องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 627 พลาดเข้าป่า
ในตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นเดินจากไปนั้น หนานกงเย่ได้จัดการสังหารคนไปแล้วกว่าสิบคน แต่เมื่อเขาหันกลับมาและเดินไป ฉีเฟยอวิ๋นก็หยุดชะงักและเดินตามออกไป เจ้าอีกาพายกโขยงเข้ามายังซากศพที่อยู่บนพื้น และกินมันอย่างบ้าคลั่งไม่มีเหลือ
ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้ามอง นางรู้สึกว่ามันโหดเหี้ยมมากเกินไป
ฉีเฟยอวิ๋นเดินอ้อมคราบเลือดบนพื้นเหล่านั้น ไปหาหนานกงเย่ ในพื้นที่ที่เจ้าอีกายังคงบินวนเวียนนั้น คือสถานที่หนานกงเย่ยืนอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาหยุดอยู่บนพื้นที่ที่หนานกงเย่กำลังต่อสู้ นางมองไปทางหนานกงเย่ท่ามกลางความมืดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองเจ้าอีกาที่บินวนเวียนเหล่านั้น
ผู้อื่นล้วนพากลุ่มคนติดตามมา แต่เขากลับพาฝูงอีกาติดตามมา
หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นก็มองไปยังฝั่งตรงข้าม รู้สึกว่าหนานกงเย่นั้นหยุดกะทันหันโดยไม่เคลื่อนไหวใด
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงไปชั่วขณะ กระทั่งสายลมพัดผ่าน กลิ่นคาวเลือดแตะจมูก ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ยื่นมือออกไป : “จุดไฟ!”
คนที่อยู่ด้านข้างจุดตะเกียงในมือในทันที ฉีเฟยอวิ๋นรับตะเกียงนั้นและเดินไปหาหนานกงเย่ ชายหนุ่มผู้โชกไปด้วยเลือดสีแดงฉานท่ามกลางลมพายุ ปลายดาบของชายหนุ่มชี้ไปบนพื้น มือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเลือด คนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเขา ลำคอถูกบิดไปอีกด้าน
สายลมที่พัดผ่านอย่างรุนแรง ทำให้คนที่ถูกบิดศีรษะผู้นั้นล้มตึงไปบนพื้น ส่งเสียงเฮือกสุดท้ายก่อนสิ้นใจ!
ฉีเฟยอวิ๋นถือตะเกียงไฟมายังข้างกายของหนานกงเย่ ดาบของหนานกงเย่ได้เคลื่อนลงมาจี้คอของฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงักลง ไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
กลิ่นคาวเลือดลอยมาแตะจมูกของฉีเฟยอวิ๋น คนที่คอยปกป้องฉีเฟยอวิ๋นอยู่ด้านหลัง พากันคุกเข่าลงหนึ่งข้าง : “ท่านอ๋อง!”
หนานกงเย่หมุนตัวกลับไปกระทั่งเห็นฉีเฟยอวิ๋น นางค่อย ๆ ยกตะเกียงไฟที่อยู่ในมือขึ้น ทำให้ตะเกียงไฟนั้นส่องไปบนใบหน้าของหนานกงเย่ เขาใส่หน้ากาก ใบหน้าของเขาไม่ใช่ใบหน้าของเขา แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเป็นดวงตาของเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีเฟยอวิ๋นเห็นดวงตาที่ว่างเปล่าไร้ความรู้สึกคล้ายกับสัตว์เช่นนี้
ครานี้เขาเอาชนะได้อย่างหวุดหวิด ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ตัวว่าคนที่เข้าใกล้เขาเป็นผู้ใด
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันเอง!”
ฉีเฟยอวิ๋นเจ็บปวดใจอย่างมาก
ตะเกียงในมือร่วงหล่นฉับพลัน ดาบในมือของหนานกงเย่ได้รับการเบี่ยงออกในทันที เขากะพริบตาเล็กน้อย และเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า : “บาดเจ็บหรือไม่?”
หนานกงเย่ยังคงขุ่นเคืองหมองใจ ฉีเฟยอวิ๋นกลับโอบเอวของหนานกงเย่ที่สูงใหญ่ แนบชิดตัวเขา
ผู้ชายคนนี้น่าสงสารยิ่งนัก เพื่อเมืองต้าเหลียง จนต้องเข้าสู่เส้นทางแห่งปีศาจ
แต่เบื้องหลังของเขาใครเล่าจะรู้
ทั้งเมืองต้าเหลียง ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าท่านอ๋องเย่ที่ฆ่าอย่างเด็ดเดี่ยวผู้นี้ คือราชาแห่งขุมนรก
แต่เขาก็ยอมแผดเผาตนเอง เพื่อเมืองต้าเหลียงที่สงบสุข
เขาอยากกวาดล้างทั้งหกเมือง เพื่อราษฎร์หลายร้อยชีวิต เขาหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาต้องตกทุกข์ได้ยากจากสงครามที่แสนวุ่นวาย
เรื่องเหล่านี้ใครเล่าจะรู้
“ให้ข้าดูหน่อยสิ” หนานกงเย่รีบผลักฉีเฟยอวิ๋น
“จุดไฟ” หนานกงเย่ออกคำสั่ง คนที่อยู่ด้านข้างพากันจุดตะเกียง หนานกงเย่จึงมองเห็นใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋น เมื่อเห็นลำคอของนางเต็มไปด้วยคราบเลือด เขาจึงยกมือขึ้นไปเช็ดให้นาง แต่จะเช็ดอย่างไรก็เช็ดไม่หมด นั้นยิ่งทำให้เขาร้อนใจ จึงใช้แขนเสื้อเช็ดอย่างต่อเนื่อง
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าหากเขาไม่มั่นใจ เขาจะไม่มีทางวางใจ ดังนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ขัดขวาง แต่เลือกที่จะมองไปรอบ ๆ ด้าน ซึ่งนั้นก็ทำให้พบคนกว่ายี่สิบคนนอนอยู่บนพื้น อีกทั้งดูไปแล้วพวกเขาก็เป็นยอดฝีมืออีกด้วย
หนานกงเย่เพียงผู้เดียวฆ่าคนท่ามกลางความมืดได้มากมายถึงเพียงนี้ นี่มันปีศาจชัด ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นค้นพบทันใดว่าตนเองนั้นไร้ประโยชน์เกินไป ไม่สามารถช่วยผู้ชายคนนี้ได้เลย ทั้งยังกลายเป็นภาระของผู้ชายคนนี้อีกด้วย
หากนางไม่ใช่เพราะนางหนีไปเมื่อครู่ แต่เลือกที่จะอยู่ช่วย เขาคงไม่ฆ่าคนจนกลายเป็นเสมือนปีศาจเพียงนี้
สุดท้าย นางก็ไร้ความสามารถ
เมื่อนึกได้ว่าหากชิงหวาอยู่ที่นี่ คงไม่มีทางเห็นสภาพนี้ ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ต้องแข็งแกร่งขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่ เขาในตอนนี้เหมือนเด็กน้อย เช็ดลำคอของนางอย่างจริงจัง สายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจทำให้ฉีเฟยอวิ๋นอดเจ็บปวดใจไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นคลี่ยิ้มเล็กน้อย กุมมือของหนานกงเย่ไว้
มือที่แสนจะอบอุ่นของเขา แต่บัดนี้กลับเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง
“ท่านอ๋อง ยังต้องการผู้ช่วยอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“พวกเจ้า ไปตามหาว่ายังมีผู้ใดอีกหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรห้ามให้ใครหนีรอดไปได้โดยเด็ดขาด” หนานกงเย่เป็นกังวลว่าจะมีปลาที่หลุดออกจากแห จึงได้กำชับอย่างหนักแน่น
คนของเขากระจายตัวไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว เพื่อออกตามหาคน
ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กล่าวขึ้นว่า : “ท่านอ๋อง ตอนที่ท่านออกมาไม่รู้เลยหรือว่าพวกเขาจะมีคนมากมายถึงเพียงนี้?”
หนานกงเย่คลี่ยิ้ม กลับมาท่าทางเดิม ราวกับกำลังบอกฉีเฟยอวิ๋น เขาไม่เป็นไร ทุกอย่างล้วนปกติ
“พวกเขารู้มากเกินไป ข้าไม่สามารถไว้ชีวิตพวกเขาได้” หนานกงเย่มองไปรอบ ๆ : “น่าจะเป็นคนจงชินอ๋อง ดูท่าทางคนที่ยุยงให้ทั้งสองเมืองแตกหักกัน คือจงชินอ๋อง คนของเขาได้แทรกซึมเข้าไปในเมืองอู๋โยวแล้ว
จวินโม่ซ่างน่าจะสังเกตเห็นอำนาจนี้ ดังนั้นเขาจึงยอมร่วมมือกับข้า ไม่ยอมให้ผู้ใดเอาเมืองอู๋โยวเป็นหมากเดินเกมภายใต้อำนาจของผู้อื่นด้วย”
“ถึงตอนนี้ ท่านอ๋องยังคงมีไหวพริบปราดเปรื่อง” ฉีเฟยอวิ๋นดึงมือของหนานกงเย่ไว้ ด้วยความเจ็บปวด
หนานกงเย่ยังมีเรื่องต้องจัดการ จึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟากฟ้า เจ้าอีการีบโฉบลงมาบนพื้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็จัดการกินคนที่นอนตายอยู่บนพื้นจนหมดสิ้น
ฉีเฟยอวิ๋นเคยชินแล้ว จึงมั่นใจว่านี่เป็นวิธีการที่รักษาสิ่งแวดล้อมได้ดีและปลอดภัยที่สุด
หนานกงเย่พลิกจากแขกมาเป็นเจ้าภาพ ดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นเดินไปรอบ ๆ ด้าน กลุ่มอีกาเริ่มค้นหาร่างค้น
ไม่นานคนเหล่านั้นก็เดินกลับมา เมื่อเห็นหนานกงเย่ก็รีบรายงานทันที : “หาทั่วแล้ว ไม่มีปลาที่หลุดจากแหไปได้สักคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่เอ่ยขึ้น : “พวกเจ้าตามกลุ่มอีกาไปค้นหา ให้มั่นใจว่าไม่มีผู้ใด และแยกย้ายก่อนฟ้าสว่าง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นานคนเหล่านั้นก็ตามฝูงอีกาไป หนานกงเย่จูงมือของฉีเฟยอวิ๋นออกจากเมือง ไปยังค่ายทางตอนใต้
ในตอนที่ทั้งสองคนออกจากเมืองนั้น ก็พบกับทหารลาดตระเวน เนื้อตัวของฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด ทหารลาดตระเวนค้นพบบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงเริ่มค้นหาพวกเขาทันที
หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋น เดินทางจากเมืองตอนใต้ ทำให้ทหารเฝ้าเมืองสลบไปสองคน เดิมทีพวกเขาจะไปค่ายทางตอนใต้ แต่ทหารในค่ายทางตอนใต้นั้นเข้มงวดมาก หนานกงเย่ก็เต็มไปด้วยเลือด หากเข้าไปคงพาให้คนในค่ายแตกตื่นเป็นแน่ หนานกงเย่อยากพาฉีเฟยอวิ๋นไปหาที่ล้างเนื้อล้างตัวก่อน
ภายในสิบลี้ของค่ายทางตอนใต้ มีป่าเขียวขจีแห่งหนึ่ง ตอนที่ฟ้าสว่างทั้งสองได้เดินทางมาถึงชายแดน
ในป่ามีคนอาศัยอยู่
เมื่อทั้งสองคนเดินทางเข้าไปก็ถูกอาวุโสคนหนึ่งค้นพบเข้า อาวุโสเองก็ตื่นตกใจไม่แพ้กัน
“นี่คือสามีของข้า เราหนีตายมาจากในเมือง ได้โปรดท่านอาวุโสช่วยเราด้วย เราไม่มีที่ไปแล้วจริง ๆ อยากได้ที่ล้างเนื้อล้างตัว”
ฉีเฟยอวิ๋นหยิกเนื้อหนานกงเย่เล็กน้อย หนานกงเย่จึงทำท่าทางเจ็บปวดทันที ยกมือขึ้นมากุมหน้าอก เอนกายพิงร่างกายของฉีเฟยอวิ๋น
ผู้อาวุโสผมขาวโพลนทั้งศีรษะ หลังค่อมเล็กน้อย เวลาเดินก็ต้องโค้งตัว ดูท่าทางน่าจะมีอายุได้เจ็ดสิบถึงแปดสิบปี แถมยังแบกฟืนไฟกองหนึ่งบนหลังอีกด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นแสดงท่าทางจริงใจ ผู้อาวุโสมองไปทางทั้งสองคนครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า : “พวกเจ้ามาเถอะ”
จากนั้นผู้อาวุโสก็หมุนตัวเดินแบกฟืนไม้ไปยังเรือนไม้หลังหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่แวบหนึ่งและเดินตามไป
ภายในเรือนไม้แห่งนี้ยังมีภรรยาวัยชราผู้หนึ่งด้วย เมื่อภรรยาเห็นทั้งสองคนก็พากันตกใจ แต่ไม่นานภรรยาผู้นั้นก็สงบลง รีบเรียกพวกเขาให้เข้าไปข้างในทันที
หนานกงเย่เดินตามไป เข้าไปในเรือนไม้
จากนั้นภรรยาก็เริ่มต้มน้ำ ให้ทั้งสองคนได้ล้างเนื้อล้างตัว