มู่เหมียนสะพายกล่องยาไว้ที่ไหล่ “ท่านจะทำอย่างไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองมู่เหมียน “ทำอย่างไร?”
“เมื่อจัดการเรื่องที่นี่เสร็จเจ้าจะต้องกลับไป หรือเจ้าคิดอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป ยังว่าเจ้าอยากจะเกิดลูกที่นี่?”
มู่เหมียนทำสีหน้าไม่ถูก แต่ก็คิดถึงเรื่องอื่น
มูเหมียนเตือนฉีเฟยอวิ๋นจึงนึกขึ้นได้ นางไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปตลอดได้
“ต้องกลับไปจริงๆ ด้วย แต่ยังต้องดูว่าท่านอ๋องจะจัดการที่นี่อย่างไร”
“ปกติดูแล้วท่านก็เก่งกาจ ยังต้องฟังเขาอีกหรือ” มู่เหมียนมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างดูถูก
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่ได้สนใจ เพียงแค่ลูกเจ้าแห่งอีกาแล้วเดินกลับไป
มู่เหมียนยื่นมือออกไปอุ้มเจ้าแห่งอีกา “ให้ข้าอุ้มหน่อย ไปที่ข้า ข้ามีเนื้อให้กิน”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงมอบเจ้าแห่งอีกาให้มู่เหมียนไป
เมื่อกลับมาถึงกระโจมก็ไม่เห็นหนานกงเย่ เมื่อถามก็ทราบว่าไปสอบสวนจวินอีเซี่ยวในคุก
เมื่อพูดถึงจวินอีเซี่ยว สองสามวันนี้ฉีเฟยอวิ๋นรู้บางอย่างเกี่ยวกับเขา เขาได้เปลี่ยนไปเป็นกบฏอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ทำไมยังไม่มีใครรู้ แต่เขาเป็นคนของจงชิน เรื่องนี้จึงเป็นที่สงสัย
แต่หนานกงเย่สอบสวนมาแล้วสามวัน สามวันนี้เขาปิดปากสนิท โดยไม่พูดอะไรออกมาเลย
จวินอีเต๋อและจวินอีไท่สารภาพว่า พวกเขาทั้งสองคนถูกพี่ชายนำตัวไปที่คุกของศัตรู เมื่อไปถึงตอนแรกก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่พวกเขาไม่ยอมคิดคดทรยศต่ออาณาจักร จึงถูกทุบตี และเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้พี่น้องมองหน้ากันไม่ติด ทั้งสองโกรธแค้นจวินอีเซี่ยวเข้ากระดูกดำ
จวินเจิ้งตงรู้เรื่องนี้เข้าและโกรธอย่างมาก และได้ทำการทุบตีจวินอีเซี่ยว แต่ถึงแม้ว่าจวินอีเซี่ยวจะเป็นกบฏและหักหลังอาณาจักร แต่กลับเป็นคนที่กระดูกแข็ง ถึงแม้จะถูกทุบตี เขาก็ไม่รู้สึกทุกข์ทรมานเลย
วันนี้ หนานกงเย่ก็ไปทำการสอบสวนจวินอีเซี่ยวอีกครั้ง
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีอะไรทำจึงได้ทำการตรวจสอบชีพจรให้ตัวเอง ลูกของเธอโตเร็วมาก สิ่งเดียวที่เธอสามารถยืนยันได้ในตอนนี้ก็คือในท้องของเธอตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งคน นอกเหนือจากนั้นเธอไม่รู้
เธอพยายามตรวจสอบว่ามีกี่คน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถรู้ได้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเป็นกังวล หากครั้งนี้มีหลายคน และการแพทย์ในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่เจริญนัก ยากประสบกับการคลอดยาก เธอจะต้องตายอยู่ที่นี่
ฉีเฟยอวิ๋นลูบหน้าท้องและถามว่า “พวกเจ้ามีกี่คนกันแน่นะ ทำไมถึงไม่บอกแม่เลย แม่เป็นกังวลมากเลยรู้ไหม ท่านพ่อและท่านตาของพวกเจ้าข่มขู่ว่าจะเอาหัวไปชนเสาตลอดเวลา พูดจากลั่นแกล้งตลอดเวลา”
เด็กในท้องดูเหมือนจะรับรู้ในสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดไป จู่ๆ ก็ดิ้นขยับขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกปวดท้องเล็กน้อย เธอสูดหายใจลึก “พูดถึงพวกเจ้า พวกเจ้าก็ไม่มีความสุขเลยหรือ”
ท้องของเธอก็สงบลง ภายนอกกระโจมมีเสียงคนเดิน ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าเป็นมู่เหมียนจึงถามขึ้น “ใครน่ะ?”
“ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาเชิญพระชายาไปที่ห้องลงทัณฑ์ขอรับ”
ห้องลงทัณฑ์เป็นห้องที่สอบสวนจวินอีเซี่ยว เรื่องนี้ฉีเฟยอวิ๋นรู้
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเดินไปที่ประตูและเหลือบมองคนที่มารับเธอ เป็นองครักษ์ข้างกายหนานกงเย่ เธอจึงไม่ได้สงสัยและเดินตามไปที่ห้องลงทัณฑ์
ตรงหน้ายังมีรถม้ารออยู่ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ไปที่ห้องลงทัณฑ์
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงปลอมตัวเข้ามาเป็นคนของข้า?” ฉีเฟยอวิ๋นหยุดและไม่คิดเดินต่อ
อีกฝ่ายกลับชักดาบขึ้นมาและยกขึ้นไปบริเวณคอของฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นก้มลงมองไปที่ดาบนั้นและเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “เจ้าฆ่าข้าซะเถอะ”
อีกฝ่ายตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะ “ทำไมหรือ? ไม่กล้าหรือ เช่นนั้นให้ข้าลงมือเถอะ”
เมื่อพูดจบฉีเฟยอวิ๋นจึงหยิบเข็มเงินที่เอวออกมาและต้องการจะปักลงที่คอของตัวเอง
จู่ๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจากอีกฝั่งหนึ่ง “พระชายาเย่ ท่านจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร เพียงแค่ไปเป็นแขกในค่ายทหารของข้ามันยากเย็นเช่นนั้นเลยหรือ? หรือว่ากลัวว่าจะทำให้แม่ทัพฉีจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนั้นหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองออกไปและหัวเราะ “ในเมื่อเจ้ามารับข้า ทำไมถึงไม่ออกมาต้อนรับข้าด้วยตัวเองล่ะ?”
คนที่อยู่ในรถม้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงปัดม่านหน้าต่างออก และมองมาที่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ห่างจากรถม้าไม่ไกลนัก และมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่ในรถม้าเป็นผู้ชายสวมเสื้อผ้าแพรชุดสีฟ้าสดใสและเปิดออก อายุประมาณยี่สิบกว่าๆ สายตาเฉียบคม ร่างกายแข็งแรงบึกบึน และดูมีความสง่าอยู่เล็กน้อย
ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงที่นี่เพื่อต้องการให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น และดูคนออกมากนักต่อนัก และใบหน้าของคนคนนี้ก็ดูโดดเด่นกว่าใคร
ฉีเฟยอวิ๋นลังเลอยู่เล็กน้อย “เจ้าเป็นใครกัน?”
“ถ้าข้าบอกว่าข้าเป็นใคร ท่านก็จะตามข้าไปอย่างนั้นหรือ?” อีกฝ่ายสะบัดพัดในมือออก และโบกพัดสองสามครั้ง ภาพของแม่น้ำและภูเขาที่สวยงามปรากฏขึ้นในดวงตาของฉีเฟยอวิ๋น บนพัดมีตัวอักษรอยู่สามตัวและมีตราประทับที่แปลกประหลาด ฉีเฟยอวิ๋นถูกตัวอักษรเหล่านั้นดึงดูดเข้า
โทษที่เธอไม่รู้จักอักษรโบราณเหล่านั้น ไม่เช่นนั้นก็คงคาดเดาได้ว่าเป็นตัวอักษรอะไร
เพื่อตัวอักษรเหล่านั้น ฉีเฟยอวิ๋นจึงตามไป แต่เพราะท้องของเธอใหญ่มาก ฉะนั้นเธอจึงต้องเดินช้ามาก และคนที่อยู่บนรถม้าก็ไม่ได้รีบร้อนและรออยู่นาน
เมื่อเธอไปถึงรถม้า เธอก็มองไปที่ตัวอักษรสามตัวนั้น สามอักษรนั้นตัวสุดท้ายเธอรู้จัก เป็นอักษรที่แปลว่าข้างบน
ฉีเฟยอวิ๋นถาม “เจ้าชื่ออะไรหรือ?”
“จวินโม่ซ่าง!” จวินโม่ซ่างกลับเข้าไปที่รถม้า มีคนนำบันไดมาให้ฉีเฟยอวิ๋น เธอก้าวขึ้นไปจากนั้นจึงเดินเข้าไปในรถม้า แม้ว่านี่จะเป็นการประมาทไปบ้าง แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็ขึ้นรถม้าไป
ผู้ชายตรงหน้าของเธอดึงดูดเธออย่างน่าประหลาด
ม่านหน้าต่างรถม้าถูกปิดลง ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงดีแล้ว จวินโม่ซ่างจึงสั่ง “ไปกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นพิจารณาอีกฝ่าย “เจ้าเป็นคนของเมืองอู๋โยวใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่สะดวกที่จะบอกตัวตนของข้า พระชายาเรียกข้าว่าคุณชายจวินก็ได้แล้ว” จวินโม่ซ่างหันหน้าออกไปทางอื่นโดยไม่มองฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นรับรู้ได้ว่าจวินโม่ซ่างไม่ชอบเธอ
ก็ถูก ตอนนี้เธอเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแค่อ้วนแถมยังท้องโต และที่สำคัญเธอน่าเกลียดจนเธอไม่อยากมองหน้าตัวเอง อีกทั้งเขาดูดีมีสง่าเช่นนั้น นับว่าเป็นคนที่มีความหล่อเหลาอย่างมาก
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่เป็นกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เธอก็ต้องการไปดูค่ายทหารของศัตรูเพียงแต่ไม่รู้ว่าหากหนานกงเย่รู้ว่าเธอหายไปจะเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่นานรถม้าก็มาถึงคูเมืองของเมืองอู๋โยว เมื่อประตูใหญ่ถูกเปิดออก รถม้าก็เคลื่อนเข้าไปในเมืองถาถ่าน
ภายในเมืองถาถ่านมีทหารยืนเป็นแถวเพื่อให้การต้อนรับ เมื่อฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้า ภายในเมืองมีคนนับร้อยต่างพากันเฝ้าดูเธอราวกับกำลังเฝ้าดูการแสดงละครสัตว์
เธอลงจากรถม้าด้วยตัวเอง ตอนที่มาก็ยังมีบันได ตอนลงกลับไม่มีอะไรทั้งนั้น ฉีเฟยอวิ๋นตั้งครรภ์จนทำให้ขาสั้น ตอนลงจึงรู้สึกยากลำบาก รถม้าก็ไม่อยู่นิ่ง มันขยับจนฉีเฟยอวิ๋นตกใจ
แต่คนรอบข้างที่มองเธอต่างก็ไม่รู้สึกสงสารเธอที่เป็นคนท้อง แต่กลับพูดจานินทาฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา บอกว่าเธอน่าเกลียดเหมือนกับแม่หมู แถมยังพูดว่าเธอหลอกใช้หนานกงเย่ เป็นเพราะพ่อของเธอคือท่านแม่ทัพ
ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่น่าฟัง แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่รู้สึกโกรธ เธอสามารถปิดกั้นเสียงเหล่านั้นไม่ให้ได้ยินได้ แต่การลงของเธอนั้นช่างลำบาก สองขาของเธอนั้นแกว่งไปมาอยู่บนรถม้าเพราะลงไปไม่ได้ ราวกับคางคกตัวใหญ่ที่น่าขบขัน
แต่จวินโม่ซ่างกลับลงไปอย่างสง่างาม และยืนเงยหน้าขึ้นมามองเธอ!