Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 951

ตอนที่ 951

ตอนที่ 951 ปริศนาหงส์ดำเลือดทมิฬ
เพียงแต่ซุ่นไป๋เสวียนกลับไม่รู้จักซย่าจื้อ เมื่อมองเห็นแม่นางน้อยรูปร่างอ้อนแอ้นคนหนึ่งลุกออกมา เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที โบกมือกล่าวว่า “เรื่องของผู้ชาย แม่นางน้อยอย่างเจ้าจะยื่นมือเข้าแทรกอะไรกัน รีบหลบไป”

จากนั้นเขาก็มองหลินสวินอย่างไม่สบอารมณ์ “เสียทีที่เจ้ายังเรียกตัวเองว่าเทพมาร ไม่รู้สึกอับอายขายขี้หน้าหรือถึงให้แม่นางน้อยคนหนึ่งลุกออกมาแทน”

สีหน้าหลินสวินดูแปลกไปเล็กน้อย

ส่วนลั่วเจียทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว กำลังจะส่งเสียงเอ่ยเตือนออกมาอย่างอดไม่อยู่

แต่เวลานี้เองซย่าจื้อได้เคลื่อนไหวแล้ว เงาร่างเพรียวบางก้าวย่างออกไปฉับพลัน ราวกับกระแสน้ำในความมืดสายหนึ่ง

“เจ้าว่าต่อสู้กับข้ามันน่าอับอายมากหรือ”

น้ำเสียงใสกังวานเจือแววเย็นเยียบที่กรีดลึกถึงกระดูก ซย่าจื้อมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซุ่นไป๋เสวียนแล้ว รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

“ชายชาตรีอย่างข้า ไยต้องรังแกสาวน้อยอย่างเจ้าด้วย รีบ…”

เห็นได้ชัดว่าซุ่นไป๋เสวียนหงุดหงิดยิ่ง เพียงแต่เพิ่งพูดได้ครึ่งประโยค นัยน์ตาของเขาพลันหดวูบ ร้องเสียงหลงออกมาหนึ่งครา เงาร่างถอยกรูด

ชิ้ง!

ทวนม่วงเรียบง่ายเก่าแก่มันปลาบเล่มหนึ่งฟันสังหารออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ หากไม่เพราะเขาไหวตัวหลบทัน ก็เกือบถูกเจาะทะลุหน้าอกไปแล้ว

“เจ้า…” ซุ่นไป๋เสวียนโกรธจนตัวสั่น คราวนี้เพิ่งตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่เข้าที

“ชายชาตรีรู้จักแต่ถอยหลบหรือ” ซย่าจื้อย่างเท้าก้าวขึ้นหน้า ตั้งแต่ต้นจนจบนางเย็นเยือกราวกับความมืดมิด เจือกลิ่นอายที่พาให้ผู้คนใจสะท้าน

ฟุ่บ!

ทวนม่วงพุ่งทะยาน สุดแสนเรียบง่าย แต่กลับทำให้ซุ่นไป๋เสวียนหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง รับรู้ถึงแรงบีบคั้นน่าสะพรึงที่ประเดประดังเข้ามาวูบหนึ่ง เขาร้องเสียงหลงออกมาอีกหนึ่งคราอย่างอดไม่อยู่ ไม่อาจไม่หลบเลี่ยง

สีหน้าเขาบิดเบี้ยวเขียวคล้ำ ถูกบีบให้ถอยสองคราติดพาให้เขาปั้นหน้าไม่ไหว ร้องตะโกนว่า “อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือโหดเหี้ยม!”

“บังคับเจ้าแล้วอย่างไร”

ซย่าจื้อก้าวขึ้นหน้า ทวนม่วงเปลี่ยนรูป ซัดจู่โจมออกไปอย่างเฉียบขาด นางดูคล้ายเยือกเย็น แต่กลับมีกลิ่นอายบีบเค้นอย่างหนึ่ง

“คิดว่าไม่กล้าจัดการเจ้าจริงๆ หรือ!”

ซุ่นไป๋เสวียนโกรธจนขาดสติ เรียกทวนศึกสีทองอร่ามเล่มหนึ่งออกมา เข้าปะทะอย่างแข็งกร้าว

เคร้ง!

ทั้งสองชนปะทะ รัศมีศักดิ์สิทธิ์หวีดคำราม บาดโสตประสาทเกือบหูดับ

ซุ่นไป๋เสวียนโซเซไปทั้งร่าง เกือบถูกซัดปลิวออกไป

ชั่วขณะนั้นเขาเบิกดวงตากว้าง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เด็กสาวคนนี้มีพลังน่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร

ไม่รอให้เขาตอบสนอง ซย่าจื้อก็พุ่งสังหารเข้ามาอีกครั้ง

ทวนม่วงราวกับสายฟ้า อาภรณ์ดำพลิ้วไสว พาให้เด็กสาวดุจดั่งเทพไท้ที่เดินออกมาจากความมืดมิด มีอานุภาพเย็นเยียบเงียบสงัดประการหนึ่ง

ไม่ได้เหนือความคาดหมายใดๆ ซุ่นไป๋เสวียนถูกซัดปลิวส่งเสียงกรีดร้อง สภาพสะบักสะบอมทั้งโกรธเกรี้ยวและผิดคาด อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด

นี่เป็นไปได้อย่างไร

ซุ่นไป๋เสวียนมั่นใจในตัวเองและหยิ่งผยองเรื่อยมา เชื่อว่าในบรรดาคนรุ่นเยาว์ มีเพียงปีศาจพลิกฟ้าเพียงหยิบมือซึ่งอยู่ในแดนเร้นอริยะเท่านั้นจึงจะกร้าวแกร่งพอเข้าตาตนได้ นอกจากนั้นแล้ว ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ล้วนไม่อาจเปรียบเทียบ

ในความเป็นจริง เขาเองก็มีคุณสมบัติพอจะหยิ่งลำพองจริงๆ ไม่เพียงแค่พรสวรรค์โดดเด่น แม้กระทั่งสายเลือดและรากฐานต่างประหัตประหารไร้เทียมทาน ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะยากพบพานในช่วงหมื่นปีของตระกูลซุ่น

แต่ยามนี้ เด็กสาวคนหนึ่งกลับกดดันบีบจนเขาโงหัวไม่ขึ้น โจมตีเขาจนปลิวหนแล้วหนเล่า ข้อนี้พาให้เขาชักเริ่มสงสัยในชีวิตของตนเสียแล้ว!

……

ไกลออกไป สีหน้าพวกโค่วซิงเต็มไปด้วยความเวทนา เจ้าทึ่มตาถั่วคนนี้ช่างน่าสงสารจริงๆ แม้แต่แม่นางน้อยคนหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้ ยังไปยั่วยุคุณชายหลินสวินอีก นี่ไม่ใช่การสร้างความอัปยศให้ตัวเองหรอกหรือ

หากซุ่นไป๋เสวียนรู้ความคิดของพวกเขา คงหนีไม่พ้นต้องน้ำตานองหน้าเป็นแน่

อัจฉริยะแห่งยุคผู้สูงส่งของตระกูลซุ่นอย่างเขา ไม่พูดถึงว่าถูกคนมองว่าเป็นชายหนุ่มที่ก้าวพลาดหลงผิด ยังถูกคนมองว่าสร้างความอัปยศให้ตัวเอง ข้อนี้น่าโมโหเกินไปแล้ว

แม่นางเยวี่ยอึ้งงัน นางมองออกแต่แรกแล้วว่าซุ่ยไป๋เสวียนเป็นบุคคลที่กร้าวแกร่งถึงขีดสุดคนหนึ่งอย่างแน่นอน หาไม่ก่อนหน้านี้ก็คงไม่ยอมรอให้หลินสวินฟื้นตัว เพราะกลัวว่าถ้าชนะไปก็ชนะอย่างไม่ใสสะอาด

เพียงแต่นางยังคิดไม่ถึงอยู่ดีว่าสถานการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ เด็กสาวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นคนหนึ่ง ถึงขั้นซัดจนซุ่นไป๋เสวียนคนนั้นสะบักสะบอมถอยกรูด เกือบกุมหัวมุดเข้ารูหนูไปแล้ว!

แน่นอน นางไม่คิดว่าชื่อเสียงซุ่นไป๋เสวียนไม่สมคำร่ำลือ ทุกอย่างนี้ได้แต่บ่งบอกว่าเด็กสาวคนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าซุ่นไปเสวียนเท่านั้น!

‘หรือว่านางก็คือเด็กสาวคนนั้น ที่เคยช่วยหลินสวินสังหารบุคคลแห่งยุคกลุ่มหนึ่งในเทศกาลโคมกถามรรค’ ทันใดนั้นแม่นางเยวี่ยก็มีปฏิกิริยา ในใจสั่นสะท้าน

เรื่องนี้สร้างความฮือฮาอลหม่านในแดนฐิติประจิม ผู้คนมากมายต่างคาดเดาตัวตนและที่มาของเด็กสาวคนนั้น แต่กลับยังเป็นปริศนา ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่อยมา

แต่ยามนี้เห็นนางสยบซุ่นไป๋เสวียนเองกับตา คราวนี้แม่นางเยวี่ยจึงตระหนักได้ว่าข่าวลือไม่ได้คุยโตเกินจริง เด็กสาวคนนี้แข็งแกร่งเหนือคนอย่างแท้จริง!

ลั่วเจียลอบทอดถอนใจเบาๆ เดิมทีหมายจะเอ่ยเตือนซุ่นไป๋เสวียน แต่ยามนี้จู่ๆ นางก็รู้สึกว่า ปล่อยให้เจ้าหมอนี่ถูกสั่งสอนหนักๆ สักทีก็ไม่เลวเหมือนกัน

สิ่งเดียวที่ทำให้นางค่อนข้างเป็นกังวลคือหากซุ่นไป๋เสวียนถูกฆ่าตาย เช่นนั้นผลที่ตามมาก็คงร้ายแรงน่าดู

และเวลานี้เอง เสียงสื่อจิตของหลินสวินก็ลอยมาข้างโสตประสาทของนาง ‘แม่นางลั่วเจียไม่ต้องกังวลไป ข้ากำชับไว้แล้วว่าจะไม่เอาชีวิตเขา’

ลั่วเจียช้อนสายตามองไป เห็นหลินสวินกำลังยิ้มแย้มมองมาที่ตน ท่าทางเหมือนมองทะลุความคิดของตน ข้อนี้พาให้ในใจนางรู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูก

หากไม่ใช่เพราะซุ่นไป๋เสวียนคนนั้น ตนมีหรือจะต้องถูกหลินสวินด้วยปฏิบัติเช่นนี้ เล่นเอาตนเป็นเหมือนฝ่ายถูกกระทำเกินไป ซ้ำยังไม่อาจไม่รู้สึกซาบซึ้งใจอีก

ไกลออกไป ซุ่นไป๋เสวียนกำลังกรีดร้องเสียงพิกลราวกับหมาป่าโหยหวนผีสางร่ำไห้ก็ไม่ปาน ในน้ำเสียงเจือสภาพอารมณ์ต่างๆ ทั้งเดือดดาล หวั่นวิตก อัดอั้น อับอายเป็นต้น ราวกับหญิงสาวในห้องหอถูกย่ำยีอย่างไรอย่างนั้น

เวลานี้เขาอับอายจนสิ้นหวังแล้วจริงๆ เข้ามาอย่างยิ่งใหญ่ แต่ยังไม่ทันต่อสู้กับเทพมารหลิน กลับถูกเด็กสาวคนหนึ่งซัดจนน่วมหมดสภาพ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงวีรบุรุษทั้งชีวิตของเขาคงพังพินาศหมด!

ซย่าจื้อไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ หากไม่ใช่เพราะหลินสวินกำชับแต่เนิ่นๆ ตามนิสัยของนางคงสังหารเจ้าคนที่ทำลายการสนทนาของนางกับหลินสวินคนนี้ตรงๆ แล้ว

ปึ้ก!

ทวนม่วงแหวกอากาศ หวดใส่กลางหลังซุ่นไป๋เสวียนเต็มแรง ซัดเขาปลิวออกไปในบัดดล ริมฝีปากส่งเสียงกรีดร้องออกมา เค้าหน้าหล่อเหลาดวงนั้นเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา

แต่เขาก็ยังนับว่ามีดีอยู่ ทั่วร่างเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่าม สมบัติและวิชามรรคที่สำแดงทั้งหมดเรียกได้ว่าสะท้านโลก แม้จะถูกซัดกระเด็นแต่ก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแท้จริง

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้ซุ่นไป๋เสวียนรู้สึกอัปยศอดสูหาใดเปรียบอยู่ดี เขาเป็นถึงราชันมารจอมก่อกวนที่ทำให้ผู้คนหน้าเปลี่ยนสียามพูดถึงเชียว แต่บัดนี้กลับถูกเด็กสาวคนหนึ่งย่ำยี หากผู้คนรู้เรื่องนี้เข้า นั่นไม่พ้นต้องกลายเป็นตัวตลกในใต้หล้าแน่

“เฮ้อ นี่ก็คือราคาที่ต้องจ่ายหากใจเร็วด่วนได้ พอพลาดท่าก็จะกลายเป็นความแค้นนับพัน!” โค่วซิงละเหี่ยใจ

“เคยเตือนเขาแต่แรกแล้วดันไม่ฟังเอง พวกใจร้อนหัวรั้นแบบนี้ก็สมควรได้รับบทเรียนเช่นนี้แล้ว”

“ข้ายังไม่เคยเห็นพวกตาถั่วแบบเขามาก่อนเลย!”

เจ้าหน้าเขียวกับจงอางแดงต่างก็ถอนหายใจปลงตก

ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาหลินสวินก็อดนึกขันไม่ได้ ซุ่นไป๋เสวียนคนนี้ดวงซวยเสียนี่กระไร หาเรื่องใครไม่ว่า ดันไปกระตุกหนวดซย่าจื้อ นี่ไม่ใช่แกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกหรือ

“จริงสิ พวกเจ้าทั้งสองคนมุ่งหน้ามาแม่น้ำพรมแดนครั้งนี้จะทำอะไรหรือ” หลินสวินนึกสงสัย มองไปทางลั่วเจีย

“ไปแสวงวาสนา” ลั่วเจียก็ไม่ได้ปิดบัง บอกเรื่องเกี่ยวหงส์ดำเลือดทมิฬจนหมดเปลือก

คราวนี้หลินสวินถึงได้เข้าใจชัดเจน ลอบถอนหายใจ ก่อนหน้านี้เขายังกังวลอยู่เล็กน้อยจริงๆ ว่าลั่วเจียก็จะมาเพื่อสังหารเขาด้วย

“หงส์ดำเลือดทมิฬหรือ ที่แท้ข่าวลือก็เป็นเรื่องจริงนี่เอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางปลุกพลังพรสวรรค์ทางสายเลือดแล้วหรือ” แม่นางเยวี่ยอึ้งงันไป คล้ายขบคิดใคร่ครวญ

“ถูกต้อง” ลั่วเจียพยักหน้า จากนั้นก็ทอดสายตามองหลินสวิน เจือแววไถ่ถามน้อยๆ ด้วยไม่ใคร่รู้ชัดถึงที่มาของแม่นางเยวี่ย

“ผู้นี้คือแม่นางเยวี่ย ส่วนนี่คือแม่นางลั่วเจีย…” หลินสวินแนะนำตัวตนของพวกนางทั้งสองให้อีกฝ่ายอย่างเรียบง่ายหนึ่งครา

เมื่อได้รู้ว่าหญิงสาวงดงามที่แลดูป่วยออดแอดคนนี้ถึงกับมาจากแดนเร้นอริยะแห่งหนึ่ง ดวงตาใสกระจ่างของลั่วเจียแข็งค้างน้อยๆ ก่อนกลับสู่สภาพเดิม

และเมื่อได้รู้ตัวตนของลั่วเจีย แม่นางเยวี่ยก็เผยสีหน้าเข้าใจกระจ่าง คล้ายกับเดาออกตั้งแต่แรกแล้ว

“เรื่องเกี่ยวกับหงส์ดำเลือดทมิฬนี้ข้ารู้มาบ้างเล็กน้อย ว่ากันว่ามันพ่ายแพ้ให้กับอริยบุคคลที่มีชาติกำเนิดจากเผ่าพงศ์วงศ์พุทธโบราณ มีจุดจบที่ร่างสลายมรรคดับสูญ เสี้ยววิญญาณที่หลงเหลืออยู่ก็ถูกปิดผนึกอยู่ในเศษซากสนามรบจุดหนึ่ง”

แม่นางเยวี่ยเอ่ยเนิบนาบ “เพียงแต่เดิมทีข้าคิดว่ามันเป็นตำนาน ยามนี้ดูแล้วเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง”

เห็นได้ชัดว่าลั่วเจียตกใจอยู่บ้าง คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าแม่นางเยวี่ยคนนี้ยังรู้เบื้องลึกเช่นนี้ด้วย

สำหรับการตกใจของนาง หลินสวินเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะเขาก็เคยสัมผัสถึงความรอบรู้และความฉลาดของแม่นางเยวี่ยผู้นี้มาก่อนว่าน่าทึ่งเพียงใด

“แม่นางลั่วเจีย เรื่องเกี่ยวกับหงส์ดำเลือดทมิฬ ข้ายังมีอีกหนึ่งประโยคที่ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยดีหรือไม่” แม่นางเยวี่ยกล่าว

“เชิญว่ามาเถอะ” ลั่วเจียก็สงสัยใคร่รู้เช่นกัน แม่นางเยวี่ยคนนี้รู้เรื่องเกี่ยวกับหงส์ดำเลือดทมิฬมากน้อยเพียงใดกันแน่

“เจ้าเคลื่อนไหวร่วมกับกับซุ่นไป๋เสวียนคนนั้นในครั้งนี้ เป็นเพราะอยากยืม ‘กระถางเทพมังกรขด’ อาวุธบรรพบุรุษตระกูลซุ่นของพวกเขามาข่มพลังเสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬใช่หรือไม่”

“สายตาแม่นางเยวี่ยดั่งตาทิพย์ หยั่งรู้เหตุการณ์ดุจเทพ แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็ยังรู้” ดวงตาใสกระจ่างของลั่วเจียเปี่ยมด้วยแววแปลกประหลาด

“เรื่องนี้เดาง่ายมาก กระถางเทพมังกรขดเป็นสมบัติอริยะที่บรรพบุรุษตระกูลซุ่นหลอมออกมา บนนั้นประพรมด้วยเลือดแท้จริงของมังกรเขียวร่างกำเนิด ใช้ข่มพลังของหงส์ดำเลือดทมิฬได้อย่างเหมาะเจาะยิ่ง”

แม่นางเยวี่ยยิ้มน้อยๆ จากนั้นสีหน้าก็กลับสู่ความจริงจัง กล่าวว่า “เพียงแต่จากที่ข้าดู หากทำเช่นนี้เป็นไปได้ว่าอาจเกิดการต่อต้าน จากที่ดีจะกลายเป็นแย่เอาได้”

ลั่วเจียอึ้งไป ขมวดคิ้วกล่าวว่า “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”

“เจ้ารู้นิสัยดั้งเดิมของเผ่าหงส์ดีกว่าข้า สูงส่งชั่วชีวิต ไม่เคารพสวรรค์ ไม่สนใจกฎแดนดิน เคารพเพียงตัวเอง หากเจ้าใช้กระถางเทพมังกรขดไปข่มมัน อาจควบคุมเสี้ยววิญญาณของมันได้ แต่ฝ่ายหลังเกรงว่าคงยอมตายดีกว่าให้เจ้าได้ในสิ่งที่ต้องการ”

ทันทีที่คำพูดนี้ของแม่นางเยวี่ยเอ่ยออกมา ก็พาให้ลั่วเจียอึ้งงันอยู่ตรงนั้นทันใด ดวงหน้าดั่งหยกเปลี่ยนสี จมสู่ภวังค์ความคิด

หลินสวินเห็นดังนี้ในใจก็อดทอดถอนใจกับตัวเองไม่ได้ แม่นางเยวี่ยคนนี้ช่างสุดยอดจริงๆ ไม่ให้ผู้คนนับถือคงไม่ได้แล้ว

“ขอบคุณที่ชี้แนะ” เนิ่นนานลั่วเจียก็ถอนหายใจออกมายืดยาว กล่าวขอบคุณอย่างเคร่งครัด สีหน้าเจือแววซาบซึ้ง

“หากแม่นางลั่วเจียไม่รังเกียจ ข้ามีอยู่หนึ่งวิธีสามารถช่วยเจ้าสะสางปัญหายากข้อนี้ และได้รับศุภโชคใหญ่นี้ด้วย”

ทันทีที่แม่นางเยวี่ยออกปาก ก็พาให้หัวใจลั่วเจียสั่นสะท้าน กล่าวว่า “ข้าอยากฟังรายละเอียด”

เห็นเช่นนี้หลินสวินตั้งใจจะหลบฉากไป อย่างไรเสียข้อมูลลับระดับนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป เกี่ยวโยงถึงศุภโชคใหญ่ ย่อมต้องถอยหลบอย่างรู้กาลเทศะเป็นธรรมดา

แต่เหนือความคาดหมายของเขา แม่นางเยวี่ยกลับเรียกเขาเอาไว้ กล่าวว่า “คุณชายโปรดอยู่ต่อด้วย การจะได้รับศุภโชคครั้งนี้จำเป็นต้องให้ท่านช่วยเหลือ”

“ข้าหรือ” หลินสวินงงงัน

ลั่วเจียก็รู้สึกเหนือความคาดหมายน้อยๆ เช่นกัน เหตุใดถึงไปเกี่ยวข้องกับหลินสวินอีกแล้ว

“ถูกต้อง” แม่นางเยวี่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ล้อเล่น

เวลานี้เอง เสียงกรีดร้องประหนึ่งหมาป่าโหยหวนผีสางร่ำไห้สายหนึ่งก็ดังก้องขึ้น

หลังจากเสียงดังโครมหนึ่งครา ซุ่นไป๋เสวียนถูกโยนลงบนดาดฟ้ายานสมบัติ สองแขนขาหมอบราบกับพื้น ก้นชี้ฟ้า ไม่ต้องพูดถึงว่าสภาพสะบักสะบอมและน่าอับอายเพียงใด

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท