องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ – บทที่ 623 ท่านอ๋องเย่ชอบผู้ชาย

บทที่ 623 ท่านอ๋องเย่ชอบผู้ชาย

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 623 ท่านอ๋องเย่ชอบผู้ชาย

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตัวขึ้นมาเหมือนมีคนมาเขย่าให้ตื่น เธอลืมตาขึ้นมาและจากนั้นก็หลับต่อ

เธอรู้สึกมีสติตลอดเวลา เธอคิดว่าจะต้องกลับไปอยู่ที่หน้าสถาบันวิจัย

แต่สุดท้ายเธอกลับไปสู่ยุคปัจจุบันที่เธอย้อนเวลาไป

ยังอยู่หน้าสถาบันวิจัยแต่สถาบันวิจัยในศตวรรษที่ 21 เปลี่ยนไปมาก ถ้าไม่ใช่เพราะป้ายเดิมของสถาบันวิจัยยังอยู่ กลัวว่าเธอเองก็คงจะจำไม่ได้

ด้านหลังเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์แห่งหนึ่ง

ฉีเฟยอวิ๋นกำลังสงสัย มีชายผมขาวถูกหามออกมา และรถพยาบาลก็ขับรถมาที่นี่อย่างรวดเร็ว

ฉีเฟยอวิ๋นมีความรู้สึกเป็นลางไม่ดีและรีบวิ่งไป

เธอขึ้นรถไปก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนอนอยู่ ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าเขาตัวซีดเซียว ดวงตาปิดสนิท และเป็นอาจารย์ที่ใส่หน้ากากออกซิเจนเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินเข้าไปดึงมือของอาจารย์เอาไว้

“อาจารย์คะ”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ร้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว

คุณหมอไม่รู้อะไร “คุณเป็นใคร นักวิชาการเมิ่งไม่มีญาติพี่น้อง คุณรู้จักเขาเหรอ?”

ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้ออกมา “ฉันเป็นลูกสาวของเขาค่ะ”

คุณหมอรู้สึกตกใจ “พวกเราไม่เคยได้ยินเลยว่านักวิชาการเมิ่งมีลูกสาวด้วย”

“ฉันเป็นลูกบุญธรรมของเขาค่ะ เดิมทีเป็นลูกศิษย์ของเขา ฉันชื่อว่าฉีเฟยอวิ๋นค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงตอนที่เห็นเขาที่สถาบันวิจัย และจนมาถึงที่นี่

จู่ๆ ก็เข้าใจอะไรบางอย่างได้ เพราะอาจารย์กำลังจะไม่รอดแล้ว

คุณหมอกำลังทำการช่วยชีวิต อันที่จริงฉีเฟยอวิ๋นก็อยากจะช่วย แต่เธอไม่ได้ทำแบบนั้น

เธอกำลังรอ

หลังจากผ่านการปฐมพยาบาลช่วยชีวิต อาจารย์ได้รับการช่วยชีวิต

อาจารย์ลืมตาขึ้นมาและจ้องมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นอย่างเหม่อลอย “เธอเองเหรอ?”

ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดน้ำตา “อาจารย์คะ อาจารย์จำหนูไม่ได้แล้วเหรอคะ หนูคือฉีเฟยอวิ๋นไงคะ”

ในที่สุดเมิ่งชิงเจ๋อก็จำได้ เขายิ้มและกุมมือของฉีเฟยอวิ๋นอย่างอ่อนแรง “คิดอยู่เสมอว่ามีวาสนากับหนู ยังนึกถึงตอนที่ฉันเก็บหนูมาเลี้ยงได้อยู่เลย ตัวของหนูเต็มไปด้วยโคลนเปียกปอนไปหมด ฉันจึงคิดว่า พ่อแม่ของเด็กคนนี้ไปไหนกันนะ หลังจากนั้นจึงรู้ว่าหนูเป็นเด็กกำพร้าในสถานรับเลี้ยงเด็ก ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ฉันจึงรู้สึกเอ็นดูหนู……

เมื่อหนูอาบน้ำล้างตัวจนสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันก็รู้สึกว่า หนูเป็นเหมือนญาติสนิทมิตรสหายที่กลับมาเยี่ยมเยือน

ในที่สุดฉันก็จำไม่ผิด เพียงแต่ลืมไปแล้วเท่านั้นเอง

หนูนี่นะ!

เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันได้พบเจอตอนยังวัยรุ่น การปรากฏตัวของเธอเหมือนกับฝัน จู่ๆ ก็หายวับไป

จนถึงตอนนี้ ฉันเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ที่แท้ก็เห็นหนูนี่เอง!”

ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้จึงร้องไห้ขึ้นมา เธอร้องไห้พลางเช็ดน้ำตาไปด้วย

อาจารย์ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวโดยไม่ได้แต่งงานมาตลอดชีวิต เขาเคยบอกว่าเขากำลังรอผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่เป็นรักแรกพบของเขา ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยคิดเลยว่านั่นคือเรื่องจริง เพราะเธอไม่เชื่อในรักแรกพบ

แต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า “อาจารย์คะ อาจารย์เชื่อไหมคะว่าคนเราจะสามารถเดินอยู่ในอุโมงค์เวลาได้?”

เมิ่งชิงเจ๋อยิ้ม รอยยิ้มของคนแก่ชราก็เหมือนกับรอยยิ้มของเด็กที่บริสุทธิ์

ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้หนักกว่าเดิม คุณหมอที่รักษาเมิ่งชิงเจ๋อก็หมดปัญญาที่จะสนใจดูแลฉีเฟยอวิ๋น พวกเราจดจ่ออยู่กับสภาพร่างกายของเมิ่งชิงเจ๋ออยู่ในขณะนั้น

รถพยาบาลฉุกเฉินเดินทางมาถึงโรงพยาบาล ฉีเฟยอวิ๋นก็ตามลงจากรถเช่นกัน

เมิ่งชิงเจ๋อถูกส่งไปยังแผนกฉุกเฉินเพื่อทำการช่วยชีวิตไว้ ฉีเฟยอวิ๋นนั่งรออยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายชั่วโมง จากนั้นอาจารย์ก็ถูกเข็นออกมา

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นก็รีบเดินเข้าไปและตามไปที่ห้องผู้ป่วย

และรอต่อไปอีกสองชั่วโมงกว่าที่อาจารย์จะฟื้นขึ้นมา

ฉีเฟยอวิ๋นรีบกุมมือของอาจารย์ขึ้นมาและเรียกเขา

ที่ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเสียใจก็คือ ในฐานะที่เธอเป็นหมอ แต่เธอไม่สามารถช่วยอะไรอาจารย์ได้เลย เดิมทีเมื่อสิบปีก่อนนั้น ร่างกายของอาจารย์ก็เริ่มมีปัญหาขึ้นแล้ว

เขาเป็นผู้ป่วยโรคปอดบวม โรคนี้เมื่อมีอาการขึ้นมา ทำได้เพียงแค่เปลี่ยนปอดเท่านั้น

แต่ในฐานะของนักเรียนแพทย์แล้วนั้น รอมาแล้วหนึ่งปีสำหรับการปลูกถ่าย และเป็นไปไม่ได้ที่จะรอถึงสิบปี

ฉีเฟยอวิ๋นฟังจากคุณหมอที่ดูแลอาจารย์ ในสิบปีมานี้ อาจารย์ได้มอบโอกาสสี่ครั้งของตัวเองให้คนอื่นไปแล้ว

ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ครั้งนี้ต่อให้มีคนปลูกถ่ายให้ เขาก็ยังไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้

เมิ่งชิงเจ๋อมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นและยิ้ม “เด็กโง่ไม่ต้องร้องไห้หรอก เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

คนทุกคนมายังโลกใบนี้ ล้วนมาเพื่อปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติตนครบกำหนดวาระแล้วก็ต้องจากไป

อาจารย์ก็แค่ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้วเท่านั้นเอง การปฏิบัติในครั้งนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว”

“อาจารย์คะ เลือดของหนูสามารถช่วยอาจารย์ได้ เพียงแค่อาจารย์ดื่มเลือดของหนูเข้าไปก็สามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง” ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดน้ำตาและไม่ต้องการแสดงอาการเจ็บปวดเสียใจให้เห็น

เมิ่งชิงเจ๋อส่ายหน้า “ฉันรู้ว่าหนูไม่ใช่คนธรรมดา แต่คนทุกคนล้วนมีเวลาของตัวเอง ไม่ต้องใช้พลังอำนาจจากภายนอกมากำหนด ไม่งั้นก็จะหมดความหมายที่แท้จริงไปได้

เสี่ยวอวิ๋น หนูควรจะรู้ว่าความสวยงามของดอกไม้เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลง เป็นเพราะมันมีวันเหี่ยวเฉา ตอนที่มันเหี่ยวเฉาลงคนก็จะเสียใจ เป็นเพราะมันเหี่ยวเฉาลง

คนก็เหมือนกัน มีเกิดมีตาย ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีความสุขมากมาย ตอนตายก็ยังมีความเศร้าเสียใจอยู่บ้าง นี่ก็เป็นหลักสัจธรรมบนโลกมนุษย์

อาจารย์จะไม่จากหนูไปไหน เมื่อจากไปแล้ว อาจารย์ก็จะยังเฝ้าดูพวกเราอยู่”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า อารมณ์ของเธอในตอนนี้หนักมาก

เมิ่งชิงเจ๋อหลับตาลง ริมฝีปากเผยให้เห็นรอยยิ้ม “อาจารย์รอหนูมาหลายปีแล้ว คิดเสมอว่าหนูจะกลับมา และกลับมามอบช่วงเวลาดีๆ ที่สวยงามให้กับอาจารย์

แต่ไม่คิดเลยว่า อาจารย์รออย่างมีความหวัง แต่สิ่งที่รอคืออาจารย์ดูหนูเติบโตเป็นผู้ใหญ่

หวังว่าชาติหน้า หนูและอาจารย์จะกลับมาพบกันอีก และหนูจะอยู่ดูอาจารย์เติบโตบ้าง”

มือของเมิ่งชิงเจ๋อค่อยๆ ปล่อยลง ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ “อาจารย์……อาจารย์คะ……”

อาจารย์จากไปแล้ว เขาค่อยๆ ปล่อยมือลง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่

ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้ไม่ออกเพราะรู้สึกเสียใจอย่างมาก

คุณหมอต่างพากันล้อมรอบเมิ่งชิงเจ๋อและก้มศีรษะแสดงความเคารพ

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฉีเฟยอวิ๋นได้ผล็อยหลับไปที่หลุมฝังศพของเมิ่งชิงเจ๋อ

เธอจึงกลับไปสู่ความเป็นจริง

ในเวลานี้ มีควันอยู่เต็มไปหมด และเสียงโห่ร้องดังก้องอยู่ไกลๆ เพื่อกระตุ้นปลุกเร้าทุกคน

ฉีเฟยอวิ๋นอยู่บนหลังของหนานกงเย่ เธอตื่นขึ้นและขยับตัวเล็กน้อย หนานกงเย่รีบปล่อยตัวเธอลง เขาหันกลับไปเห็นฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ด้วยสีหน้างุนงงและจ้องมาที่หนานกงเย่ จู่ๆ ก็ทำสีหน้าโศกเศร้าและโอบกอดหนานกงเย่ไว้แล้วร้องไห้ออกมา

แม่ทัพหวาและผู้คนบริเวณรอบๆ ต่างพากันมองมาที่หนานกงเย่ รวมไปถึงอู๋กั่วและหวาชิง

ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้หนักมากโดยไม่สนใจผู้คนที่อยู่รอบข้าง

อู๋กั่วคิดว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะตาย เธอไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด สองวันมานี้เป็นแบบนั้นตลอด

อู๋กั่วเห็นปิ่นปักผมที่ฉีเฟยอวิ๋นปัก นางจึงรู้ว่าเป็นฉีเฟยอวิ๋น แต่เรื่องนี้อู๋กั่วไม่ได้บอกใครเลย

หนานกงเย่โอบเอวของฉีเฟยอวิ๋นไว้ด้วยสองแขน เขารู้สึกเป็นกังวลที่เห็นเธอร้องไห้เช่นนี้

และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าไอ้สารเลวซูมู่หรงคนนั้นจะตายไปแล้ว?

ถ้าตายไปแล้วก็คงดีไม่น้อย กลับไปจะจัดงานเลี้ยงฉลองเลย

“เขาจากไปแล้ว!”

ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้อย่างหนัก จู่ๆ ก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา

หนานกงเย่รู้สึกตกใจ เขาตายแล้วจริงหรือ?

ฉีเฟยอวิ๋นกอดหนานกงเย่ไว้แน่นด้วยสองแขน “เขาตายได้อย่างไรหรือ?”

ใบหน้าของหนานกงเย่เคร่งขรึม ร้องไห้เสียใจมากเช่นนี้ เขารู้สึกโกรธมาก

หลังจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ผลักเขาออก หนานกงเย่จึงยิ่งรู้สึกเสียใจ

หนานกงเย่รู้สึกสงสารแต่เขาก็รู้สึกโมโห และเหลือบมองคนที่เข้าใจผิดรอบๆ

“เสี่ยวฮวน เจ้าร้องไห้เช่นนี้ คิดว่าข้าตายไปแล้วหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นตัวแข็งทื่อ ราวกับถูกฟ้าผ่า

คนอื่นที่อยู่รอบๆ ต่างก็ทำตัวไม่ถูก

ท่านอ๋องเย่ชอบผู้ชาย?

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท