บทที่ 185 ความหลงใหลวัฏจักรชีวิต
ตั้งแต่ได้พบกับเหยียนซีโรว่ เขาก็พบว่า เขามีความรู้สึกพิเศษที่ไม่สามารถบรรยายได้ต่อนาง
“เจ้าคงคิดได้แล้วว่าเหตุผลที่เจ้ารู้สึกพิเศษนั้น เป็นเพราะผู้หญิงที่อยู่กับเจ้า คือความหลงใหล” ทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิตพูดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ความหลงใหล? หลงใหลอะไร? ” หลัวซิวรู้สึกสับสน
“ประสบการณ์ของวัฏจักรชีวิต ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถลบเลือน นั่นคือความหลงใหล” ทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิตเอ่ย
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดนั้น เมื่อตายแล้ว ตามวัฏจักรชีวิต ทุกอย่างก็จะกลายเป็นความว่างเปล่า ทุกสิ่งที่เจ้าเคยประสบพบเจอนั้นจะถูกบันทึกไว้ในวัฏจักรชีวิต บันทึกไว้ในวัฏจักรชีวิตหลังความตายไม่มีอะไรสามารถพรากไปได้
และมีความคิดอย่างหนึ่ง ที่แม้แต่วัฏจักรชีวิตก็ไม่สามารถต้านไว้ได้ และไม่สามารถหยุดไว้ได้ แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะว่างเปล่า ความคิดนั้นจะยังคงอยู่ในส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณ
นี่ ก็คือความหลงใหล
ความหลงใหลแตกต่างจากความเพียร สามารถวิ่งผ่านอดีต ปัจจุบัน และข้ามผ่านวัฏจักรชีวิตได้
ความหลงใหลบางอย่างจะค่อยๆ ลดลงและหายไปหลังจากได้สัมผัสวัฏจักรชีวิต แต่ความหลงใหลบางอย่าง แม้จะผ่านวัฏจักรชีวิตแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังคงอยู่
จากการอธิบายของทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิต หลัวซิวจึงได้รู้ ว่าในชาติภพใดชาติภพหนึ่งของตนที่ผ่านมานั้น ต้องมีชาติภพใดที่เขาเคยเกี่ยวข้องกับเหยียนซีโรว่ สิ่งนี้ทิ้งร่องรอยของความหลงใหลอยู่ในส่วนลึกในจิตวิญญาณของเขา แม้จะผ่านวัฏจักรชีวิตแล้วก็ไม่สามารถเลือนหายไปได้
หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ว่าชาติภพที่ผ่านมาของตนนั้น แท้จริงแล้วเคยผ่านสิ่งใดมาก่อน
“สำหรับเรื่องราวในชาติก่อนของเจ้า ความประสงค์ของกฎการเวียนว่ายตายเกิด ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ นอกจากรอให้ผลการฝึกตนของเจ้าบรรลุถึงแดนที่กำหนดแล้ว เจ้าจึงจะมีคุณสมบัติในการสอดส่องวัฏจักรชีวิต” ทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิตเอ่ย
หลังจากนั้นโดยไม่ทันได้ให้หลัวซิวถามสิ่งอื่นเพิ่มเติม จิตสำนึกของเขาก็ออกมาจากลูกแก้วความเป็นตาย และหลับใหลต่อไปในความมืดมิด
ไม่รู้ว่านานเท่าไร ในที่สุดหลัวซิวก็ตื่นขึ้นจากอาการหมดสติ
เมื่อเขาลืมตา ก็พบกับเหยียนซีโรว่ที่นั่งขัดสมาธิรักษาบาดแผลอยู่ข้างกายเขา
เสื้อผ้าสีขาวของนางยังคงเปื้อนเลือด และอาการบาดเจ็บของนางก็ฟื้นจนเป็นปกติแล้ว อีกทั้งการสำนึกก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อหลัวซิวฟื้นขึ้น นางก็สามารถรู้ได้ในทันที
สายตาประสานกัน หลัวซิวคิดไปถึงเรื่องที่ทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิตได้บอกเขา ในใจนั้นไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร
ต้องมีการพบกันระหว่างเขากับเธอในชาติภพก่อน และคงเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องจดจำ มิฉะนั้นคงจะไม่ทิ้งร่องรอยของความหลงใหลอยู่ในส่วนลึกในจิตวิญญาณของเขา แม้จะผ่านวัฏจักรชีวิตแล้วก็ไม่สามารถเลือนหายไปได้
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เหยียนซีโรว่ถามด้วยความเป็นห่วง นางรู้ดีว่าหลัวซิวมีความสามารถพิเศษบางอย่างในการฟื้นฟู แต่อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของเขารุนแรงเกินไป เธอจึงยังกังวลอยู่เล็กน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวจึงสังเกตได้ว่าผลการฝึกตนของเขา กลับบรรลุการฝึกจิตขั้นหนึ่งในขณะที่เขากำลังหมดสติอยู่ และก้าวเข้าสู่แดนปรมาจารย์ฝึกจิตพอดี
เห็นได้ชัดว่า เพราะเขาฝืนใช้การเคลื่อนไหวพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า บาดแผลอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากผลกระทบฟันเฟือง ทำให้เกิดพลังอมตะ
ไม่เพียงแต่สามารถเลื่อนขั้นผลการฝึกตน บาดแผลทั้งหมดก็ยังสามารถฟื้นฟูจนหายเป็นปลิดทิ้ง
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว?” หลัวซิวถามหลังจากดึงสติกลับมาได้
“ตอนนี้เป็นวันที่เจ็ดแล้ว อีกสามชั่วโมง ทุกคนก็จะถูกส่งกลับไปที่เขตการปกครองชิงฮัว” เหยียนซีโรว่ตอบ
หลัวซิวพยักหน้า สังเกตเห็นว่าทั้งสองอยู่ในถ้ำที่มืดมิด และท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว แสงจันทร์ที่เหมือนน้ำค้างแข็งสีเงินโปรยปรายไปทั่วภูเขาและป่าไม้
“ตามสถิติการแข่งขันเอาชีวิตรอดในรอบแรก ในท้ายที่สุด เฉพาะผู้ที่อยู่ใน 500 อันดับแรกเท่านั้นที่จะผ่านได้ มีผู้เข้าแข่งขันกว่าแสนคน ตราบใดที่รวบรวมคะแนนมากกว่าได้300 คะแนน ก็เพียงพอแล้ว
ในใจหลัวซิวครุ่นคิดเล็กน้อย เขาและเหยียนซีโรว่มียันต์หยกเกือบพันอยู่กับตัว อีกสามชั่วโมงที่เหลือนั้นไม่จำเป็นต้องออกไปล่า ก็สามารถผ่านรอบแรกและเข้าสู่รอบที่สองได้แฃ้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลัวซิวใช้เวลาที่เหลือของตน เพื่อทำให้ผลการฝึกตนที่เพิ่งบรรลุนั้นเสถียรขึ้น
พลังอมตะ ถึงแม้จะไม่สามารถบรรลุแดนร่างเนื้อ แต่ทุกครั้งที่เจ็บหนักและไม่ตายนั้น ผลการฝึกตนจะเพิ่มขึ้นทุกครั้ง ร่างเนื้อจะได้รับบัพติศมาแห่งการเปลี่ยนแปลง
หลัวซิวสามารถรับรู้ได้ว่าตนนั้นอยู่ห่างจากร่างยุทธ์ขั้นสูงไม่ไกลแล้ว
แดนร่างเนื้อในเวลานี้ สามารถฝืนเคลื่อนพลังแปรเสวียนเทียนหกเท่าได้ บังคับกระตุ้นพลังยี่สิบสี่เท่า มีอันตรายถึงชีวิต
ถ้าหากสามารถบรรลุถึงแดนร่างยุทธ์ขั้นสูง ก็จะสามารถเคลื่อนพลังแปรเสวียนเทียนหกเท่าได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะฝืนกระตุ้นพลังยี่สิบสี่เท่าหนึ่งหรือสองครั้ง หากอาศัยความสามารถในการฟื้นฟูลายเส้นชีวิตและพลังอมตะ ก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
อย่างไรก็ตาม การกระทำนี้ที่มีความเสี่ยงจำพวกนี้ หลัวซิวคิดว่าต่อไปควรจะทำมันให้น้อยที่สุด ท้ายที่สุด แม้พลังอมตะนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่หลักการสำคัญคือต้องไม่ตาย
อย่างเช่นครั้งนี้ หากไม่มีเหยียนซีโรว่อยู่ข้างกาย เขาสลบอยู่ในป่า สุดท้ายอะไรจะเกิดขึ้น คงยากที่จะคาดเดา
วิถีชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ หนึ่งในนั้นคือ อย่าทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย
ในช่วงสามชั่วโมงที่เหลือ ผู้ที่มีคะแนนเพียงพอในมือแล้ว พวกเขาเลือกที่จะจำศีลและไม่ต่อสู้กับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ อีกต่อไป แต่ผู้เข้าแข่งขันที่มียังไม่ถึง 300 คะแนนก็กำลังมองหาคู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง
เจ็ดวันแห่งการแข่งขันเอาชีวิตรอด วันสุดท้ายเป็นวันที่บ้าคลั่งและวุ่นวายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้น หลัวซิวที่อยู่ระหว่างฝึกตนก็ลืมตาขึ้น รู้สึกได้ถึงความผันผวนเล็กน้อยที่ส่งออกมาจากแหวนเก็บของ
แม้ว่าจะเก็บไว้ในแหวนเก็บของ แต่ก็ไม่รู้ว่ามีพลังอะไรมากระตุ้นยันต์หยกแดง พลังแห่งช่องว่างความผันผวนถูกส่งออกมาและพันรอบไว้ร่างกาย
ทันใดนั้น ความรู้สึกโลกหมุนก็เกิดขึ้น เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลัวซิวก็พบว่าตนนั้นถูกส่งกลับออกมาที่เขตการปกครองชิงฮัวแล้ว
ยังคงเป็นลานจัตุรัสขนาดใหญ่ที่พาทุกคนไปสู่ป่าดึกดำบรรพ์ แต่จำนวนผู้เข้าร่วมการแข่งขันนับแสน ตอนนี้เหลือไม่ถึงสองพันคนแล้ว
สี่ทิศรอบลานจัตุรัส มีฝูงชนจำนวนมากรวมตัวกัน ทุกคนจ้องไปที่ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาวจำนวนมากที่ถูกส่งกลับมา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ความแค้น และความโกรธเคืองนั้นซับซ้อนมาก
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมหมางเผ่าสีดำยืนอยู่ในอากาศ มองดูผู้คนเบื้องล่าง
คนผู้นี้คือหนึ่งในราชวงศ์แห่งประเทศเทียนหวู เขาคือหนานหรงชินหวาง รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันชิงอันดับจากสิบสามเขตการปกครอง
“ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับวีรบุรุษรุ่นเยาว์ทุกท่านที่ผ่านการแข่งขันการเอาชีวิตรอดรอบแรก ห้าร้อยอันดับแรกในหมู่พวกเจ้า จะได้รับสิทธิ์ตรงไปยังรอบที่สองส่วนคนที่เหลือทั้งหมดจะถูกคัดออก!” หนานหรงชินหวางมีสีหน้ายิ้มแย้ม และพูดออกมาช้า ๆ
เสียงของเขาไม่ดัง แต่กลับเข้าหูคนหลายแสนคนได้อย่างชัดเจน
########################