ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น:“เสี่ยวกั๋วจิ้วรอสักครู่ หม่อมฉันจะไปเรียก”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไป นางสั่งให้อาอวี่กลับไปที่จวนอ๋องเย่และนำของบางอย่างมา หนานกงเย่งุนงง:“ป่วยจริง ๆ หรือ?”
“ป่วยก็ไม่เป็นไรเพคะ แต่เกรงว่าหม่อมฉันจะรักษาอาการป่วยของเขาไม่ได้ ยังรักษาไม่ได้จึงยากที่จะพูด และเขาก็เป็นคนที่อายุสั้น” หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบ นางก็ไปดูลูก ๆ แม่ทัพฉีกำลังอุ้มอยู่และจะออกไปข้างนอก
ในห้องยังมีอวิ๋นจิ่นอุ้มอยู่อีกหนึ่งคน และกำลังพูดถึงเรื่องนี้กับท่านแม่ทัพฉี
“ท่านแม่ทัพฉี ท่านจะอุ้มพวกเขาออกไปไม่ได้นะเจ้าคะ ข้างนอกอากาศหนาว หากเป็นหวัดจะทำอย่างไร พวกเขายังเด็กมากนะเจ้าคะ?”
“อวิ๋นจิ่นมาแล้วหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้ามา
“นายท่าน” อวิ๋นจิ่นรีบไปคารวะฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นโบกมือเพื่อบอกว่าไม่ต้อง
“ท่านพ่อ ท่านจะออกไปหรือเจ้าคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองทารกน้อย
“พ่อคิดว่าหากพาพวกเขาออกไปแล้ว พวกเขาจะร่าเริง” แม่ทัพฉีอุ้มหลานชายด้วยความปีติยินดี และกล่าวว่าการให้กำเนิดบุตรสาวนั้นไร้ประโยชน์ วันหน้าก็ต้องไปอยู่บ้านสามี และมีโอกาสน้อยมากที่จะได้กลับมาที่บ้าน แต่ตอนนี้ดูเขาสิ มีหลานชายเป็นครอก แม้แต่พระพันปีก็ยังต้องอิจฉา
“เช่นนั้นท่านก็สวมเสื้อผ้าให้พวกเขามากกว่านี้หน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าวันนี้อากาศดี และนางกับคนอื่น ๆ ก็แตกต่างกัน
แม้ว่าภูมิต้านทานของเด็ก ๆ จะไม่มากนัก แต่การที่อยู่ในห้องก็อาจจะป่วยได้ ดังนั้นควรจะออกไปข้างนอกบ้าง
เมื่อปรับตัวได้แล้วก็จะไม่เป็นไร
“นายท่าน……” อวิ๋นจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“พวกเขาอยู่แต่ในห้อง อากาศไม่ค่อยถ่ายเทและไม่ดีต่อพวกเขามากนัก จึงเป็นการดีที่จะพาพวกเขาออกไปข้างนอกบ้าง อีกอย่างพวกเขาก็ดูแข็งแรงกว่าเด็กคนอื่น ๆ
และยังมีนกบินอยู่บนหลังคา หากไม่เห็นพวกเขาก็คงไม่ยอมไป เช่นนั้นให้พวกเขาออกไปจะดีกว่า”
“สิ่งที่นายท่านกล่าวนั้นสมเหตุสมผล เป็นอวิ๋นจิ่นที่กังวลมากเกินไป” อวิ๋นจิ่นมีวินัยในตนเองมาโดยตลอด และเมื่อรู้ว่าพูดอะไรผิดไปก็จะยอมรับความผิดพลาดของตนเองในทันที
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม:“ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าใหญ่ออกไปแล้ว เช่นนั้นก็พาพวกเขาออกไปกันเถอะ หงเถา ลี่ว์หลิ่ว พวกเจ้าอุ้มออกไปสองคน”
ฉีเฟยอวิ๋นก็อุ้มออกไปพร้อมกัน และพาลูก ๆ ออกไปรับลม
หลังจากที่ออกไปประตูแล้ว แต่ละคนก็ดูมีร่าเริง ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้าไว้ เด็กคนนี้มองดูไปรอบ ๆ ละไม่ค่อยร่าเริงมากนัก ออกจะดูเงียบ ๆ มากไปหน่อย
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง นางเหลือบไปมองรอบ ๆ และกล่าวว่า:“บางทีพวกเขาอาจจะสื่อสารกับนกได้?”
จากนั้นเจ้าห้าก็หันไปมองฉีเฟยอวิ๋น ดวงตาสีดำเข้มของเขาดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่าง
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าลงและจูบเจ้าห้า:“ทำไมพวกเจ้าถึงได้น่ารักเช่นนี้?”
เจ้าห้ากะพริบตาและหันไปมองนกบนหลังคา นกจ้องมาที่เจ้าห้า แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ลูกคนอื่น ๆ และทุกคนต่างก็มองไปที่นก
ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นจึงตระหนักได้ว่าในบรรดาลูก ๆ ของนาง มีเพียงคนเดียวที่สามารถสื่อสารกับนกได้ และนกก็กำลังมองหาเขา แต่เนื่องจากมีหลายคน นกจึงไม่รู้ว่าใครคือเจ้านายของพวกมัน ดังนั้นพวกมันจึงมองมามองไปและสังเกตอย่างละเอียด
“พวกมันอยู่ก็ดี มีพวกมันอยู่ แม่จะรู้ได้ว่าพวกเจ้าปลอดภัยดีหรือไม่ ในสถานที่ที่อันตรายแห่งนี้ แม่ไม่ชอบที่สุดเลย
แต่เพียงแค่ได้อยู่กับพวกเจ้า ต่อให้แม่ไม่ชอบก็จะเรียนรู้ที่จะชอบให้ได้
หากท่านพ่อของพวกเจ้าถูกลอบสังหารอีกครั้ง!
แม่ก็คงจะกลัดกลุ้มมาก!”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่หนานกงเย่พูด ฉีเฟยอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
หลังจากที่อุ้มลูก ๆ เดินเล่นอยู่ข้างนอกสักพักแล้วก็กลับเข้าไป
ฉีเฟยอวิ๋นวางบุตรชายลงและจากไป อวิ๋นจิ่นเดินตามออกไป:“นายท่าน ข้าจัดการร้านทั้งสามเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นจิ่นมีเรื่องหนึ่งจะขอร้องนายท่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“เจ้าอยากจะอยู่ดูแลพวกเขาอย่างใกล้ชิดใช่หรือไม่?”
“นายท่าน ข้าชอบเด็ก นายท่านมีท่านอ๋องคอยอยู่เคียงข้าง ไม่มีทางที่จะเป็นอันตราย และแม้ว่าจะมีอันตรายก็ยังมีอาอวี่และคนอื่น ๆ แต่ข้างกายของเหล่าพระโอรสน้อยนั้นต่างออกไป นายท่านไม่อยู่ ข้าจึงอยากอยู่ดูแลพวกเขา อวิ๋นจิ่นยินดีที่จะปกป้องเหล่าพระโอรสน้อยด้วยชีวิตเจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงัก:“อวิ๋นจิ่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงไม่สั่งให้เจ้าดูแลพวกเขา?”
อวิ๋นจิ่นส่ายหัว:“อวิ๋นจิ่นไม่รู้เจ้าค่ะ”
“หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น บางทีอาจจะรักษาชีวิตไวได้ เพราะสิ่งที่คนอื่นคิดคือจะปกป้องเจ้านายอย่างไร แต่เจ้านั้นไม่เหมือนกัน เจ้าอยากจะตอบแทนบุญคุณ หากมีอะไรเกิดขึ้น เจ้าจะปกป้องพวกเขาทุกวิถีทางอย่างแน่นอน แต่ข้ากลัวว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีก
หากเจ้ารับปากกับข้าว่าอยู่ข้าง ๆ พวกเขาจนกว่าพวกเขาจะเติบโต ข้าก็จะตอบตกลงตามคำขอของเจ้าในวันนี้”
“อวิ๋นจิ่นรับปากกับนายท่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ข้าจะไม่สละชีวิตเพื่อช่วยผู้อื่น”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ แต่เจ้าก็ยังต้องดูแลร้านทั้งสาม หากเจ้ารู้สึกว่ายุ่งมากจนเกินไป เจ้าก็หาผู้ที่มีฝีมือสักสองสามคนมาช่วย อีกอย่างเจ้าก็ขอให้ทังเหอไปช่วยเจ้าก็ได้”
“เรื่องหน้าร้านอวิ๋นจิ่นยุ่งมาโดยตลอด และหาผู้ที่มีฝีมือได้แล้ว นายท่านวางใจได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าจัดการได้ ข้าก็วางใจ เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถอะ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไม่เป็นห่วงพวกเขา เจ้าอยู่ที่นี่ก็ดี ข้าจะบอกท่านอ๋องให้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอาวี่ หงเถาและลี่ว์หลิ่วจะอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้า”
“เจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังจากไป แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นจิ่นถึงทำเช่นนี้ แต่นางก็รู้สึกได้ถึงความจริงใจของอวิ๋นจิ่น
หลังจากออกไปที่ลานด้านหน้า จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็จะไปพบเสี่ยวกั๋วจิ้ว หวังฮวายอัน
อาอวี่รอฉีเฟยอวิ๋นอยู่ที่หน้าประตู และนำกล่องยามาสองสามกล่อง เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไป อาอวี่ก็เดินตามเข้าไปและวางกล่องยาลงบนพื้น
ในเวลานี้หนานกงเย่กำลังดื่มชาอยู่กับหวังฮวายอัน เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้า หนานกงเย่ก็วางถ้วยชาลง เขาลุกขึ้นและถามฉีเฟยอวิ๋นว่า:“เหตุใดถึงเพิ่งกลับมา?”
“หม่อมฉันเพียงแค่ไปดูท่านพ่อและลูก ๆ จึงกลับมาช้าเพคะ ทำให้เสี่ยวกั๋วจิ้วต้องรอแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองชาที่หนานกงเย่และหวังฮวายอันดื่ม จากนั้นก็เดินตรงเข้าไป
“อย่าดื่มชาในตอนนี้เลยเพคะ พระองค์แตกต่างจากคนอื่น ชาอาจทำให้นิ่วในไตของพระองค์รุนแรงมากขึ้น อีกอย่างน้ำทั้งหมดต้องไหลผ่านไต การน้ำดื่มชาจึงไม่ดี และหากเป็นชาที่เข้มข้นมากก็จะยิ่งไม่ดี ในตอนนี้อย่าดื่มเลยจะดีกว่า หากดีขึ้นเมื่อไหร่ หม่อมฉันจะบอกนะเพคะ
อาอวี่ กล่องยา”
ฉีเฟยอวิ๋นสั่ง และอาอวี่ก็นำกล่องยามาให้ในทันที ฉีเฟยอวิ๋นเปิดกล่องยาและหยิบหูฟังออกมา นางนั่งลงและกล่าวว่า:“เสี่ยวกั๋วจิ้ว พระองค์ถอดเสื้อคลุมออกด้วยเพคะ”
หวังฮวายอันหน้าแดงและมองไปที่หนานกงเย่:“อ๋องเย่ พระชายาของเจ้าตรวจโรคได้แปลกประหลาดจริง ๆ ต้องให้คนถอดเสื้อผ้าด้วยหรือ?”
“ท่านคิดว่าเต็มใจหรือ ท่านอย่าเอาสถานะมากดดันข้านะ ถอดออกเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ให้ถอดจนเปลือยเปล่า!” หนานกงเย่เดินไปนั่งอย่างกระวนกระวายใจ และยกขาขึ้นมานั่งไขว้กัน
หวังฮวายอันยังคงหน้าแดง และมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุม
หวังฮวายอันเป็นคนขี้อายและมีนิสัยรักความสะอาด การที่จะให้เขาถอดเสื้อผ้านั้นก็ไม่ง่ายเลย
หวังฮวายอันลุกขึ้นยืน เขาถอดออกมาทีละชิ้น ปลดเข็มขัดออกก่อน แล้วค่อยถอดเสื้อคลุมออกมาวางไว้ข้าง ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นแล้วก็เมื่อยและเกือบจะไล่คนออกไป ในโลกมีคนแบบนี้ได้อย่างไร ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไร
แค่ถอดเสื้อผ้าออก มันควรจะเหมือนกับหนานกงเย่ที่ถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็วและง่ายดาย
เป็นอย่างในตอนนี้ ใช่ผู้ชายหรือ?
ในที่สุดก็ถอดออกแล้ว หวังฮวายอันรีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและนั่งลง และยื่นมือให้ฉีเฟยอวิ๋นนด้วยท่าทางที่หยิ่งนศักดิ์ศรี:“ตรวจดูเถอะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึง ทำอย่างกับว่านางจะฆ่า?
“ไม่ใช่ตรงนี่ พระองค์นั่งเฉย ๆ นะเพคะ” ในขณะที่พูด ฉีเฟยอวิ๋นก็วางหัวฟังลงบนหน้าอกของหวังฮวายอัน และตั้งใจฟังเสียงการเต้นของหัวใจหวังฮวายอัน
สีหน้าของหวังฮวายอันดูตกใจ และกลัวจนไม่กล้าขยับ ร่างกายของเขาแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ไม่เคลื่อนไหว และจ้องไปที่หน้าผากของฉีเฟยอวิ๋น