน?”

เจ้าอีกาน้อยเชิดหน้าขึ้นด้วยความเย่อหยิ่งเหมือนกับจะยกตนข่มท่าน มันไม่ใส่ใจฉีเฟยอวิ๋น และไม่สนใจใยดีฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือออกไปคว้าตัวมัน : “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะต้มเจ้าหรอกหรือ?”

เจ้าอีกาน้อยยังคงไม่สนใจ หนานกงเย่เห็นดังนั้นจึงยิ้มเยาะออกมา : “นางไม่พูดเจ้าจะทำอย่างไรได้?”

“กา….” เจ้าแห่งอีกาที่บินโฉบอยู่ไกล ๆ ได้ส่งเสียงร้องออกมา ฉีเฟยอวิ๋นและคนอื่น ๆ มองออกไป หนานกงเย่ดึงตัวของฉีเฟยอวิ๋นเดินไปทางนั้น หลังจากเดินไปได้สองสามเมตร ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งนอนตายอยู่บนพื้น บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยอีกาดำ

อาอวี่รีบเข้าไปตรวจสอบทันที : “ท่านอ๋อง เป็นคนของตระกูลเฉิน คนของกรมกลาโหม พวกเขาถือตราทหาร ดูท่าทางน่าจะเป็นทหารม้าที่ถูกส่งตัวมาพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ใช่ พวกเขาเป็นกบฏ กำลังแลกเปลี่ยนตราทหารกับใครบางคนเป็นแน่” สีหน้าของหนานกงเย่นั้นแย่ลงมาก จากนั้นก็มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นที่ยืนเคียงข้าง

ฉีเฟยอวิ๋นตกใจตะลึงพรึงเพริด : “ตระกูลเฉินเดินทางออกจากเมืองหลวงไม่ใช่เพราะการตายของกั๋วกงอาวุโสทั้งหมด หากกั๋วกงอาวุโสพบว่าคนในตระกูลสมรู้ร่วมคิดก่อการกบฏกับคนของชินอ๋อง เขาจะต้องรีบกำจัดผดุงความยุติธรรมแม้จะเป็นญาติมิตรสนิทกัน แต่ตระกูลอื่นลงมือไปก่อนก้าวหนึ่ง ทำให้กั๋วกงอาวุโสตายอย่างไม่ยุติธรรม

ตระกูลเฉินกลัวว่าเรื่องจะแพร่งพราย เพื่อให้จัดการทุกอย่างได้สะดวกขึ้น จึงให้คนบางส่วนเข้าไปอยู่ในกรมกลาโหมค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปส่วนกลางของในกรมกลาโหม ยึดตราทหาร และอีกส่วนก็คือกรมการค้า เป้าหมายในกรมการค้าของเขาคือเพื่อระดมเงินทุน ไว้สร้างเป็นยุ้งฉาง*ในภายภาคหน้า

ท่านอ๋อง พวกเขากล้าหาญเกินไปหรือไม่เพคะ?”

หนานกงเย่กล่าวอย่างเย็นชา : “พวกเขาคิดมาดีแล้ว ดูท่าครานี้คงเป็นแผนโต้กลับที่พวกเขาตระเตรียมไว้”

หนานกงเย่มองไปยังคนที่นอนไร้ลมหายใจอยู่บนพื้น พลางกล่าวว่า : “ไม่รู้ว่าเจ้าแห่งอีกาจะชอบกินเนื้อคนด้วย?”

เจ้าแห่งอีกาส่งเสียงขานรับ กา กา จากนั้นก็รีบบินโฉบตามเหล่าอีกาตัวอื่นลงมา บนพื้นมีศพนอนเรียงรายมากกว่าสิบชีวิต มากพอที่จะกลายเป็นงานเลี้ยงมื้อใหญ่ของอีกาดำเหล่านี้

ฉีเฟยอวิ๋นอดให้ความสำคัญกับเรื่องที่อีกาดำกินเนื้อคนไม่ได้ แต่นี่คงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว หนานกงเย่หาคนในตระกูลจงชินไม่เจอสักคนเดียว เขาถามเจ้าอีกาดำที่โรยตัวลงมาเกาะบนบ่าของเขาว่า : “แต่ก็เห็นคนหนีตายกันอย่างอุตลุดตกลุ่มหนึ่งใช่หรือไม่?”

เจ้าอห่งอีกาส่งเสียงร้อง กา กา ออกมา หนานกงเย่จึงมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งฉีเฟยอวิ๋นได้กลายเป็นล่ามแปลไปแล้ว

“เขาบอกว่ามีคนชุดดำผู้หนึ่งหนีไปได้ พวกเขาไล่ตามคนชุดดำนั้นไปและหายตัวไปในหมอกควันอย่างไร้ร่องรอย”

ฉีเฟยอวิ๋นเองก็เพิ่งเคยได้ยินว่ามีคนหายตัวไปในหมอกควันอย่างไร้ร่องรอยเป็นครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาพรางตา

ถึงอย่างไรอีกาดำก็เป็นสัตว์ เขาไม่เหมือนมนุษย์ แต่ก็รู้ความมาก ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขอบคุณ ที่มักจะดูละครโทรทัศน์อยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นเหมือนกบในกะลา

หนานกงเย่กล่าวว่า : “ขอบใจเจ้ามาเจ้าแห่งอีกา ข้าต้องกลับแล้ว เจ้าแห่งอีกากลับกับข้าเถอะ”

“กา กา ……” เจ้าแห่งอีกาตามหนานกงเย่กลับไป ส่วนฉีเฟยอวิ๋นก็กุมมือของหนานกงเย่ไว้ ตลอดทางกลับ นางกุมมือของหนานกงเย่ไว้แน่น

ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนรถม้าแล้ว หนานกงเย่จึงได้เอนกายนอนลง

ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยม่านหน้าต่างรถม้าลง และให้หนานกงเย่ดื่มเลือดของนาง หนานกงเย่มองไปทางนางครู่หนึ่ง จากนั้นก็กัดริมฝีปากแน่น : “ปู้เหวินและคนอื่น ๆ ต้องดื่มด้วยหรือไม่?”

“ต้องดื่มเพคะ แต่คงจะดื่มมากไม่ได้ ท่านเองก็ต้องฝืนหน่อย ให้เลือดในร่างกายได้ไหลเวียน เส้นเอ็นของท่านได้รับความเสียหาย หากท่านไม่ดื่มเลือดหม่อมฉันอาจจะเกิดปัญหาตามมาได้”

หนานกงเย่จึงต้องดื่มเลือดของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นหยิบเข็มเงินออกมาฝังให้เขา เขาจึงค่อย ๆ ดีขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าต้องเดินทางกลับเมืองหลวง

แต่เขากลับกล่าวว่า : “ไม่กลับ อาอวี่เจ้ากลับไปก่อนเถอะ นำป้ายคล้องเอวของข้าไปหาท่านอ๋องตวนด้วย บอกเขาว่า ข้าไปตระกูลเฉินแล้ว มีเรื่องต้องไปหาจวนฉีกั๋วกงและจวนท่านแม่ทัพ รวมทั้งราชครูจวิน”

“ท่านอ๋อง ท่านทำเช่นนี้ ปู้เหวินและคนอื่น ….”

อาอวี่เป็นกังวลไม่ยอมจากไปง่าย ๆ สีหน้าหนานกงเย่ไม่สู้ดีนัก : “ให้เจ้ากลับ ก็กลับไปเถอะ”

อาอวี่ไม่กล้าขัดขืน จึงหมุนตัวและจากไปอย่างรวดเร็ว

หนานกงเย่เอนกายนอนกลับลงไป สีหน้าซีดเผือด เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิท : “อวิ๋นอวิ๋น ข้าจะไม่ตายใช่หรือไม่?”

“ไม่แน่นอน” ฉีเฟยอวิ๋นจะทนเห็นเขาตายได้อย่างไร?

แต่นางก็ปวดใจ นางเกลียดชังคนที่ตายไปแล้วเหล่านั้น

หนานกงเย่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้ : “ข้าง่วงแล้ว ขอพักชั่วครู่”

“ท่านนอนเถอะ”

“ปู้เหวิน ปกป้องพระชายาด้วย” ก่อนที่สติจะดับลงหนานกงเย่ได้กล่าวขึ้น จากนั้นก็หลับไป

ปู้เหวินและคนอื่น ๆ ล้วนได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น แต่พวกเขายังคงฝืนได้

ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยมือของหนานกงเย่ และใช้สายคาดเส้นหนึ่งพันข้อมือของนางไว้ นางตั้งใจจะให้เลือดปู้เหวินและคนอื่น แต่นางต้องปกป้องหนานกงเย่ เพราะไม่มั่นใจว่าหนานกงเย่จะมีปัญหาเหมือนก่อนหน้านั้นหรือไม่ นางถึงต้องปกป้องตนเองให้ดี

ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมาและกระโดดลงจากรถม้า นางคว้าข้อมือของปู้เหวินมาตรวจชีพจรใหม่อีกครั้ง พิษเมื่อครู่ได้ถูกยับยั้งแล้ว นั้นแสดงให้เห็นร่างกายตอบสนอง

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบยาแก้พิษอีกเม็ดออกมา และให้ทุกคนกินคนละหนึ่งเม็ด นางหมุนตัวและเดินออกไปสำรวจโดยรอบ นางกำลังหาสมุนไพรชนิดหนึ่ง

เมื่อเจอก็แจกจ่ายให้คนละชุด : “สองสามวันนี้ไม่ต้องกินข้าว หิวก็กินสมุนไพรนี้หนึ่งก้าน พวกเจ้าทนอีกประเดี๋ยว รอให้ท่านอ๋องดีขึ้นสักหน่อย ยาเม็ดของข้าก็จะถูกบดออกมา พวกเจ้าก็จะไม่เป็นไร อาการบาดเจ็บของพวกเจ้าข้าจะจัดการให้ แต่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้บ้างนะ เรื่องอื่นไม่มีปัญหา”

“ขอบพระทัยพระชายา”

ปู้เหวินหยิบยาสมุนไพรและกินไปก่อนหนึ่งก้าน ซึ่งนั้นหมายความว่าหิวแล้ว และเก็บที่เหลือไว้ จากนั้นก็เชิญฉีเฟยอวิ๋นขึ้นรถม้า

ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นรถม้า เจ้าแห่งอีกาได้บินไปแล้ว

แต่ทิ้งเจ้าอีกาน้อยไว้หนึ่งตัว มันส่งเสียงร้อง กา กา พลางบินขึ้นมาบนรถม้า และยืนอยู่ด้านหน้าของรถม้า

ปู้เหวินและคนอื่น ๆ ขึ้นรถม้า และเดินทางมุ่งหน้าสู่ตระกูลเฉินที่อยู่ไกลออกไปพันลี้

ตระกูลเฉินอยู่ที่ลั่วสุ่ย รถม้าต้องใช้เวลาเดินทางเจ็ดถึงแปดวัน ยังไม่ได้หลับไม่ได้นอน

ฉีเฟยอวิ๋นเองก็เหนื่อยมาก ในขณะที่เฝ้าหนานกงเย่นั้นนางก็ได้เอนกายนอนหลับข้างกายของหนานกงเย่

ทันทีที่รู้สึกตัว ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นมาเห็นว่าภายในรถม้ายังมีหนานกงเย่ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น และหลับลึกไปตลอดทั้งคืน

“ปู้เหวิน”

ฉีเฟยอวิ๋นเรียกให้หยุดรถ ปู้เหวินจึงหยุด ฉีเฟยอวิ๋นตรวจอาการให้กับหนานกงเย่ จนมั่นใจว่าหนานกงเย่ไม่เป็นไร ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ลุกขึ้นและเดินออกมาจากด้านใน

“เราถึงไหนกันแล้ว?” ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่มั่นใจว่าจะต้องเดินทางไปอีกนานแค่ไหน หลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้

เวลานี้ปู้เหวินเองก็ตื่นแล้ว ปู้ทิงเพิ่งพักไปไม่นาน พวกเขาจึงผลัดเปลี่ยนเวรกัน

“เราเดินทางมาได้หนึ่งร้อยกว่ากิโลเมตรแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ปู้เหวินตอบกลับ ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดชั่วครู่ เดินทางช้าเกินไป ต้องเดินทางอีกเป็นสิบวันถึงจะถึงที่หมาย

“มีคนของเราอยู่ละแวกใกล้เคียงบ้างหรือไม่ เร่งฝีเท้าม้าสักหน่อย กลางวันเราจะพักผ่อนกันที่โรงเตี๊ยม ข้าจะได้ถือโอกาสแก้พิษให้พวกเจ้า กลางคืนเราค่อยออกเดินทาง”

ปู้เหวินครุ่นคิดชั่วครู่ : “ที่นี่มีคนของเรา เราไปพักที่นั่นได้พ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นเราไปกันตอนนี้เลย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นกลับเข้าไปในรถม้า ปู้เหวินพานางและหนานกงเย่ไปยังครอบครัวหนึ่งที่อยู่ในละแวกสิบลี้ เข้าไปพักที่แห่งนั้น

ทันทีที่เข้าไปก็มีคนออกมาต้อนรับ พวกเขาอาศัยอยู่หลังจวน

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เห็นสิ่งใดเป็นพิเศษ นอกจากลานหลังจวนที่สะอาดสะอ้าน มีเถ้าแก่เพียงผู้เดียวที่รับหน้าที่จัดการทุกสิ่งอย่าง

ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้ปู้เหวินนำตัวของหนานกงเย่ไปพักผ่อนด้านใน ส่วนนางก็สอบถามว่าละแวกนี้มีร้านขายยาอะไรบ้างหรือไม่ นางต้องการซื้อยา

เถ้าแก่ลำบากใจ : “ชนบทห่างไกลและอ้างว้างแห่งนี้ เกรงว่าร้านขายยาที่นี่คงจะไม่มีสิ่งที่นายหญิงต้องการ ข้าออกไปหาให้ได้ แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย”

ในขณะที่กล่าว เจ้าอีกาน้อยก็โรยตัวลงมาเกาะบนไหล่ของฉีเฟยอวิ๋น แสดงท่าทางกระโดดโลดเต้นไปมา ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวถามว่า : “มีร่องรอยคน”

“กา กา…”

ฉีเฟยอวิ๋นอึ้งงัน และอ้าปากค้าง

“ไม่ใช่คนหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางประตู แต่ทิศทางที่เจ้าอีกาน้อยบินออกไปไม่ใช่ประตูทางออก มันโผบินเข้าไปในเรือนแห่งนี้

*ยุ้งฉาง ที่เก็บเสบียงทหาร

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท