ตอนที่ 983 เขาวิญญาณมากเร้น ลัทธิไร้สวรรค์
คำพูดประโยคนี้ของเว่ยเทียนสิงทำให้เกาอวิ๋นคุนสะท้านไปทั้งตัว หมอบลงไปกับพื้น รู้สึกว่าทั้งโลกกำลังทอดทิ้งตน
และเมื่อเห็นภาพเช่นนี้เข้า ทุกคนในโถงใหญ่ต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง รู้สึกไม่สมจริงปานฝันไป
เกาอวิ๋นคุนเป็นถึงบุตรชายของเกาเทียนอี ตอนนี้กลับถูกตำหนิจนคุกเข่าลงกับพื้น ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปใครจะกล้าทำใจเชื่อได้
ไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้ว่า ‘แม่นางเยวี่ย’ ผู้นั้นต้องเป็นบุคคลซึ่งมีที่มายิ่งใหญ่มากจนทำให้เกาเทียนอีต้องพินอบพิเทา!
บรรยากาศในโถงเงียบเชียบ สายตาของเกาเทียนอีมองไปที่แม่นางเยวี่ย แล้วยิ้มอย่างขออภัยว่า “แม่นางเยวี่ย ท่านว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการเช่นไรดี”
แม่นางเยวี่ยกลับมองไปที่หลินสวินแล้วพูดว่า “คุณชายหลิน เจ้าว่าอย่างไร”
ฟึ่บ!
สายตาทุกคู่ในห้องโถงใหญ่ต่างมองไปที่หลินสวิน ตอนนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่า ‘คุณชายหลิน’ ผู้นี้ต่างหากจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
เมื่อคิดถึงท่าทีที่พวกเขาปฏิบัติกับคุณชายหลินคนนี้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นเกาอวิ๋นคุน เว่ยเทียนสิง หรือข้ารับใช้และผู้คุ้มกันเหล่านั้นต่างอยากจะตบหน้าตัวเอง
ถ้าพวกเขารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก จะกล้าปฏิบัติกับนายท่านผู้นี้เช่นนี้ได้อย่างไร
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ให้จบเพียงเท่านี้”
หลินสวินรู้จักวางมือ เขาดูออกแล้วว่าแม่นางเยวี่ยกับเกาเทียนอีผู้นี้คล้ายมีความเกี่ยวข้องกัน จึงไม่ต้องการให้แม่นางเยวี่ยหมางใจกับเกาเทียนอีผู้นั้นโดยสมบูรณ์เพราะเรื่องนี้
ประโยคเดียวทำให้เกาเทียนอีเหมือนยกภูเขาออกจากอก ใบหน้าแสดงความซาบซึ้ง เอ่ยว่า “คุณชายช่างมีเมตตาและคุณธรรมยิ่ง ข้าผู้แซ่เกาเลื่อมใสจริงๆ”
คนอื่นๆ ก็ลอบถอนหายใจโล่งอก พวกเขายังกังวลว่าหลินสวินจะพูดจริงทำจริง ทำลายหอประสานฟ้าของพวกเขาเสียแล้ว!
ส่วนลูกค้าเหล่านั้นต่างทอดถอนใจที่ได้เปิดหูเปิดตา
เพียงแต่ในใจพวกเขากลับสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม่นางเยวี่ยผู้นั้นเป็นอริยเทพจากที่ใดกัน ถึงทำให้คนระดับเกาเทียนอีก็ต้องก้มหัวให้
แล้วคุณชายหลินนั่นเป็นใครอีก
ดูเหมือนทำให้แม่นางเยวี่ยผู้นั้นเคารพยิ่ง นี่ก็ดูน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว หรือจะเป็นบุคคลแห่งยุคที่มาจากสำนักโบราณบางแห่ง
ถ้าแม่นางเยวี่ยรู้ว่าลูกค้าเหล่านี้นึกว่าหลินสวินเป็นบุคคลแห่งยุคที่ว่า เกรงว่าจะทำหน้าไม่ถูก อย่างไรเสียบุคคลแห่งยุคที่ตายด้วยน้ำมือของเทพมารหลินก็มีไม่รู้เท่าไรแล้ว…
…….
หอประสานฟ้า โถงรับรองลูกค้าพิเศษ
เกาเทียนอีจัดงานเลี้ยงที่เรียกได้ว่าหรูหราครั้งหนึ่ง ต้อนรับขับสู้หลินสวิน แม่นางเยวี่ยและเสี่ยวเหออย่างยิ่งใหญ่
เกาเทียนอียิ้มหน้าบาน ในงานเลี้ยงวาจาแพรวพราวดังไข่มุก มองจากภายนอกแล้วดูไม่ออกเลยว่าเขามีร่องรอยหดหู่เจ็บปวดใจ
อย่างไรเสียก่อนหน้านี้หลินสวินก็สังหารราชันกึ่งระดับข้างกายเขาไปคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน แต่ตอนนี้เขากลับเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไร พูดคุยกับพวกหลินสวินอย่างออกรส ความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการควบคุมตัวเองทำให้หลินสวินยังต้องเลื่อมใส
แต่จากจุดนี้ก็ดูออกว่า เมื่อเทียบกับมีราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งตายไป เกาเทียนอีให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์กับแม่นางเยวี่ยมากกว่า!
อย่างน้อยในงานเลี้ยง ยามเผชิญหน้ากับแม่นางเยวี่ย เกาเทียนอีผู้ยิ่งใหญ่ที่เรียกได้ว่ามีอำนาจบดบังฟ้าได้ในเมืองเพลิงมรกตผู้นี้ กลับเหมือนขุนนางกำลังเข้าเฝ้าราชินีองค์หนึ่งก็มิปาน
ความจริงแล้วในใจเกาเทียนอีก็เจ็บปวดถึงที่สุด เพียงแต่ไม่กล้าเผยให้เห็นแม้แต่นิดเดียวก็เท่านั้น
‘ท่านรู้สึกว่าสิ่งที่คุณชายหลินทำในวันนี้ เป็นการอาศัยฐานะของข้าแอบอ้างบารมีหรือไม่’ จู่ๆ ในโสตประสาทก็มีเสียงสื่อจิตของแม่นางเยวี่ยแว่วมา ทำให้เกาเทียนอีอึ้งไป
‘มิกล้า แม่นางท่านอย่าลองหยั่งเชิงข้าผู้แซ่เกาเด็ดขาดเชียว ข้าสาบานได้ว่าจะไม่คิดแค้นคุณชายหลินแม้แต่นิดเดียว!’ เกาเทียนอีรีบร้อนสื่อจิตรับรอง ในใจเขากลับลอบพึมพำว่า ถ้านี่ไม่ใช่การแอบอ้างบารมีผู้อื่นแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีกเล่า
‘ข้าขอพูดตรงๆ ว่าถ้าวันนี้ข้าไม่อยู่ การที่หอประสานฟ้าแห่งนี้ของท่านถูกทำลายสิ้นยังเป็นเรื่องเล็ก ด้วยภูมิหลังในเมืองเพลิงมรกตของตระกูลเกาของพวกท่าน เกรงว่าจะรับไฟโทสะของคุณชายหลินไว้ไม่ไหว ส่วนที่มาที่ไปของเขา ขอท่านอย่าสืบหาจะเป็นการดีที่สุด’ แม่นางเยวี่ยเอ่ยปาก
เกาเทียนอีตื่นตระหนกขึ้นโดยพลัน รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล พูดด้วยสีหน้าเคารพยิ่งว่า ‘ขอบคุณแม่นางที่ชี้แนะ!’
เมื่อมองไปที่หลินสวินอีกครั้ง สายตาของเขาก็แปรเปลี่ยนไปแล้ว
เขารู้ฐานะของแม่นางเยวี่ยดี นางมาจากแดนเร้นอริยะสักแห่ง สถานะสูงส่งจนน่าตกใจ แต่คุณชายหลินผู้นี้กลับทำให้นางให้ความสำคัญได้เช่นนี้ นี่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว!
……
หลังจากงานเลี้ยงจบลง แม่นางเยวี่ยก็ไปหาหลินสวินเพื่อพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
“หากไม่เหนือความคาดหมาย พรุ่งนี้ข้าก็จะจากไป” แม่นางเยวี่ยพูดพลางยิ้ม “ถึงตอนนั้น เกรงว่าข้าจะไม่มีเวลาบอกลาเจ้าแล้ว”
หลินสวินอึ้งไปแล้วเอ่ยว่า “ก่อนไปช่วยบอกชื่อเจ้าให้ข้ารู้ได้หรือไม่”
“เยวี่ยไฉ่เวย”
ริมฝีปากแดงของแม่นางเยวี่ยเปล่งปลั่ง เผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งออกมา “เดาได้ก่อนแล้วว่าเจ้าจะถามแบบนี้ ตอนนี้ก็ไม่ต้องปิดบังเจ้าอีก ข้ามาจากลัทธิไร้สวรรค์ ‘เขาวิญญาณมากเร้น’ ในแดนเร้นอริยะ คราวนี้หลังจากกลับไปที่สำนัก อาจมีเพียงหลังจากสงครามมหายุคอุบัติขึ้นถึงจะออกจากภูเขาอีกครั้ง”
เขาวิญญาณมากเร้น!
ลัทธิไร้สวรรค์!
สำหรับหลินสวินแล้วเป็นสถานที่ที่ไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘ไร้สวรรค์’ ใจเขาก็อดสั่นสะท้านไม่ได้
ต้องเป็นสำนักที่เก่าแก่และแข็งแกร่งเพียงไหนกัน ถึงกล้าใช้ ‘ไร้สวรรค์’ เป็นชื่อสำนัก
“อย่าลืมป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันชิ้นนั้นที่ข้าให้เจ้าไป รอหลังไต่อันดับขึ้นไปบนกระดานทองคำผู้กล้าได้ เจ้าก็ควรคิดเรื่องเข้าสำนักสักแห่งหนึ่งแล้ว”
“อย่างไรเสียในสงครามมหายุคครั้งนี้ ไม่ว่าบุคคลแห่งยุคคนไหนที่ต้องการเหยียบย่างลงบนมกุฎในระดับราชัน ย่อมจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากอำนาจของสำนัก”
“ถ้าพึ่งตัวเองคนเดียวไปแข่งขัน… ก็จะยากเกินไป!”
เยวี่ยไฉ่เวยเตือนอย่างจริงจัง “อีกทั้งศัตรูตัวฉกาจของเจ้าคืออวิ๋นชิ่งไป๋ เขายังมีสำนักกระบี่เทียมฟ้าหนุนหลัง สำนักนี้เป็นถึงสำนักโบราณอันดับหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในแดนชัยบูรพา ถ้าเจ้าอยากฆ่าอวิ๋นชิ่งไป๋ ก็ต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า”
หลินสวินพยักหน้า ปัญหาข้อนี้เขาเคยใคร่ครวญมาหลายครั้งแล้ว
แต่ ณ ตอนนี้ เขายังไม่คิดจะเข้าไปในสำนักไหนสักแห่ง
“นอกจากนี้เจ้ายังต้องป้องกันการแก้แค้นจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไว้ก่อน ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์หยั่งรากที่เมืองอ้าวไหล ที่มาที่ไปก็น่าตื่นตระหนกยิ่ง ถือเป็นสำนักนิรันดร์ที่แท้จริง หากว่ากันด้วยเรื่องภูมิหลัง ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักโบราณไหนในปัจจุบัน”
“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้า ทำให้เจ้าผูกความแค้นกับลัทธินี้ ความจริงนี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย แต่เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ภายหลังข้าจะช่วยเจ้าสะสางภัยคุกคามแฝงนี้อย่างเต็มที่”
เมื่อพูดจบ ดวงตากระจ่างของเยวี่ยไฉ่เวยก็ฉายแววแน่วแน่
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องพวกนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องหมางใจ ขุมอำนาจที่ข้าล่วงเกินไปมีมากมายอยู่แล้ว เพิ่มลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์มาอีกหนึ่งแห่งก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร” หลินสวินยิ้มสดใสพลางพูด
เยวี่ยไฉ่เวยอึ้งไป ทันใดนั้นก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ข้าก็ลืมไป เจ้าเป็นถึงเทพมารหลินที่มีชื่อเลื่องลือไปทั้งแดนฐิติประจิม”
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ชายชราผู้หนึ่งกับชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวที่หน้าหอประสานฟ้า
ชายชราผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลน ท่าทางเหนือธรรมดาราวเทพเซียน ผิวพรรณผุดผ่องดังทารก มือถือแส้หางม้า กลิ่นอายราบเรียบ
ชายหนุ่มกลับสง่างามราวมังกรหงส์ บุคลิกองอาจห้าวหาญ มีผมยาวสีเขียวอ่อนทั้งศีรษะ ในดวงตาทั้งสองมีเปลวเพลิงช่วงโชติเกี่ยวกระหวัด น่าหวั่นกลัวหาใดเทียบ
เขายืนตามอารมณ์อยู่ที่นั่น ระหว่างที่ขยับตัวกลับมีรัศมีผงาดกร้าวที่ใต้ฟ้าบนดินข้าคือผู้กล้าแกร่งสายหนึ่ง ดูสะดุดตาถึงที่สุด
ในบริเวณใกล้เคียง ขอเพียงมีสายตาที่มองประเมินมา ทันทีที่มองไปบนร่างของชายหนุ่ม ก็รู้สึกดวงตาเจ็บแปลบขึ้นมาระลอกหนึ่ง เหมือนกันมองเห็นดวงระวีที่แผดเผาเร่าร้อนดวงหนึ่ง รังสีเจิดจรัสกว้างไกล
เกาเทียนอีมาต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นชายชราคนนี้ เจ้าของหลังม่านของหอประสานฟ้า คนใหญ่คนโตที่มีอานุภาพคับฟ้าในเมืองเพลิงมรกตผู้นี้กลับสั่นระริกไปทั้งตัว ใบหน้าเผยให้เห็นความยำเกรงอย่างลึกซึ้ง
เขาคุกเข่าหมอบคำนับ แต่ถูกชายชรายั้งไว้ “ไม่ต้องมากพิธี ข้าเพียงแค่มารับคุณหนู พิธีรีตรองซับซ้อนบางอย่างก็งดเสียเถิด”
เสียงอ่อนโยนและเรียบเฉย แต่ทุกคำประหนึ่งสัทครรลองมหามรรค มีพลังที่แทรกซึมลงไปถึงใจคน ไม่อาจฝ่าฝืนได้ในที
“เชิญผู้อาวุโส”
เกาเทียนอีรีบเชิญชายชราและชายหนุ่มเข้าไปในหอประสานฟ้า
ระหว่างนี้ในใจเขาเต้นโครมคราม คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่มารับแม่นางเยวี่ยคราวนี้ จะเป็นบุคคลเทียมฟ้าที่เรียกได้ว่าเป็นผู้เฒ่าดึกดำบรรพ์ผู้นี้!
ห้องโถงรับรองแขกพิเศษ
เยวี่ยไฉ่เวยรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
หลินสวินก็อยู่ วันนี้ต้องจากกัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องมาส่งสหายผู้นี้
“ท่านลุงคูจิ้งหรือ”
เมื่อเห็นชายชราหนวดเคราเผ้าผมขาวโพลน ท่วงท่าราวเทพเซียนผู้นั้น เยวี่ยไฉ่เวยก็อึ้งไป คล้ายประหลาดใจอยู่บ้าง
“ไฉ่เวย เมื่อวานหลังจากได้ข่าวของเจ้า ข้ากลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอีกก็เลยมาด้วยตัวเอง” ชายชราเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องไฉ่เวย ได้ยินว่าเพื่อชิงหินแหล่งกำเนิดมรรคเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่น เจ้าถึงถูกพวกเดรัจฉานลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นทำให้ต้นกำเนิดปราณเสียหายหรือ”
ชายหนุ่มที่มีผมยาวสีเขียวอ่อนทั้งศีรษะเดินมาข้างหน้า สีหน้าเจือไปด้วยความห่วงใย “เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เจ้าพอไหวแล้วใช่ไหม”
“ศิษย์พี่หยางหรือ ทำไมท่านก็มาด้วยล่ะ” เยวี่ยไฉ่เวยประหลาดใจ
“เมื่อวานได้ยินข่าวว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ข้าก็อยากจะรีบมาอยู่ข้างกายเจ้าทันที ข้า…” ชายหนุ่มไม่ปกปิดความห่วงใยของตนเลยสักนิด จดจ้องเยวี่ยไฉ่เวยด้วยสายตาเปล่งประกาย
เพียงแต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบก็ถูกแม่นางเยวี่ยตัดบท เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ศิษย์พี่หยาง ท่านลุงคูจิ้ง ข้าขอแนะนำให้พวกท่านรู้จัก ผู้นี้คือคุณชายหลินสวิน คราวนี้ที่ข้าสามารถข้ามแม่น้ำพรมแดน สลัดพ้นจากการตามฆ่าของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์มาได้ ก็ได้คุณชายหลินผู้นี้ช่วยเหลือ”
นางพูดพลางหันไปเอ่ยกับหลินสวินว่า “คุณชายหลิน ผู้นี้คือท่านลุงคูจิ้ง ส่วนนี่คือศิษย์พี่หยางเทียนฉี”
“ข้าน้อยหลินสวิน คารวะท่านทั้งสองท่าน” หลินสวินกุมมือทักทาย ในใจรู้ชัดแล้วว่าสองคนนี้ย่อมมาจากลัทธิไร้สวรรค์เขาวิญญาณมากเร้นเช่นเดียวกับเยวี่ยไฉ่เวย
ดวงตาของคูจิ้งลึกล้ำราวห้วงน้ำไพศาล กวาดตามองหลินสวินปราดเดียวก็ทำให้หลินสวินรู้สึกว่าความลับทั้งตัวถูกมองทะลุ
นี่ทำให้เขาจิตใจสั่นสะท้าน รับรู้ได้ว่าชายชราผู้นี้จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตที่เยี่ยมยอดคนหนึ่ง!
ยังดีที่ไม่นานนักคูจิ้งก็ชักสายตากลับไป พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “กลิ่นอายหนักแน่นราวเหวลึก พลังปราณเกรียงไกรราวสมุทร เป็นคนหนุ่มที่ไม่เลวผู้หนึ่ง ภายหลังในสงครามมหายุคจะต้องมีที่ให้เจ้าแน่”
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว” ในใจหลินสวินยิ่งตื่นตระหนก ชายชราผู้นี้คล้ายมองตื้นลึกหนาบางของพลังปราณตนออก!
“ท่านลุงคูจิ้งผ่านเคราะห์ที่เจ็ดในอมตะนพเคราะห์มาแล้ว สามารถเรียกได้ว่าเป็นระดับราชันเจ็ดเคราะห์ ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ย่อมไม่มีผิดพลาด” เยวี่ยไฉ่เวยพูดพลางยิ้มละไม
“หึ!”
กลับเห็นว่าหยางเทียนฉีที่มีผมยาวสีเขียวอ่อนทั้งศีรษะผู้นั้นส่งเสียงหึหยัน สายตาที่มองมายังหลินสวินมีเปลวเพลิงเจิดจ้าเกี่ยวพัน น่ากลัวหาใดเทียบ
“ศิษย์น้องเยวี่ย เจ้าบอกว่าเจ้าหมอนี่ช่วยเจ้าคลี่คลายการตามฆ่าของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์หรือ”
เสียงเย็นชาเจือไปด้วยความแคลงใจ “แต่เท่าที่ข้าดู สหายของเจ้าคนนี้ก็ไม่เท่าไร เขามีความสามารถมากขนาดนั้นจริงหรือ”