บทที่ 90 พบคนลอบติดตาม
หลังเข้ามาในค่ายวาร์ป มาพร้อมกับการเปิดค่ายกล แสงสีฟ้าสว่างขึ้นมา เห็นเงาของหลัวซิวเลือนรางลงเรื่อยๆ เพียงแวบเดียวก็หายไป
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวใช้ค่ายวาร์ป หมุนเคว้งทะลุมิติอะไรทำนองนั้น ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนจนอยากอ้วก
เพียงชั่วอึดใจ สำหรับเขาเหมือนช้าเป็นปี
ในที่สุด หลังภาพตรงหน้ากลับมาปกติ การวาร์ปเสร็จสิ้นลง
“ยินดีต้อนรับสู่เมืองชิงหยุน”
เสียงอันไพเราะดังเข้ามาในหู หลัวซิวพบว่าตัวเองอยู่ในโถงสำนัก ผู้หญิงหน้าตาน่ามอง ยิ้มบางๆ แล้วพูดกับเขา
“นี่ถึงเมืองชิงหยุนแล้วเหรอ”
หลัวซิวมีสีหน้าประหลาดใจ ค่ายวาร์ปสมคำร่ำลือตามคาด นั่งวิหคนิลต้องใช้เวลาสามวันกว่าจะถึง แต่ใช้ค่ายวาร์ป ใช้เวลาเพียงอึดใจก็ถึงแล้ว
“เชิญคุณชายตามฉันมา”
จากการนำทางของพนักงานต้อนรับ หลัวซิวเดินออกจากโถงสำนัก วินาทีที่ผลักประตู มีเสียงโกลาหลดังเข้ามาในหู
โถงองค์กรนักล่ายุทธ์!
เมื่อเห็นภาพอันคุ้นเคยตรงหน้า หลัวซิวอึ้งเล็กน้อย เขายังจำได้ดี ตอนแรกที่มาที่นี่ ยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ แดนการกลั่นร่างขั้น5
นักล่าอสูรในโถงจำนวนไม่น้อย พากันมองมายังเขา แววตาแฝงไปด้วยความอิจฉา อีกทั้งยังมีความเคารพยำเกรงด้วย
เพราะพวกเขารู้ คนที่ออกมาจากโถงสำนักแห่งนี้ ต้องใช้ค่ายวาร์ปมาจากเมืองอื่นอย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นนักล่าอสูรสองดาวของชี่ไห่ระดับที่บรรลุถึง
ในเมืองชิงหยุน จอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับที่บรรลุถึงจำนวนมาก ไม่สามารถผ่านการทดสอบนักล่าอสูรสองดาว เพราะในการทดสอบ ต้องเผชิญกับอสูรสามตัว ล้วนมีพละกำลังทัดเทียมกับชี่ไห่ขั้นห้า
ดังนั้นที่นี่ นักล่าอสูรสองดาว คือยอดฝีมือที่สุดยอดแล้ว
เจียงชานชานก็หันไปมองอย่างสงสัย ตอนเธอเห็นหลัวซิว คิ้วสวยขมวดขึ้น รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้คุ้นตามาก
แน่นอนว่าเธอคงคิดไม่ถึง ไม่กี่เดือนที่แล้ว ยังเพิ่งเป็นเด็กน้อยการกลั่นร่างขั้น3 เท่านั้นตอนนี้เป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับที่บรรลุถึงไปแล้ว
หลัวซิวไม่ได้อยู่ที่องค์กรนักล่ายุทธ์ต่อ หลังเดินออกมา ก็มุ่งหน้าไปที่บ้าน
สีหน้าของเขาเคร่งขรึมเล็กน้อย การรับรู้ถึงชีวิตแผ่ซ่านออกมา ระมัดระวังความเคลื่อนไหวบริเวณรอบๆ พบว่าตั้งแต่เขาออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ มีคนแอบตามเขามาสามคน
จากการเคลื่อนไหวของพลังชีวิตที่แผ่ออกมา หลัวซิวพอยืนยันได้ว่า พละกำลังของสามคนนี้ ไม่เกินวิชาชี่ไห่ขั้น7
เมื่อเจออย่างนี้ ทำให้หลัวซิวหนักใจขึ้นอีก นี่แสดงว่ามีคนจ้องเล่นงานตัวเอง และจงใจส่งปิ่นปักผมหงส์หยกของหลัวซิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นพี่สาว ไปที่นอกสำนักเซียวเหยา เพื่อเรียกความสนใจให้เขามาที่นี่
“ใช่ตาเฒ่าจางหลู่เหลียงอีกแล้วหรือเปล่า”
จากความคิดของหลัวซิว จางหลู่เหลียงน่าสงสัยมากที่สุด เหมือนเงาตามตัว พยายามทุกวิถีทาง เพื่อจะเล่นงานเขา
ระหว่างกำลังคิด จู่ๆ หลัวซิวหมุนตัว เดินเข้าไปในซอยที่ไร้ผู้คน
จอมยุทธ์ชี่ไห่ทั้งสามคนที่สะกดรอยตามเขา ก็ตามเข้าไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน ทว่าตัวของหลัวซิวหายไปจากการมองเห็น
“ไม่ได้การแล้ว!”
จอมยุทธ์ทั้งสามรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว รู้ว่าตัวเองโดนจับได้ และรีบถอยออกจากซอยทันที
แต่ขณะนั้น กระบี่ยุทธ์ถูกดึงออกจากฝัก เกิดเสียงดังชิ้ง แสงกระบี่สีดำเหมือนสายฟ้า ทำลายความเงียบในซอย!
“พรวด!”
เลือดสาดกระเซ็น จอมยุทธ์คนหน้าสุด ชะงักการกระทำ ดวงตาเบิกโพลง
ต่อจากนั้น หัวของเขาหล่นลงบนพื้น กลิ้งออกไปสองเมตร เลือดพุ่งออกมาเหมือนน้ำพุ
เงาของใครบางคนปรากฏตรงปากซอย พร้อมด้วยกระบี่ยุทธ์สีดำในมือ มีเลือดสดหยดลงมาจากคมกระบี่ ทำให้สองจอมยุทธ์ที่เหลือ หน้าเปลี่ยนสี
เมื่อมองไปด้วยสายตาเย็นชา หลัวซิวพบว่าคนที่สะกดรอยตามตัวเองมาทั้งสามคนยังเด็กมาก น่าจะอายุประมาณยี่สิบกว่าปี สองคนมีชี่ไห่ขั้นหก ส่วนอีกคนมีชี่ไห่ขั้นเจ็ด
คนที่โดนกระบี่ของเขาตัดหัว เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่มีชี่ไห่ขั้นหก
“พวกนายเป็นใคร ทำไมต้องสะกดรอยตามฉัน”
หลัวซิวก้าวเข้าไป ถามด้วยน้ำเสียงเฉยชา
จอมยุทธ์ทั้งสองคน เดินถอยหลังไม่หยุด แววตาปะปนไปด้วยความหวาดกลัวและตกใจ เห็นได้ชัดว่าตะลึงกับการฆ่าคนด้วยวิธีโหดเหี้ยมของหลัวซิว
เมื่อเดินมาข้างศพไร้หัว หลัวซิวเห็นป้ายบัญชาการ แขวนอยู่ตรงเอวของศพ เขาใช้กระบี่เงามืดเกี่ยวขึ้นมา เมื่อตั้งใจดู เป็นป้ายแขวนเอวของศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา!
“หนี!”
จอมยุทธ์สองคนตรงข้าม หันหลังวิ่งหนี พวกเขาได้รับคำสั่งให้เฝ้าบริเวณองค์กรนักล่ายุทธ์ เมื่อหลัวซิวปรากฏตัว ให้สะกดรอยตามไปเงียบๆ
เพื่อนที่มีชี่ไห่ขั้นหกเหมือนกัน โดนฆ่าตายด้วยกระบี่เดียว พวกเขารู้ดี ถึงร่วมมือกันสองคน ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว ดังนั้นจึงเลือกที่จะหนี
ขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา แต่ละคนล้วนเป็นผู้มีความสามารถ ที่ถูกเลือกมาจากแต่ละเมืองใหญ่ ในเขตการปกครองหยุนหลง วิชาท่าร่างระดับห้าถูกใช้อย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าพูดด้านความเร็ว วิชาท่าร่างของพวกเขา จะเทียบกับวิชาเงาเศษสิบช่องแดนบรรลุผลของหลัวซิวได้อย่างไร
ทักษะการปล่อยพลังพิเศษของวิชาดาบเร็ว ทำให้ความเร็วของหลัวซิว ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงมือหรือวิชาท่าร่าง ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงพริบตา
ระยะเวลาเพียงชั่วครู่ เขาตามจอมยุทธ์หนุ่ม ที่มีผลการฝึกตนชี่ไห่ขั้นเจ็ดจนทัน
“อ๊าก”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอาฆาตอันเย็นยะเยือก เข้ามาใกล้ด้านหลังเรื่อยๆ จอมยุทธ์คนนี้รู้ว่าคงไม่มีทางหนี ชักดาบยาวตรงเอว ออกจากฝักดาบทันที รวบรวมปราณแท้ หันไปฆ่าหลัวซิว
“พรวด!”
แสงดาบระยิบระยับพาดผ่าน ฟันตัวของหลัวซิวแยกเป็นสองอย่างง่ายดาย
“สำเร็จแล้วเหรอ” ดวงตาจอมยุทธ์หนุ่มฉายแววดีใจ แต่ก็ตกตะลึงอย่างรวดเร็ว “เป็นเศษเงา……”
เสียงตุ้บดังขึ้น เขาล้มลงกับพื้น บาดแผลตรงคอกว้างขึ้นเรื่อยๆ เลือดทะลักออกมาไม่หยุด
เขาเอามือจับคอ แต่กลับไม่มีเสียงอะไรออกมา พลังชีวิตทรุดลงเรื่อยๆ และตายไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน จอมยุทธ์ที่สะกดรอยตามหลัวซิวคนสุดท้าย หนีไปได้สองร้อยกว่าเมตรแล้ว
ท่ามกลางความสามารถด้านต่างๆ หลัวซิวเชี่ยวชาญเรื่องความเร็วที่สุด
นอกจากยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์ขึ้นไป ด้านความเร็ว หลัวซิวมั่นใจว่าไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับที่บรรลุถึง
ดังนั้นจอมยุทธ์หนุ่มที่สะกดรอยตามเขาคนสุดท้าย ในที่สุดก็ไม่สามารถหนีออกจากซอยมืดไร้ผู้คนแห่งนี้
ตัวแนบติดกับกำแพงอันเยือกเย็น แผ่นหลังของจอมยุทธ์หนุ่มคนนี้ ชื้นไปด้วยเหงื่อ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดผวา เพราะกระบี่ยุทธ์สีดำเล่มนี้ ความแหลมคมของปลายกระบี่นั่น อยู่ห่างจากหว่างคิ้วเขาไม่ถึงครึ่งนิ้ว
“เพื่อนสองคนของนาย โดนฉันฆ่าตายไปแล้ว ถ้านายอยากรอด ก็ตอบคำถามฉัน!” เสียงเฉยชาไร้เยื่อใยของหลัวซิวดังขึ้น
จอมยุทธ์หนุ่มพยักหน้าอย่างแรง เพราะความกลัวสุดขีด ทำให้ไม่กล้าพูดอะไร กลัวว่าตัวเองตอบสนองช้าเพียงครึ่งจังหวะ ก็จะโดนคนโหดเหี้ยมคนนี้ฆ่าตาย
“นายชื่ออะไร ใครสั่งให้นายสะกดรอยตามฉัน ตอนนี้สถานการณ์ของคนในครอบครัวฉันเป็นยังไง หัวหน้าที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลังคือใคร……”
หลัวซิวถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ผมเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา ชื่อฮั่วหลิน คนที่ตายไปสองคนนั่น เป็นศิษย์พี่ของผม เป็นศิษย์ของเซินกาวเจี้ยนผู้ดูแลนอกสำนัก……”
ฮั่วหลินไม่กล้าลังเลใดๆ พูดเรื่องที่ตัวเองรู้ออกมาทั้งหมด
########################