องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 573 ราชครูจวินอิจฉา
หนานกงเย่ก็ไม่รีบร้อนที่จะให้ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวสิ่งใดกับเขาแต่กลับรออย่างใจเย็น รอจนกระทั่งฉีเฟยอวิ๋นมองเขา: “แต่เช่นไรท่านก็ไม่ใช่จักรพรรดิของเมืองต้าเหลียง จิ๋นซีฮ่องเต้กระทำสิ่งใดนั้นมีเหตุผลที่เพียงพอ แต่ท่านน่าจะเป็นผู้สร้างความวุ่นวาย ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมหรือไม่ก็ตาม บ้านเมืองนี้ถูกกำหนดไว้ไม่ให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่าน!”
“ข้าไม่สามารถสนใจได้มากมายเช่นนั้น ข้าต้องการกวาดล้างทั่วทุกสารทิศและผนวกแผ่นดินให้เป็นหนึ่งและต้องการให้ราษฎรเกิดอันตรายจากการศึกสงครามให้น้อย! ข้ายังต้องการสร้างกำแพงเมือง แม่น้ำคูคลองทะลุกัน ขยายการทำการค้า สร้างดินปืน……”
ไม่รอให้หนานกงเย่กล่าวจบฉีเฟยอวิ๋นก็ยกมือขึ้นปิดปากของหนานกงเย่ ไม่อนุญาตให้เขากล่าวอีก
“ท่านอ๋อง ท่านรู้หรือว่ากำลังกล่าวสิ่งใด หากท่านทำเช่นนี้ท่านจะเป็นผู้ผิดบาปที่ถูกจดจำตลอดไป ยังไม่ต้องกล่าวถึงอันตรายของการทำดินปืน การสร้างกำแพงเมืองและแม่น้ำคูคลองทะลุกันต้องใช้กำลังทรัพย์และกำลังคนเป็นจำนวนมาก ใจของท่านใช่ว่าราษฎรนั้นจะเข้าใจ”
“ดังนั้นข้าจะไม่เป็นจักรพรรดิ ให้พี่ใหญ่เป็นจักรพรรดิ และข้าจะแบกรับการถูกก่นด่านี้”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นจู่ๆก็รู้สึกปวดใจกับชายผู้นี้ นางสัมผัสใบหน้าของหนานกงเย่: “เสด็จพ่อของท่านอาจไม่ใช่ไม่ทรงทราบถึงความทะเยอทะยานในใจของท่าน เขาเพียงแค่ต้องการให้ท่านเป็นดาบอันแหลมคมเล่มหนึ่งของเมืองต้าเหลียงสินะ?”
“ข้าไม่สนใจ!”
หนานกงเย่บีบคางของฉีเฟยอวิ๋นและจูบอย่างเสน่หา ฉีเฟยอวิ๋นจากออกและกอดเอวของหนานกงเย่เอาไว้: “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจความทะเยอทะยานของท่านอ๋อง แต่ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว มีเพียงอยู่และตายร่วมกันยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการช่วยเหลือท่านอ๋องให้สร้างประโยชน์แก่ราษฎร
แต่ท่านอ๋อง……ท่านต้องรู้ว่าราชวงศ์นั้นใช่ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าท่านจะกวาดล้างทั่วทุกสารทิศ เหนือทั่วทุกสารทิศก็ยังมีวันที่ราชวงศ์จะเปลี่ยนแปลงไป
โจโฉควบคุมจักรพรรดิไว้เพื่อใช้ออกคำสั่งแก่เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ นับประสาอะไรกับตลอดไป
ไม่แน่ว่าเจ้าคนอัปลักษณ์นั้นอาจทำลายบ้านเมืองที่ท่านอ๋องต่อสู้มาอย่างยากลำบาก
ไม่ว่าท่านอ๋องจะต่อสู้ในสนามรบเช่นไรก็เป็นการต่อสู้ที่เอามาได้ในทันที ต่อสู้นั้นไม่ยากแต่รักษาเอาไว้ได้หรือไม่ถึงจะเป็นความสามารถ
การจะนั่งอย่างมั่นคงและปกครองทั่วหล้านั้นต้องมีจักรพรรดิผู้ทรงฉลาดหลักแหลม ด้านหนึ่งจะต้องสามารถปลอบใจสาวงามสามพันคนในวังหลังสามพันตำหนัก ด้านหนึ่งต้องสามารถควบคุมราชสำนักให้อยู่ในกำมือ และยังต้องอดทนต่อการณ์ใหญ่และโหดเหี้ยมไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
คนเช่นนี้หายากในโลก แม้ว่าชั่วชีวิตนี้ท่านอ๋องจะเป็นคนเช่นนี้แต่ว่าในชาติต่อไปใครจะรู้ว่าคนผู้นี้จะเป็นผู้ใด?
หากว่าไม่มี ราษฎรก็ยังต้องเผชิญกับความทุกข์ยากอยู่มิใช่หรือ?
หากว่าทั่วทุกสารทิศพัฒนาอยู่เช่นนี้ต่อไป ลองนึกภาพว่ามีเสืออยู่ข้างๆจักรพรรดิ และจักรพรรดิก็ไม่กล้าที่จะหยุดพัก อย่างน้อยก็สามารถทำงานหนักเพื่อปกป้องคุ้มครองชาติบ้านเมืองนี้ได้”
หนานกงเย่มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นจากนั้นบีบคางอันอ่อนนุ่มของฉีเฟยอวิ๋นเล่น: “หากอวิ๋นอวิ๋นไม่ได้เกิดมาเป็นสตรีข้าจะไม่มีทางปล่อยอวิ๋นอวิ๋นเอาไว้ ผู้คนเฉกเช่นอวิ๋นอวิ๋นนี้ปล่อยไว้ถึงจะเป็นปัญหาอันใหญ่หลวงในใจ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน: “หรือว่าสตรีไม่สามารถครองโลกได้?”
มือของหนานกงเย่หยุดลงและก็ไม่ได้กล่าวเป็นเวลานาน มองดูฉีเฟยอวิ๋นแล้วคลายมือออกพร้อมทั้งพิงไปยังด้านในรถม้า ร่างกายโยกไปมาตามรถม้า
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ: “ท่านอ๋องเป็นอันใดหรือ?”
“แน่นอนว่าสตรีนั้นสามารถครอบครองแผ่นดินได้ แต่ข้าก็แค่ไม่เกรงกลัวสตรีผู้นี้ก็เท่านั้นเอง” หนานกงเย่กล่าวพร้อมกับยิ้ม
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ: “ท่านอ๋องมั่นใจมากเช่นนี้เลยหรือ?”
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างเฉยเมย จากนั้นดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามากอด: “อวิ๋นอวิ๋นมีใจที่จะครอบครองใต้หล้าหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น: “ไม่มี แต่หากว่าวันหนึ่งท่านอ๋องทำร้ายข้าข้าก็จะมี ข้าจะเอาสิ่งของที่สำคัญที่สุดไปจากท่านอ๋องให้ท่านอ๋องเสียใจไปชั่วชีวิต!
หนานกงเย่รู้สึกขบขันอยู่พักหนึ่ง: “เกรงว่าจะไม่ได้ซะแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้าก็คืออวิ๋นอวิ๋นเว้นแต่ว่าอวิ๋นอวิ๋นจะนำเอาอวิ๋นอวิ๋นไป”
“เช่นนั้นก็ไม่แน่!” ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มด้วยใบหน้ามีชัย หนานกงเย่สีหน้าหมองลง ใช้แรงที่แขนกอดฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ในอ้อมอกอย่างโมโห!
“เจ้ากล้าหรือ?”
เอวของฉีเฟยอวิ๋นกระชับขึ้นและคนก็ถูกดันเข้าไปในอ้อมแขนของหนานกงเย่ นางต้องการสลัดร่างออกแต่ราวกับว่าถูกเหล็กและปูนหลอมรวมเอาไว้ด้วยกัน จะเคลื่อนไหวก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว
“ท่านต้องการรัดข้าจนตายหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นต่อว่า
หนานกงเย่คลายมือ: “ไม่ว่าอย่างไร แม้ว่าข้าจะกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรจริงๆอวิ๋นอวิ๋นก็ไม่ต้องจดจำ ไม่ถึงท้ายที่สุดและข้าไม่ได้สารภาพด้วยตนเองไม่อนุญาตให้ไปจากข้า”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่สักครู่แล้วกล่าวว่า: “แล้วหากว่าข้าไม่รับปากหล่ะ?”
“ข้าจะกลับไปจ่ายเบี้ยและจ่ายจนกว่าจะรับปาก”
ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน: “ท่านอ๋องก็มีความสามารถอันน้อยนิดเช่นนี้ เถียงไม่ไหวก็มาแนวนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นพิงอยู่ในอ้อมอกของหนานกงเย่: “ท่านเล่นลูกไม้ตลบตะแลงกับข้าก็ไร้ประโยชน์ หากว่าท่านอ๋องทำเรื่องที่ผิดต่อข้าจริงข้าก็จะไม่มีวันละเว้นท่านอ๋องง่ายๆเป็นแน่
“ช่างกล้าหาญไม่น้อย กล้าไม่ละเว้นข้า ข้าประเมินอวิ๋นอวิ๋นต่ำไป”
สองสามีภรรยาทะเลาะกันอยู่ครู่หนึ่ง รถม้ากลับถึงจวนอ๋องเย่หนานกงเย่ก็อุ้มฉีเฟยอวิ๋นลง
กลับถึงสวนดอกกล้วยไม้ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปดูเด็กๆที่รักทั้งหลายก่อนแล้วก็ไปดูฮูหยินรอง คิดไม่ถึงว่าราชครูจวินนั้นอยู่ที่นั่น
เห็นราชครูจวินแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็คำนับแล้วไปดูอาการป่วยของฮูหยินรอง
ราชครูจวินนั่งอยู่ข้างๆฮูหยินรอง เมื่อครู่หารือกันว่าต้องการรับฮูหยินรองกลับไป
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ราชครูจวินก็ได้จัดทำเตาอุ่นไว้ในเรือนของตนเองด้วย แม้จะไม่ได้ดีเท่าในจวนอ๋องเย่นี้แต่ก็ไม่เลวนัก คิดที่จะรับฮูหยินรองกลับไปยังจวนราชครู
กล่าวตามจริงแล้วจวนอ๋องเย่จะดีเพียงใดก็ไม่สะดวกเท่าจวนราชครู
ราชครูจวินมาทุกวันแต่ไม่ค่อยดีที่จะพักอยู่ทุกวัน เขาผู้เป็นราชครูในราชสำนักผู้หนึ่งพักอาศัยอยู่ในจวนอ๋องเย่ พูดออกไปจะเสียหน้าเพียงใด
“ราชครู วันนี้ไม่พักอยู่หรือ?” หนานกงเย่นั่งลงก็ถามขึ้น ราชครูจวินกลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็มา อยู่หรือไม่อยู่ต้องให้อ๋องเย่ถามด้วยตนเองหรือ?
“เดิมทีวันนี้วางแผนว่าจะรับฮูหยินรองกลับ แต่นางไม่ยอมกลับจึงพักอยู่ต่อแต่ก็ไม่มีปัญหา”
ราชครูจวินเป็นผู้ชราที่หน้าไม่อายซะแล้ว!
แววตาอันเฉยเมยของหนานกงเย่เหลือบมองไปยังฝั่งฮูหยินรองแล้วกล่าวว่า: “สักครู่จะสั่งให้คนเตรียมการ”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าก็ไม่ได้พักที่นี่เป็นวันแรกไม่เป็นปัญหา!” ราชครูจวินดูเหมือนว่าจะคุ้นชินพร้อมด้วยท่าทีแล้วเจ้าจะทำเช่นไรกับข้าได้
ฉีเฟยอวิ๋นฟังอยู่ฝั่งหนึ่งอย่างขบขัน คนชราคนหนึ่งกับชายหนุ่มคนหนึ่งตีฝีปากกันขึ้น แต่เป็นการต่อสู้ด้วยปัญญาและความกล้าจึงไม่รู้ว่าผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ
ไม่สนใจทั้งสองคนจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ตั้งใจอยู่กับการดูอาการป่วยของฮูหยินรอง สุขภาพของฮูหยินรองนั้นไม่ดีเท่าสองสามวันก่อนแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นสอบถามรวมทั้งรักษาอาการป่วยอย่างละเอียดละออ สั่งให้คนเตรียมถุงประคบร้อนและใส่เกลือเม็ดใหญ่เอาไว้ในถุง สั่งให้คนนำเกลือที่ทอดแล้วประกบเอาไว้ทั่วทั้งตัวของฮูหยินรองเพื่อใช้ขับความเย็นโดยเฉพาะ และใช้ขิงเป็นแผ่นต้มเป็นซุปเพื่อใช้ดื่ม
จัดการเรียบร้อยแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งแล้วเริ่มง่วงจากนั้นก็นอนหลับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หนานกงเย่อุ้มคนขี้นมาแล้วออกจากประตูกลับไปพักผ่อน
ราชครูจวินเงยหน้าขึ้นมองไปยังหนานกงเย่ที่จากไปแล้วด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา!