Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 978

ตอนที่ 978

ตอนที่ 978 ฆ่าเขา ไม่จำเป็นต้องรอนานอีกต่อไป
ราชันกำมะลอ ก็คือถูกมองเป็นระดับราชันกำมะลอ

หมายถึงราชันระดับสังสารวัฏที่ไม่เคยสร้างฐานมรรคยามเหยียบย่างระดับราชัน

ฐานมรรคถือได้ว่าเป็นรากเหง้าของมหามรรค คือประตูศักดิ์สิทธิ์ลึกลับ รวบรวมรากฐานมหามรรคของผู้ฝึกปราณ เป็นที่แกนสำคัญแห่งพลังปราณทั่วกาย

หากระดับราชันไม่มีฐานมรรค สุดท้ายก็จะเหมือนแหนลอยน้ำ อาจหายไปพร้อมกับคลื่นได้ทุกเมื่อ หยุดชะงักอยู่เพียงแค่ระดับราชัน ไม่สามารถแสวงหาวิถีอมตะต่อไปได้

มีหรือไม่มีฐานมรรค ก็คือความแตกต่างระหว่างราชันกำมะลอกับราชันที่แท้จริง

เช่นเดียวกับอสูรเฒ่าแรดดำนี้ หากมีฐานมรรค เว้นแต่จะทำลายฐานมรรคในร่างกายของเขาได้ หาไม่เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเขาตายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้!

อสูรเฒ่าแรดดำเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับราชันมาสิบกว่าปี อาจเป็นเพราะข้อจำกัดทางคุณสมบัติ หรือบางทีอาจยังไม่ทันสร้างฐานมรรคเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงถูกฆ่าง่ายดายปานนี้

และเมื่อคิดว่าแค่ฆ่าราชันกำมะลอคนหนึ่งก็ต้องใช้แกนวิญญาณขั้นสูงมากกว่าสามหมื่นก้อน หลินสวินไหนเลยจะไม่ปวดใจ

ฮูม!

หลินสวินเก็บกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชัน บนพื้นปรากฏร่างอสูรแรดดำขนาดเท่าภูเขาเล็กๆ ถูกเผาจนไหม้เกรียม เกล็ดของมันแตกเป็นเสี่ยงๆ บาดแผลเหวอะหวะ

‘ต้องใช้ประโยชน์จากภูเขาเนื้อนี้ให้เต็มที่!’ หลินสวินลอบตัดสินใจเด็ดขาดกับตัวเอง แบกศพของอสูรเฒ่าแรดดำแล้วหมุนตัวจากไปพร้อมกับพวกแม่นางเยวี่ย

“เสี่ยวเหอ คืนนี้เจ้าอยากกินอะไร”

“เนื้อย่าง!”

“คำขอของเจ้าง่ายเกินไป จี่ ทอด ผัด นึ่ง เคี่ยว ตุ๋น ต้ม… หมดนี่เอาอย่างละส่วนไม่ให้ซ้ำกันเป็นอย่างไร”

“นั่น… จะยัดไม่ลงหรือไม่”

“ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยกินๆ!”

ระหว่างทางหลินสวินกำลังคุยกับเสี่ยวเหอ

และเมื่อได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ ผู้แข็งแกร่งที่เดิมอึ้งค้างก็อดไม่ได้ที่จะมีอาการหนังศีรษะชาหนึบ ลิ้นสากปากแห้ง เด็กหนุ่มอำมหิตคนนี้จะกินอสูรเฒ่าแรดดำจริงๆ หรือ

เขาไม่กลัวว่าจะถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แก้แค้นหรือ

นี่คือราชันคนหนึ่งเชียวนะ!

หากกระจายออกไปว่าอสูรเฒ่าแรดดำตกเป็นอาหารถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ ทั่วทั้งแคว้นกู่ชางมีหวังตกสู่สถานการณ์สั่นคลอนครั้งใหญ่เป็นแน่

“ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าเด็กคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร” จนกระทั่งเงาร่างของพวกหลินสวินหายไป ถึงได้มีผู้ฝึกปราณถามด้วยเสียงคลางแคลงใจ

“ข้าไม่รู้ ไม่เคยมีเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ดุร้ายเหมือนอย่างเขาในแดนชัยบูรพาเลยสักคน”

“เริ่มจากกำราบสิงอี่เทียนผู้นำคนรุ่นเยาว์ของเผ่าปีกอสนีอย่างกร้าวแกร่ง จากนั้นใช้กระบวนผนึกราชันกักขังสังหารอสูรเฒ่าแรดดำ ฝีมือเช่นนี้… ไม่ใช่สิ่งที่ผู้กล้าธรรมดาสามารถทำได้จริงๆ”

“ไม่ได้ยินหรือ นางหนูคนนั้นเรียกเจ้าหมอนี่ว่าพี่หลินสวิน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ” มีบางคนสงสัย

“หลินสวินหรือ เดี๋ยวก่อน ข้ารู้แล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเจ้าหมอนี่น่าจะไม่ใช่ผู้กล้าแดนชัยบูรพาของพวกเรา แต่มาจากแดนฐิติประจิม!”

มีคนตะโกนเสียงหลง ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง

“แดนฐิติประจิมหรือ”

“ใช่แล้ว! เทศกาลโคมกถามรรคที่จัดขึ้นที่แดนฐิติประจิมเมื่อไม่นานมานี้ได้รับความสนใจอย่างมาก หลินสวินนี่ก็คือเด็กหนุ่มเทพมารที่ผงาดง้ำในงานเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้!”

“น่าเสียดายที่มีข่าวเกี่ยวกับเขาน้อยเกินไป ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณของพวกเราแดนชัยบูรพา แถมแดนฐิติประจิมก็อยู่ไกลเกินไป ข้าเองก็รู้แค่ว่าเทพมารหลินคนนี้ก่อกวนคลื่นลมในแดนฐิติประจิมจนโกลาหลวุ่นวาย เป็นที่จับตามองมากที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์…”

เหล่าผู้แข็งแกร่งวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อรู้ข่าวเหล่านี้ในใจก็อดสะท้านไม่ได้

เด็กหนุ่มจากแดนฐิติประจิมคนหนึ่ง ยังไม่ทันเข้าสู่แดนชัยบูรพาก็เอาชนะสิงอี่เทียนและสังหารอสูรเฒ่าแรดดำเสียแล้ว นี่มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

ในอนาคตมังกรแกร่งที่ข้ามแม่น้ำมาคนนี้จะสร้างคลื่นลมใหญ่โตเพียงใดในแดนชัยบูรพากัน

และวันนี้เอง ข่าวเกี่ยวกับหลินสวินก็เริ่มแพร่กระจายไปยังแดนชัยบูรพาอย่างต่อเนื่อง…

สองชั่วยามต่อมา

ยานสมบัติแล่นออกจากหาดดาราขจรช้าๆ แล่นไปตามแม่น้ำพรมแดนที่อยู่ไกลๆ

บนยามสมบัติ โค่วซิงตั้งหม้อสีดำใบใหญ่ หน้าเขียวอ้าปากพ่นเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ เปลวไฟคุโชน แผดเผาจนน้ำในหม้อเดือดปุดๆ

จงอางแดงและนักผจญภัยคนอื่นๆ กำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมอาหารและเครื่องปรุงต่างๆ

ชิ้ง!

เสี่ยวเหอถือดาบเล่มหนึ่งผ่าลงบนตัวอสูรแรดดำ แต่กลับตัดออกมาได้แค่สะเก็ดไฟเท่านั้น แม้ว่าเกล็ดของมันจะแตกแล้วแต่ยังคงแข็งแกร่งหาใดเปรียบ มีแสงสีเขียวเข้มเป็นประกายสายแล้วสายเล่า แข็งยิ่งกว่าสมบัติ

ตัวของมันใหญ่มาก สี่กีบดุจเสา ส่วนหัวราวกับห้องห้องหนึ่ง ลำพังแค่หางเดียวก็หนาเท่าขาแล้ว

เสี่ยวเหอเหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกกลัดกลุ้มมาก เดิมทีนางตั้งใจจะเข้าไปช่วย แต่กลับพบว่าด้วยศักยภาพของนางไม่สามารถทำจัดการอาหารชิ้นใหญ่เช่นนี้ได้เลยสักนิด

“ให้ข้าเอง”

หลินสวินเดินไปพร้อมรอยยิ้ม ม้วนแขนเสื้อมือกระชับดาบหัก เริ่มผ่าอสูรเฒ่าแรดดำที่เหยียบย่างในระดับราชันตัวนี้

เนื้ออสูรตัวนี้มีสีขาวใสวาว นุ่มลื่น ทั้งยังไม่มีกลิ่นคาวใดๆ ตรงข้ามกลับส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เปล่งประกายระยิบระยับพาให้ผู้คนน้ำลายสอ

หลินสวินหั่นเนื้อของมันเป็นชิ้นๆ เลาะส่วนกระดูกออก พวกนี้ใช้สำหรับตุ๋นน้ำแกง เครื่องในถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตั้งใจว่าจะผัดทอดปรุงรส

แม้แต่เลือดอสูรก็ไม่ได้ทิ้งเปล่า ถูกหลินสวินหลอมรวม กลั่นออกมาเป็นแก่นโลหิตอสูรสีทองอร่ามบรรจุลงในขวดหยก

ส่วนของจำพวกนอเดี่ยว เขี้ยวฟัน เกล็ด กรงเล็บแหลมคมพวกนี้ ก็ถูกชำแหละทีละชิ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบล้ำค่าสำหรับการหลอมเครื่องมือ และสามารถนำไปขายแลกกับแกนวิญญาณจำนวนมหาศาลได้

หลังจากยุ่งกันมาเกือบทั้งวัน หลินสวินก็เอาเนื้อที่ตากไว้เป็นชิ้นๆ มาปิ้งย่าง ทาเครื่องปรุงรสเป็นครั้งคราว

ไม่นานนักกลิ่นหอมเนื้อลอยคลุ้ง เนื้อสีขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ไขมันหยดลงในกองไฟทำให้เกิดเสียงดังฉ่า

“หอมยิ่ง!” หลินสวินอดกลืนน้ำลายไม่ได้

อย่าว่าแต่เขาเลย พวกแม่นางเยวี่ยก็พากันลอบกลืนน้ำลาย เพราะนี่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ธรรมดา แต่เป็นเนื้อสมบัติที่เหยียบย่างในระดับราชัน มีไม่กี่คนในโลกหล้าที่จะได้ลิ้มรสมัน

นอกจากนี้เนื้อและเลือดเช่นนี้ยังมีแก่นสำคัญแห่งปราณที่ไม่อาจจินตนาการได้ เปรียบได้กับโอสถสมบัติ ไม่เพียงอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกปราณอีกด้วย!

แสงเรืองรองไหลออกมา เนื้อย่างกลายเป็นสีทองมันวาวขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นของเครื่องปรุงรสและเนื้อย่างประสานรวมเข้าด้วยกัน กลิ่นหอมที่แผ่ซ่านออกมานั้นช่างเย้ายวนใจอย่างที่สุด

เสี่ยวเหอน้ำลายไหลออกมาแล้ว นัยน์ตาจับจ้องเป็นประกายแพรวพราว

ในที่สุดการย่างก็เสร็จสิ้น หลินสวินคีบเนื้อบนตะแกรงลงมา

“ให้ข้าก่อนชิ้นหนึ่ง!”

เหนือความคาดหมาย คนแรกที่อดใจไม่ไหวคือแม่นางเยวี่ย สิ่งนี้พาให้หลินสวินอึ้งงัน จากนั้นก็ระบายยิ้ม ส่งเนื้อย่างชิ้นหนึ่งให้อีกฝ่าย

แม่นางเยวี่ยทำหน้ากระมิดกระเมี้ยน แต่ก็ยังรับมา ใช้นิ้วขาวเนียนฉีกเนื้อติดมันสีทองออกแล้วยัดเข้าปากทันที

“อืม… อร่อยเหลือเกิน!” แม่นางเยวี่ยอึ้งค้าง ดวงตาเป็นประกาย เผยให้เห็นแววลุ่มหลง พวงแก้มไหวกระเพื่อม จากนั้นก็เริ่มกลืนคำโต

น้ำลายของพวกเสี่ยวเหอแทบจะไหลเต็มพื้น ดูเหมือนฝูงหมาป่าหิวโหย เบิกตาจับจ้อง ท่าทางเหมือนเริ่มอดใจไม่ไหวแล้ว

หลินสวินแบ่งให้พวกเขาคนละชิ้น

เขาเก็บให้ตัวเองชิ้นหนึ่ง เมื่อเอาเข้าปากคำแรกก็ถึงกับตกใจ สั่นสะท้านไปทั่วร่าง รสชาตินี้… อร่อยยิ่งนัก!

เขาไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว เริ่มสวาปามคำโต กินจนปากมันแผลบ ในปากมีแสงระเรื่อสายแล้วสายเล่า นั่นคือแก่นแท้ที่บรรจุอยู่ในเนื้อย่าง มีประโยชน์มหาศาลต่อการฝึกปราณ

ทันใดนั้นหลินสวินก็รู้สึกได้ว่าพลังขับเคลื่อนทั่วร่างกู่ก้อง ทั้งร่างอาบชโลมอยู่ในรัศมีเจิดจ้า

คนอื่นๆ ก็เป็นเช่นกัน ต่างกินอย่างมีความสุข

นี่คือเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตดุร้ายในระดับราชัน หายากยิ่ง ไม่เพียงแต่รสชาติยอดเยี่ยม แต่ยังมีประโยชน์พอๆ กับโอสถสมบัติต่อการฝึกปราณ

หลังจากกินเนื้อย่างแล้ว พวกเขาก็มุ่งเป้าไปที่น้ำแกงเนื้อและต้มกระดูกที่ตุ๋นในหม้อ จากนั้นก็เริ่มทำอาหารด้วยสารพัดวิธี… หลายแบบหลากรส เนื้อสัมผัสแตกต่าง แต่ทั้งหมดล้วนเยี่ยมยอดสุดบรรยาย

สรุปแล้ว เนื้อมื้อนี้กินกันอย่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก

หลินสวินยังหยิบสุราบ่มที่เขาเก็บไว้ออกมาดื่ม กินเนื้อไปพลางดื่มสุราไปพลาง บนยานสมบัติเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข

พวกเขาข้ามหาดดาราขจรไปแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงแดนชัยบูรพาในอีกฝั่ง

ชั่วขณะนี้พวกเขาต่างผ่อนคลายยิ่ง และตระหนักว่าการแยกจากกันจะมาถึงในไม่ช้า ดังนั้นพวกเขาจึงกินอย่างเต็มที่ ดื่มอย่างเต็มคราบ

กระทั่งพวกโค่วซิงต่างลูบท้องอิ่มแปล้ นอนแผ่หลาเมามายตาเยิ้ม

ใช่ว่าความอยากอาหารมีไม่มาก แต่เป็นพลังที่มีอยู่ในเนื้อแรดดำนี้มีมากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมันได้อีกต่อไป

เมื่อพวกเขามาถึงอีกฝั่งหนึ่ง พวกโค่วซิงก็ต้องจากไป ใช้ชีวิตอยู่ในแดนชัยบูรพา ไม่ได้วางแผนจะกลับไปที่แดนฐิติประจิม พวกเขาเป็นนักผจญภัย เส้นทางฝึกปราณที่เสาะแสวงหาก็แตกต่างจากคนอื่นๆ

……

กลางดึกแม่น้ำพรมแดนหอบม้วนพลิกตลบซ่าๆ เกิดเสียงไม่สิ้นสุด

หลินสวินดื่มเหล้าจนเมา และกินอิ่มแล้ว หัวมึนตื้อเล็กน้อย ด้านข้างเขามีกระดูกสัตว์และไหสุราเปล่าทิ้งเกลื่อนพื้น

เสี่ยวเหอหลับไปบนตักแม่นางเยวี่ย แพขนตาไหวกระเพื่อม เด็กสาวที่อายุสิบสี่สิบห้าปีคนนี้ก็นอนหลับอย่างสงบและพึงพอใจเป็นพิเศษ

“หลังไปถึงแคว้นกู่ชางจะมีคนมารับข้า จากนั้นข้าจะกลับไปที่สำนัก แล้วเจ้าล่ะมีแผนอะไรบ้าง” แม่นางเยวี่ยทัดผมดำขลับไว้ข้างหู ใบหน้าเกลี้ยงเกลาผุดผ่อง เต็มไปด้วยความแวววาวที่นุ่มนวลและศักดิ์สิทธิ์

“ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในแดนชัยบูรพาก่อน จากนั้น… ก็จะไปที่สำนักกระบี่เทียมฟ้า” หลินสวินกล่าวสบายๆ ดวงตาสีดำของเขาทอประกายสงบนิ่ง

“ไปทำอะไร”

“แก้แค้น”

“ใคร”

“อวิ๋นชิ่งไป๋” หลินสวินไม่ได้ปิดบัง อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ต้องรู้เรื่องนี้ในภายหน้าอยู่วันยังค่ำ

“เขา?” แม่นางเยวี่ยตกตะลึง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่อาจสงบจิตใจลงได้

นั่นเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นใหม่ของดินแดนรกร้างโบราณเชียว! เลื่องชื่อลือชา มีกิตติศัพท์ที่ยอดเยี่ยมและคาวเลือดมากเกินไป!

“หากเป็นสหายก็อย่าถามหาเหตุผล” หลินสวินยิ้มกล่าว “ถามไปข้าก็ไม่บอกเจ้าอยู่ดี”

แม่นางเยวี่ยสีหน้าซับซ้อน ใช้เวลานานกว่าจะระงับอารมณ์ได้

นางจ้องหลินสวินพลางถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ได้ ข้าไม่ถาม แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นบุคคลแห่งยุคที่มีโชควาสนาใหญ่ติดตัว เขาก้าวสู่มกุฎมรรคามากว่าสิบปีแล้ว ชื่อเสียงกลบคนรุ่นเดียวกัน ยืนผงาดอยู่เหนือคนรุ่นเยาว์ในแดนชัยบูรพา”

“ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ภายใต้กระบี่ของเขาสังหารราชันกึ่งระดับไปแล้วไม่น้อยกว่าร้อยราย และขอเพียงเป็นคู่ต่อสู้ที่ท้าทายเขา ไม่มีสักคนที่จะรอดชีวิตไปได้”

“ตอนนี้ทุกคนล้วนรู้ว่า ต่ำกว่าระดับราชัน อวิ๋นชิ่งไป๋คือผู้ไร้เทียมทาน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือแนวคิดนี้ฝังรากลึกลงในหัวใจของผู้ฝึกปราณแดนชัยบูรพาทุกคน!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แม่นางเยวี่ยก็หายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “รับปากข้า ถ้าเจ้าต้องการแก้แค้นจริงๆ เจ้าต้องไม่ทำตอนนี้เพราะ…”

“เพราะโอกาสชนะริบหรี่ใช่หรือไม่”

หลินสวินยิ้ม ควงกาสุราอย่างเบิกบานใจ จากนั้นเขาถึงพูดอย่างใจเย็นว่า “ถ้าข้าไม่มั่นใจข้าก็จะไม่ไปหาเขา ข้ารอมานานแล้ว ไม่ถือสาถ้าต้องรอต่อไปอีก”

“แต่ข้ามีลางสังหรณ์หนึ่งว่า จะฆ่าเขา ไม่จำเป็นต้องรอนานอีกต่อไป!”

คำพูดนั้นสงบนิ่ง ชัดถ้อยชัดคำ ประหนึ่งสายฟ้าฟาดอย่างเงียบเชียบ

………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท