องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 606 ออกจากเมืองหลวง
ฉีเฟยอวิ๋นจึงขึ้นไปบนรถม้าและเห็นคนที่อยู่ในรถม้า หนานกงเย่กำลังนอนอยู่ในนั้น ศีรษะของเขาได้รับบาดเจ็บ เขานอนอยู่ในรถม้าราวกับว่าไม่สามารถขยับได้ และไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ รถม้าค่อนข้างทรุดโทรม เขารูปร่างกำยำและนอนแผ่อยู่ ทำให้ดูไม่สมดุลกันมากนัก
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปนั่งข้างใน ใบหน้าของนางยิ้มแย้ม:“ท่านอ๋องออกมาได้อย่างไรเพคะ?”
“หากข้าไม่ออกมา แล้วเมื่อไหร่อวิ๋นอวิ๋นจะกลับไป?” ความหมายก็คือเขากังวลว่าจะไม่สามารถกลับไปได้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าหนานกงเย่เป็นห่วงนาง จึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก และรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ
เมื่อรถม้ากลับไปแล้ว หนานกงเย่ก็ดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ในรถม้ามีผ้าห่มอยู่ แต่ก็ยังหนาวมาก รถม้ามีขนาดเล็กและไม่ได้มีการเตรียมการที่มากพอ ดังนั้นจึงรู้สึกหนาว
โดยปกติแล้วจะมีพื้นที่กว้างพอที่จะวางเตาอั้งโล่สองเตา แต่วันนี้ไม่มีเตาอั้งโล่เลยสักเตา และพื้นที่ก็แคบอยู่แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นถูกกอดไว้ และหนานกงเย่ก็ถูกห่อด้วยผ้าห่ม
ในขณะที่กอดหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกขบขัน:“ลงไปเดินเล่นเสียยังดีกว่า”
“กอดกันเถอะ อีกสักพักก็อุ่นแล้ว หากลงไปใครเห็นเข้าจะยุ่งยาก”
ฉีเฟยอวิ๋นส่งเสียงอืม และทั้งสองก็กอดกันกลับไป
รถม้าจอดอยู่ไม่ไกลจากจวนอ๋องเย่ ทั้งสองลงมาจากรถม้าและเดินกลับมาที่จวนอ๋องเย่ด้วยกัน
หลังจากนั้นหนานกงเย่ก็ไปรับฉีเฟยอวิ๋นทุกวัน ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมาแต่เช้า หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว นางก็ออกไป เป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน จนอาการป่วยของฮูหยินเสนาบดีดีขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นชี้แจ้งแม่นมซุยและทิ้งยาไว้ให้เพียงพอ
“วันนี้ข้าต้องไปแล้ว และต่อไปคงจะไม่ได้กลับมาอีก” นอกเหนือจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้พูดอะไรและออกไป
ฮูหยินเสนาบดีเฝ้ามองฉีเฟยอวิ๋นจากไป นางรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างสุดจะพรรณนา
นางไม่คิดว่าฉีเฟยอวิ๋นจะช่วยเหลือ
เมื่อนึกถึงความคิดที่นางต้องการจะทำร้ายฉีเฟยอวิ๋นแล้ว ฮูหยินเสนาบดีก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
“เจ้ากลับไปบอกนายท่านเถอะว่าข้าไม่เป็นไรแล้ว นายท่านจะได้สบายใจ ตั้งแต่นี้ต่อไปข้าจะไม่กลับไปที่นั่นแล้ว”
แม่นมซุยปฏิบัติตามคำสั่ง และกลับไปบอกเสนาบดีเฉิน
หลังจากที่เสนาบดีเฉินรู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว ในคืนนั้นเขาก็ออกไปจากจวน และไปที่ขอพบฉีเฟยอวิ๋นที่จวนอ๋องเย่
เมื่อได้ยินว่าเสนาบดีเฉินมา ฉีเฟยอวิ๋นก็ให้อาอวี่ไปบอกเสนาบดีเฉินว่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานางเป็นหวัด และไม่สะดวกที่จะพบ หากมีเรื่องอะไรค่อยมาใหม่วันหลัง
เสนาบดีเฉินรออยู่สามชั่วยาม และข้างนอกอากาศหนาวเย็น ถึงอย่างไรเขาก็อายุมากแล้ว และยังไม่ทันได้พบฉีเฟยอวิ๋น เขาก็เป็นลมล้มลง
ฉีเฟยอวิ๋นจึงออกมาและตรวจอาการดู เขาเพียงแค่เป็นลมไปเท่านั้น และไม่ได้เป็นอะไร
“อาอวี่ เจ้าส่งเสนาบดีเฉินกลับไป และบอกว่าข้ากับท่านอ๋องออกไปข้างนอกแล้ว และไม่ต้องมาอีก” หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นสั่งอย่างชัดเจนแล้ว นางก็กลับไปที่สวนดอกกล้วยไม้ และอาอวี่ก็ส่งเสนาบดีเฉินกลับไป
เพื่อไม่ให้เสนาบดีเฉินกลับมาอีก ฉีเฟยอวิ๋นจึงวางแผนที่จะออกไปหลบข้างนอกสักสองสามวัน
“ท่านอ๋อง พระองค์ทรงตรัสว่าจะไปที่ชายแดนมิใช่หรือเพคะ เช่นนั้นพระองค์ทรงเขียนจดหมายถึงท่านอ๋องตวน แล้วให้เขาได้แสดงความสามารถในการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จากนั้นพวกเราไปที่ชายแดนกัน ดีหรือไม่เพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้าไว้ในอ้อมแขน นางไล่ตามเจ้าเสือน้อยที่อยู่บนพื้น และมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนไหล่ของนาง
หนานกงเย่ดื่มชาแล้วลุกขึ้น:“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
หนานกงเย่อุ้มบุตรชายคนสุดท้องไปที่เรือนจวินจื่อ และอวิ๋นจิ่นก็ออกมาพอดี เขาจึงฝากฝังบุตรไว้ จากนั้นหนานกงเย่ก็พอฉีเฟยอวิ๋นจากไปและสั่งว่า:“หากราชสำนักมีอะไรก็บอกว่าข้าไม่มีความผิดที่จะถูกเฆี่ยนตี และลาออกไปพเนจร”
ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเป็นขบขัน เขาตัดสินใจเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแค่รอให้นางพูดว่าไปเท่านั้น
อวิ๋นจิ่นถอนสายบัว เจ้าห้าหันไปมองทั้งสองคนที่ทิ้งเขาไว้ และหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไป เมื่อขึ้นไปบนรถม้า นางก็พบว่าได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว แม้แต่ตำราก็ใส่ไว้ในกล่องด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและรู้สึกใจคอห่อเหี่ยว:“ท่านอ๋อง พระองค์ทรงเตรียมพร้อมไว้นานแล้วหรือเพคะ?”
“คงจะใช่” หนานกงเย่จะไปที่ชายแดนจริง ๆ และในไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาไม่ออกไปเพราะยังไม่วางใจ และเมื่อเจอกับเรื่องของจวนเสนาบดี จึงทำให้ล่าช้า ประกอบกับฉีเฟยอวิ๋นต้องการจะติดตามไปด้วย เขาจึงพานางไป
“หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าท่านอ๋องทรงเตรียมการไว้แล้ว และน่าจะเตรียมการไว้นานแล้ว แต่ยังไม่ได้บอกเฟิงอู๋ชิง”
“ข้าบอกเขาแล้ว” หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ ฉีเฟยอวิ๋นเฝ้ามองเขาอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ เขาแผนสูง จะไม่อธิบายได้อย่างไรกัน
“แล้วพระองค์ทรงบอกว่าอย่างไรเพคะ?”
“ไม่ได้บอกอะไร เขาเพียงแค่ถามว่าข้าจะไปนานแค่ไหน”
“เช่นนั้นท่านอ๋องคงจะไม่ได้บอกเขาว่าเราจะมาหลังปีใหม่ใช่หรือไม่?”
“อวิ๋นอวิ๋นคิดว่าอย่างไร?” หนานกงเย่รู้สึกขบขัน แต่ความขบขันของเขานั้นเย็นชา จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็เงียบไม่พูดไม่จา
เมื่อมองออกไปนอกรถม้า รถม้าก็กำลังมุ่งหน้าออกจากเมืองแล้ว ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้พาอาอวี่มาด้วย และคนขับม้าก็เป็นคนที่ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จัก
แม้ว่าในรถม้าจะมีทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีป้ายของจวนอ๋องเย่ จะว่าไปแล้วพวกเขาก็แค่หลบหูหลบตาผู้คนเท่านั้น
พวกเขาออกมาอย่างรีบร้อน และยังไม่ได้บอกลาท่านพ่อของนางเลย
คงต้องรออีกหลายเดือนกว่าจะได้ไม่กลับมา
หนานกงเย่ดึงฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมากอด และรถม้าก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่ออ๋องตวนได้รับจดหมายลับ เขาก็รีบออกไปจากจวน และขี่ม้าตามไปที่ประตูเมือง อวิ๋นหลัวฉวนทำอะไรไม่ถูก ทั้งสองกำลังทำเรื่องอย่างว่าอยู่ในห้อง แต่ถูกรบกวนจนตกใจ อวิ๋นหลัวฉวนจะตามออกไปด้วย แต่เมื่อออกมาก็ถูกชายชุดดำสี่คนคอยคุ้มกัน และม้าของอ๋องตวนก็ออกไปนอกเมืองแล้ว
รถม้าของหนานกงเย่มาถึงนอกเมืองแล้ว และมีรถม้าอีกหลายคันรออยู่ที่ประตูเมือง
คนขับรถม้าจอดรถและไปรายงานหนานกงเย่:“ท่านอ๋อง มีรถม้าจอดขวางทางอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่เอนตัวไปด้านข้างรถม้าและเปิดม่านบนรถม้าเพื่อมองออกไปข้างนอก ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ข้าง ๆ เขา เขานั่งนั่งขัดตะหมาด จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปนั่งในตักของเขาและมองออกไปข้างนอก
รถม้าหลายคันที่อยู่ด้านนอก มีคนลงมาหลายคน ราชครูจวิน แม่ทัพฉี หวังฮวายอัน และเว่ยหลินชวน
ทั้งสี่คนยืนอยู่ตรงนั้น ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะวิ่งลงจากรถม้าเพื่อไปหาแม่ทัพฉี แต่นางก็หยุดชะงัก
หนานกงเย่มองไปที่คนทั้งสี่อย่างเย็นชา:“ข้าไม่อยู่ เมืองหลวงคงต้องฝากให้ทุกท่านช่วยดูแลแล้ว ทางด้านปีกใต้คงต้องรบกวนท่านราชครูและท่านพ่อตาด้วย”
“ท่านอ๋องทรงไม่ต้องกังวล กระหม่อมยังพอที่จะทำได้อีกสักระยะ กระหม่อมอยู่ที่นี่ รับรองว่าจะไม่ให้พวกเขาเข้ามาได้”
แม่ทัพฉีเหลือบมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น:“รีบไปรีบกลับ”
“ท่านพ่อ ฝากดูแลพวกเขาด้วยนะเจ้าคะ และดูแลตนเองให้ดี ๆ ” ฉีเฟยอวิ๋นยังคงอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย แม้ว่าจะจากไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กลับมา
แม่ทัพฉีน้ำตาซึม น้ำตาของเขามีไว้เพื่อฉีเฟยอวิ๋นมาแต่ไหนแต่ไร และน้ำตาของเขาก็ไหลออกมา
แม่ทัพฉีเช็ดน้ำตาและมองที่หนานกงเย่อย่างโกรธเคือง:“พระองค์ก็ด้วย”
“บุตรเขยน้อมรับคำสั่ง!”
แม่ทัพฉีเหลือบมองหวังฮวายอัน หวังฮวายอันยิ้ม:“รีบไปรีบกลับ”
“อืม”
หนานกงเย่ปิดม่านบนรถม้าลง และกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ในอ้อมแขน จากนั้นรถม้าก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว รถม้าแล่นผ่านไป และผู้ที่แอบตามมาอย่างลับ ๆ ก็ตามมาอย่างรวดเร็ว
เว่ยหลินชวนเฝ้ามองและขึ้นไปบนรถม้า และกลับเข้าไปในเมืองหลวงเพื่อไปรายงานองคืหญิงใหญ่
ทั้งสี่คนแยกย้ายกันไป และเมื่ออ๋องตวนมาถึง เขาก็เห็นว่ามีรถม้าหลายคันกำลังกลับมาในเมืองหลวง เขาโกรธเคืองและโวยวายในทันที จากนั้นก็ควบม้าไปอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ขวางรถม้าของหนานกงเย่ไว้ได้