ตอนที่ 980 หอประสานฟ้า
“สมบัติอะไรกันแน่” แม่นางเยวี่ยอดถามไม่ได้
นางเองก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะเมื่อครู่นางก็สังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ของเล่นพวกนั้นที่หลินสวินซื้อมาไม่มีอะไรหายาก มูลค่าก็ไม่ได้มาก
‘หินกระบวนก้อนหนึ่งที่พื้นผิวเปื้อนคราบเลือด ต่อให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาเองก็มองไม่ทะลุเบาะแสของสิ่งนี้ แต่ในสายตาของปฐมาจารย์สลักวิญญาณ สิ่งนี้ย่อมเป็นสมบัติชั้นสูงชิ้นหนึ่ง’
หลินสวินสื่อจิต ‘เนื่องจากเกี่ยวโยงกับพลังการควบคุมระดับสูงมาก สิ่งนี้อาจดูไม่เด่นสะดุดตา แต่ในความเป็นจริงมีความเร้นลับอยู่ภายใน’
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มชุดม่วงรีบเดินมาที่แผงขายนั้น ร้องโพล่งว่า “เถ้าแก่ แล้วของกองนั้นที่ข้าเห็นเมื่อกี้ล่ะ”
“เพิ่งขายไป มีอะไรหรือ” เจ้าของแผงลอยสงสัย
“ขายไปได้อย่างไร” ใบหน้าของชายหนุ่มชุดม่วงขรึมลง ร้อนรนกระวนกระวายอยู่บ้าง “ไม่ใช่บอกเจ้าไว้ดิบดีว่าห้ามขายหรือ”
ขณะพูดเขาคว้าเสื้อเจ้าของแผงขึ้นมา พูดลอดไรฟันว่า “บอกมาว่าใครซื้อ เขาไปไหนแล้ว”
เจ้าของแผงตกใจ ดิ้นขัดขืนไม่หยุด “เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน ถึงกับกล้าลงมือทำกับข้าได้”
“ข้ามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เจ้าคิดว่าข้ากล้าหรือไม่” ชายหนุ่มในชุดม่วงสีหน้าเย็นชา
ใบหน้าเจ้าของแผงเปลี่ยนไปอย่างมาก ท่าทีสำรวมตนขึ้นมาแล้ว ก่อนบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“ฮึ เจ้าสวะที่พูดไม่เป็นคำพูด ทำข้าเสียการใหญ่ หากคราวนี้ข้าหา ‘หินผนึกมรรค’ ชิ้นนั้นมาไม่ได้ ข้าจะเอาชีวิตเจ้าเป็นคนแรก!”
ชายหนุ่มในชุดม่วงทิ้งคำพูดโหดเหี้ยม แล้วหันหน้าจากไปด้วยหน้าตาบูดบึ้ง
หินผนึกมรรค?
เจ้าของแผงตกตะลึง วิญญาณล่องลอย
แม้เขาจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่สามารถทำให้ผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ร้อนรนและพะวงถึงได้เช่นนี้ ย่อมไม่ใช่สมบัติธรรมดาอย่างแน่นอน
“บัดซบเอ๊ย! ยิงห่านป่ามาตลอด วันนี้กลับถูกห่านป่าจิกตาบอดเสียได้[1]!” เจ้าของแผงทุบอกกระทืบเท้า ทั้งอารมณ์เสียทั้งหงุดหงิด หัวใจแทบกระอักเลือด
…
ในทะเลฝูงชนมากมาย ชายหนุ่มชุดม่วงกำลังค้นหาอย่างหนัก แต่ก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ผลสุดท้ายเขาก็ไม่พบ ‘คนซื้อ’ ที่เจ้าของแผงลอยอธิบายไว้
“น่าชังนัก พลาดเพียงก้าวเดียวถึงกับปล่อยวาสนาชิ้นใหญ่หลุดมือไปเสียได้!”
ชายหนุ่มชุดม่วงแทบคลั่งด้วยความโกรธ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจ “คงได้แต่กลับไปรายงานอาจารย์อาก่อนแล้ว”
…
หอประสานฟ้า
หนึ่งในกิจการที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเพลิงมรกต
เมื่อพวกหลินสวินมาถึง ดวงตาของพวกเขาก็ทอประกาย
ตัวเรือนทั้งหมดของหอนี้ทำจากผลึกม่วงละอองนิลชนิดหนึ่ง สูงหลายพันจั้ง ตั้งตระหง่านเสียดฟ้าอยู่ตรงนั้น ทั่วทั้งตัวอาคารเปล่งประกายสีม่วง สง่างามอย่างยิ่ง
ภายใต้ชายคาหอแขวนโคมพระราชวัง[2]สีเขียวอยู่ ทอแสงแวววาวสะท้อนบนผนัง ตัดสลับขับเน้นกันและกันกับแสงม่วง งดงามเหมือนภาพฝันมายา
หลินสวินอดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้ จากสายตาในปัจจุบันของเขา ย่อมสามารถเห็นได้ว่าอาคารทั้งหลังถูกปกคลุมไปด้วยกระบวนสลักวิญญาณที่หนาแน่นสอดรับซึ่งกันและกัน เกิดเป็นรูปแบบการป้องกันที่เทียบได้กับผนึกราชันอย่างหนึ่ง วิเศษอย่างมาก
ค่ายกลนี้ไม่ถือว่าน่ากลัวอะไร กุญแจสำคัญคือการโคจรค่ายกลนี้ จำนวนแกนวิญญาณที่ต้องเสียไปในแต่ละวันนั้นมีมากมายมหาศาล!
นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังหอประสานฟ้าร่ำรวยแค่ไหน
หลังจากเดินเข้ามา ภายในหอแห่งนี้ก็เป็นโลกอีกใบที่มีขนาดมหึมา พื้นดินและผนังล้วนเป็นหยกเคลือบสีทองอ่อนขัดเงาให้เรียบเนียนราวกับกระจก ภายใต้แสงสะท้อนของโคมสำริดสีทองแต่ละดวงยิ่งดูโอ่อ่านัก
“ข้าต้องการเข้าไปหาคนๆ หนึ่ง ทำธุระส่วนตัวบางอย่างก่อน ถ้าอย่างนั้นเจ้าพาเสี่ยวเหอไปรอในนี้ก่อนสักพักดีหรือไม่” แม่นางเยวี่ยกล่าว
“ก็ดี” หลินสวินพยักหน้า
จากนั้นแม่นางเยวี่ยเรียกข้ารับใช้คนหนึ่งในหอมา เอ่ยคำพูดแผ่วเบา ก็ถูกข้ารับใช้นำทางเข้าไปในส่วนลึกของหอ
หลินสวินพอจะเดาได้ เกรงว่าแม่นางเยวี่ยคงกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการกลับไปสำนัก
เขาไม่มีอะไรทำ จึงเดินเล่นภายในหอประสานฟ้ากับเสี่ยวเหอ
หอนี้มีความพิเศษอย่างมาก วางขายทั้งสมบัติล้ำค่า โอสถวิญญาณ วัตถุดิบวิญญาณ… ตระการตานานาชนิด
ทอดสายตามองไปรอบๆ มีสมบัติปรากฏอยู่ทุกที่ สวยงามละลานตา
แม้ว่าหลินสวินจะคุ้นเคยกับการเห็นสมบัติหลากหลาย แต่เขาก็ยังเผยความประหลาดใจเล็กน้อยออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ หอประสานฟ้าแห่งนี้สมคำร่ำลือจริงๆ สมบัติทุกชิ้นเรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นดี ไม่มีสินค้าธรรมดา
อย่างสมบัติ ‘เกราะเมฆแสงไพลิน’ ชิ้นหนึ่งในนั้น ถูกสร้างขึ้นจากไอลึกลับชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้เหวลึกหมื่นจั้งผสมกับวัตถุดิบวิญญาณหลายร้อยชิ้น บนนั้นยังวางกระบวนสลักวิญญาณแน่นขนัด มีสรรพคุณดับกิเลสฝึกสมาธิ ภัยอันตรายไม่อาจกล้ำกรายเป็นต้น
หรืออย่างรองเท้าคู่หนึ่ง การออกแบบเรียบง่าย แต่กลับหลอมมาจากขนนกกระจอกทมิฬเนตรทอง หายากและล้ำค่ายิ่ง
แต่ราคาก็ล้วนแพงหูฉี่ ผู้ฝึกปราณทั่วไปจับจ่ายไม่ได้เลยสักนิด
พวกเขามาถึงบริเวณที่แลกเปลี่ยนสมบัติโดยไม่รู้ตัว
หัวใจของหลินสวินไหวสะท้าน นับสิ่งของในแหวนเก็บของรอบหนึ่ง ตั้งใจจะแลกเปลี่ยนสมบัติที่ไม่ได้ใช้ทั้งหมดให้เป็นแกนวิญญาณ
แต่ในตอนนี้จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากไกลๆ “โอ้ นี่เสี่ยวเหอไม่ใช่หรือ ไม่เจอกันแค่ไม่เท่าไร ทำไมเจ้าไม่ไปขออาหารที่ข้างถนน แต่ดันมาอยู่ที่นี่เสียแล้วล่ะ คงไม่ใช่อยู่ต่อไม่ได้จนต้องซมซานกลับมาขอข้าวข้ากินสักมื้อกระมัง”
น้ำเสียงอึมครึมแปลกประหลาดแฝงนัยแสบทรวง พาให้เสี่ยวเหอที่อยู่ข้างๆ ตัวแข็งทื่อ แววโกรธกรุ่นปรากฏบนใบหน้าเล็กๆ ของนาง
หลินสวินหันศีรษะไป ก็เห็นเด็กสาวสะสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาจากไกลๆ
นางอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี แต่มีท่าทีเย็นชาเย่อหยิ่ง คิ้วเรียวเลิกขึ้น ริมฝีปากเม้มบางๆ รูปโฉมนับว่างดงาม แต่ในยามนี้มีแววเยาะเย้ยเหยียดหยันฉายชัดบนใบหน้าโดยไม่ปิดบัง
เมื่อนางเดินมา ข้ารับใช้ของหอบางส่วนที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนพากันคารวะ “คารวะคุณหนูเผย”
เผยเหวินสีหน้าเย่อหยิ่ง เชิดคางขึ้น ไม่สนใจคำทักทายของบริวาร พุ่งตรงไปที่เสี่ยวเหอ
“จุ๊ๆ ดูสิ ยังซอมซ่อขนาดนี้เหมือนเดิม ไหนเจ้าสาบานว่ายอมตายดีกว่าขอข้าวกินไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ข้าดูแล้วเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากตอนที่ขอทานเมื่อปีกลายเท่าไรเลย”
นางปรายตามองเสี่ยวเหอจากหัวจรดเท้า พร้อมกับดูถูกถากถาง “ว่ามาสิ ครั้งนี้เจ้ามาทำอะไรที่หอประสานฟ้า”
“เผยเหวิน ข้าไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยเรื่องในอดีตกับเจ้า ผู้คนต่างมีปณิธานของตัวเอง เจ้ามีวิถีชีวิตของเจ้า ข้าก็มีวิถีชีวิตของข้า ทำไมเจ้าต้องเยาะเย้ยข้าทันทีที่พบกันด้วย” ดวงหน้าน้อยของเสี่ยวเหอแดงก่ำ สองกำปั้นกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
เห็นได้ชัดว่านางและเผยเหวินคนนี้เป็นคนรู้จักกัน
เผยเหวินหัวเราะคิกคักพูดว่า “ข้าแค่เห็นเจ้าแล้วขัดหูขัดตา เยาะเย้ยเจ้าแล้วจะทำไม ข้ากับเจ้าก็มาจากภูมิหลังที่ยากจนทั้งคู่ แต่ข้าวาสนาดีได้พบคนสูงส่งในชีวิตนี้ และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาไปนับแต่นั้น ส่วนเจ้า… ฮ่าๆ ก็ยังน่าสมเพชถึงปานนี้อยู่”
“เจ้าอย่าให้มันมากนักนะ!”
เสี่ยวเหอโมโหแล้ว “อย่าลืมสิว่าตอนนั้นเจ้าเปลี่ยนแปลงโชคชะตาอย่างไร!”
เผยเหวินเยาะหยัน “วิธีการไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือผลลัพธ์ต่างหาก เจ้าดูสิ ข้าในตอนนี้ได้รับความเคารพในทุกที่ที่ไป แต่เจ้าเล่า ยังคงเป็นขอทานที่ไม่อาจเฉิดฉายได้!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างเย็นชากับข้ารับใช้ที่อยู่ห่างออกไปเหล่านั้น “ใครใช้ให้เจ้าปล่อยขอทานคนนี้เข้ามา ที่นี่คือหอประสานฟ้านะ ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าๆ ออกๆ ได้ตามใจชอบหรือ!”
บริวารเหล่านั้นเงียบสนิท
“ยังมัวนิ่งทำอะไร ไล่นางออกไปให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เผยเหวินตวาด
นี่เป็นการโจมตีและดูหมิ่นอย่างไม่มีปิดบัง
“เจ้า… เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” เสี่ยวเหอสั่นเทิ้มไปทั้งตัวด้วยความโกรธ ริมฝีปากถูกกัดจวนจะปริแตก
และยามนี้หลินสวินไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป เขาเดาสาเหตุออกคร่าวๆ แม้ว่าจะไม่รู้เหตุผลอย่างเป็นรูปธรรม แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น
ที่สำคัญคือ เสี่ยวเหอกำลังถูกรังแกใต้จมูกเขา!
นี่ทำให้หลินสวินไม่อาจทนได้
…………………..
[1] ยิงห่านป่ามาตลอด วันนี้กลับถูกห่านป่าจิกตาบอดเสียได้ หมายถึง มีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก แต่สุดท้ายกลับประมาททำพลาดไป
[2] โคมพระราชวัง เป็นโคมไฟชนิดหนึ่งมีรูปร่างเป็นแปดหรือหกเหลี่ยม ทุกด้านจะติดผ้าไหมบางหรือกระจกสี ทั้งวาดรูปมีสีสัน ด้านล่างแขวนพู่ประดับไว้ เดิมใช้ในวัง จึงเป็นที่มาของชื่อ