ตอนที่ 990 โชคชะตากลั่นแกล้ง
กลับเห็นหลินสวินถอนหายใจพูด “ดูเหมือนจะต้องแพ้จริงๆ แล้ว แต่อาตมาไม่จำยอม ให้อาตมาชื่นชมสักหน่อยว่าศิลาอุกกาบาตที่สหายยุทธ์เลือก สุดท้ายจะผ่าสมบัติที่ตะลึงโลกเพียงใดออกมา”
“ฮ่าๆ เช่นนี้แหละที่เรียกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” หนุ่มสาวเหล่านั้นหัวเราะเยาะ
“ข้าบอกแล้วว่าครั้งนี้จะต้องทำให้เจ้าพ่ายแพ้อย่างราบคาบแน่นอน!” หนานกงสุ่ยเผยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ดูหยิ่งผยองอย่างมาก
ไม่นานคนผ่าหินเจี่ยเจิ้งก็เริ่มลงมือ บรรยากาศในลานก็เงียบลงตาม ทุกสายตาต่างจับจ้องอย่างใกล้ชิด
พวกเขาเองก็สงสัยว่าในศิลาอุกกาบาตที่หนานกงสุ่ยเลือก จะสามารถผ่าสมบัติระดับใดออกมาได้
รวมทั้งหลินสวินเองก็กำลังจดจ้องศิลาอุกกาบาตก้อนนี้เช่นกัน
เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า สายตาที่หลินสวินมองศิลาอุกกาบาตชิ้นนั้นแฝงแววประหลาดที่ยากจะมองเห็น
เศษดินปลิวว่อน เจี่ยเจิ้งดูจริงจังและรอบคอบอย่างมาก การกระทำก็ระมัดระวังถึงขีดสุด เพราะเขาเองก็ดูออกว่าศิลาอุกกาบาตก้อนนี้ไม่ธรรมดา
ตุบ! ตุบ!
ศิลาอุกกาบาตยังไม่ถูกผ่าออกโดยสมบูรณ์ เสียงที่ดังขึ้นอย่างมีจังหวะและแปลกประหลาดก็ดังออกมา
ราวกับเสียงหัวใจที่เต้นอย่างทรงพลัง ตอนแรกยังไม่ได้ยิน แต่เสียงค่อยๆ ดังขึ้นราวกับตีกลอง
เสียงที่ดังขึ้นถี่ๆ นั่นหมายถึงพลังชีวิตที่เปี่ยมล้น ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนสูดหายใจด้วยความตกใจ ดวงตาทอประกาย
หรือในหินนี้หล่อเลี้ยงวิญญาณสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ตัวหนึ่ง?
หลายคนถึงกับพูดไม่ออก ในอดีตกาลก็เคยมีคนผ่าสิ่งมีชีวิตพิเศษออกจากศิลาอุกกาบาต
อย่างเมื่อสองพันกว่าปี ภิกษุคนหนึ่งที่มาจากส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก เคยผ่าได้ ‘ปลามังกรเพลิง’ ตัวหนึ่ง นี่เป็นถึงสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่ถูกอริยบุคคลบรรพกาลมองว่าเป็น ‘ปลาเทพ’ มีมงคลแต่กำเนิด
หรืออย่างเมื่อแปดพันปีก่อน ชายหนุ่มยากจนนามว่าเย่จือชิวผ่าเจอ ‘วิญญาณกระบี่’ โดยบังเอิญ แปรสภาพเป็นเด็กสาวแรกแย้มควบคุมวิถีกระบี่ไร้เทียมทาน ทำให้ชายหนุ่มคนนี้คุกเข่าคารวะ นับถือวิญญาณกระบี่เป็นอาจารย์
จวบจนถึงตอนนี้ เย่จือชิวคนนี้เป็นอริยะวิถีกระบี่ที่ชื่อเสียงสะเทือนดินแดนรกร้างโบราณมานานแล้ว ควบคุมดูแลศาลากระบี่ดั่งใจแห่งยอดเขาหิมะ ถูกทั่วโลกยกย่องให้เป็น ‘อริยะกระบี่ดั่งใจ’!
ข่าวลือเช่นนี้ไม่น้อยเลย
และตอนนี้ในศิลาอุกกาบาตที่หนานกงสุ่ยเลือก ปรากฏเสียงเป็นจังหวะชีวิตที่น่าตกใจ นี่ย่อมทำให้ผู้คนตกตะลึง
แม้จะเป็นหนานกงสุ่ย ตอนนี้ยังสายตาร้อนระอุ ในใจสั่นสะท้าน ก่อนหน้านี้เขาสามารถประเมินออกมาได้ว่าหินนี่ไม่ธรรมดา กลับคิดไม่ถึงว่าจะวิเศษถึงขนาดนี้!
ผู้ฝึกปราณที่มุงกันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ต่างกลั้นหายใจจ้องเขม็ง สายตาล้วนจับจ้องที่ศิลาอุกกาบาตก้อนนั้นโดยพร้อมเพรียง ในใจคาดหวัง
ผู้ฝึกปราณหลายคนอดตื่นเต้นไม่ได้
คนผ่าหินรู้สึกถึงความกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การกระทำของเขายิ่งระมัดระวัง กลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำร้ายสิ่งที่ชีวิตที่ซ่อนอยู่ในหินนี้
มีเพียงหลินสวินที่นิ่งมาก เขารู้ผลลัพธ์ตั้งนานแล้ว
แกรก!
พอศิลาอุกกาบาตถูกผ่าออกมาอย่างสมบูรณ์ จู่ๆ แสงศักดิ์สิทธิ์สีดำแถบหนึ่งก็สาดส่องออกมา ทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ ว่างเปล่าราวกับรัตติกาลนิรันดร์
“สวรรค์!”
“มีวิญญาณสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ถูกเลี้ยงอยู่ภายในจริงๆ ด้วย”
“เป็นดักแด้ตัวหนึ่ง!”
บรรยากาศที่เงียบสงัดถูกทำลาย ทั้งลานเดือดคลั่งขึ้นมา เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น
ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างเห็นว่า ภายในศิลาอุกกาบาตที่ผ่าออกมานั่นมีแสงสีดำไหลเวียน ไอมรรคแพร่กระจาย ดักแด้สีดำขนาดราวนิ้วโป้งตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างในเงียบๆ
เสียงจังหวะชีวิตที่พลุ่งพล่านราวกับตีกลองนั่น ถูกปลดปล่อยออกมาจากภายในดักแด้ตัวนี้
ทุกคนต่างมีความรู้สึกงุนงงเลื่อนลอยอย่างหนึ่ง ราวกับสิ่งมีชีวิตวิญญาณในดักแด้นั่นเป็นราชันที่มาจากส่วนลึกของหุบเหวมาร มีพลังที่น่าหวาดหวั่น
หนานกงสุ่ยดีใจยกใหญ่ แทบจะกรีดร้องออกมา
ครั้งนี้เดิมทีเขาคิดจะเชือดหลินสวินอย่างแรงดาบหนึ่ง ชนะเอาโอสถราชันต้นนั้นมาครอบครอง คิดไม่ถึงว่าภายใต้ความบังเอิญ กลับผ่าได้ดักแด้มีชีวิตที่มหัศจรรย์ตัวหนึ่ง!
ผลเก็บเกี่ยวนี้เรียกได้ว่าพลิกฟ้า
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เองก็สีหน้าซับซ้อน ในใจอิจฉาอย่างที่สุด หากพูดถึงราคา ดักแด้นี่ต้องไม่สามารถประเมินค่าได้อย่างแน่นอน ทองก็ไม่สามารถแลกได้!
ครานี้หนานกงสุ่ยกำไรมหาศาลเลย!
ในเวลาเดียวกันสายตาที่พวกเขามองหลินสวินกลับแฝงความเวทนา ภิกษุนี่โชคร้ายเกินไปแล้ว…
“ภิกษุ ตอนนี้เจ้าตายใจหรือยัง ข้า…” หนานกงสุ่ยตื่นเต้น แม้แต่เสียงยังเปลี่ยนไป แฝงความกระตือรือร้น ท่าทางภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม
เพียงแต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสียงก็หยุดไปอย่างกะทันหัน สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
พลันเห็นว่าบนดักแด้สีดำนั่น แสงประกายสีดำแตกซ่านกะทันหัน ไอมรรคจางไป เสียงจังหวะชีวิตอันแรงกล้าราวกับเสียงกลองในตอนแรกก็ชะลอตามไปด้วย
ทันใดนั้นหนานกงสุ่ยเหมือนถูกฟ้าผ่า ทั้งร่างราวกับสูญเสียวิญญาณ เขาพุ่งเข้ามาแทบจะคลั่ง ประคองดักแด้สีดำนั่นออกมาด้วยสองมือที่สั่นระริก พินิจอย่างละเอียด
กลับพบว่าดักแด้กลายเป็นหินอันแข็งทื่อ เย็นเยียบ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีคลื่นแห่งชีวิตอีกเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
ราวกับว่ามันได้สูญเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณที่เย็นเยียบ!
“นี่…” ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เองก็สังเกตเห็นฉากนี้ ต่างตกตะลึง เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ทำให้ไม่ทันตั้งตัว
ตอนแรกควรเป็นวาสนาครั้งใหญ่ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนอิจฉา ไม่คิดว่าเพียงพริบตากลับเกิดการพลิกผันเช่นนี้
สิ่งมีชีวิตอัศจรรย์ที่ตายไปแล้ว ก็จะเท่ากับไร้ค่า!
ทั้งลานเงียบกริบ ตะลึงกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้
มีเพียงหลินสวินที่ถอนหายใจยาว “เฮ้อ ดักแด้นี้ยังไม่ถึงเวลาแปรสภาพ ไม่ควรปรากฏตัวบนโลกตอนนี้ ใครจะคิดว่าโชคชะตากลับกลั่นแกล้งคน ทำให้ดักแด้สิ้นชีพตั้งแต่ในครรภ์ ช่างน่าปวดใจ”
คำพูดนี้ดังชัดเจนมากท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสนิท แต่สำหรับหนานกงสุ่ย คำพูดนี้ไม่เพียงแค่ชัดเจน แต่ยังบาดหู!
ชั่วช้า!
ยิ่งพอเห็นท่าทางรำพึงฟ้าเวทนาคนของหลินสวิน หนานกงสุ่ยพลันสั่นไปทั้งตัว อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด
น่าชังเกินไปแล้ว เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
หนานกงสุ่ยคลั่งขึ้นมาแล้ว ควันออกเจ็ดทวาร หัวใจหลั่งเลือด มีอะไรที่น่าปวดใจกว่าการได้รับวาสนาครั้งใหญ่ แต่อยู่ดีๆ กลับหายแวบไปกับตาอีกหรือไม่
ไม่มี!
หนานกงสุ่ยรู้สึกว่าสวรรค์เหมือนกำลังกลั่นแกล้งตนชัดๆ
“สหายยุทธ์หนานกง ตานี้ตอนแรกพวกเจ้าชนะแน่แล้ว แต่ตอนนี้… เฮ้อ อาตมากลับชนะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ศุภโชคกลั่นแกล้งกันจริงๆ โดยแท้”
หลินสวินถอนหายใจ
สีหน้าของทุกคนแปลกประหลาดขึ้นมา จริงอย่างว่า ดักแด้ที่ตายไปแล้ว หากพูดถึงราคา ย่อมสู้หญ้ากาวิญญาณต้นหนึ่งไม่ได้
คำนวณเช่นนี้ การพนันครั้งใหญ่นี้พวกหนานกงสุ่ยแพ้แล้วจริงๆ
ไม่เพียงแค่เสียวาสนาครั้งใหญ่ ยังต้องเสียแกนวิญญาณขั้นสูงอีกคนละสี่หมื่นก้อน ผลกระทบนี้หนักหน่วงเกินไปแล้ว!
พรวด!
ตอนนี้หนานกงสุ่ยโกรธจนสั่นไปทั้งตัวแล้ว เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน เขายิ่งคิดยิ่งแค้น โกรธจนกระอักเลือดออกมา
หันมองบรรดาหนุ่มสาวที่อยู่ข้างๆ เขา สีหน้าต่างมืดมน ท่าทางคับข้องไม่จำยอม หงุดหงิดและหมดหวัง อัดอั้นจนแทบจะช้ำใจอยู่แล้ว
ความพลิกผันเช่นนี้กระทบจิตใจเกินไป เดิมทีคิดว่าศุภโชคใหญ่อยู่เพียงแค่เอื้อม ใครจะคิดเล่าว่าในช่วงเวลาสุดท้ายทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป
“สหายยุทธ์หนานกง โปรดรักษาสุขภาพ อาตมาว่านี่เป็นชะตาฟ้าลิขิต ทุกท่านอย่าได้คิดมากเกินไป เพียงแค่แกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นก้อนเท่านั้น ทุกท่านล้วนเป็นคนมีหน้ามีตา เชื่อว่าต้องจ่ายไหวแน่”
หลินสวินสีหน้าจริงจัง
ในใจทุกคนกลับลอบก่นด่าว่าภิกษุรูปนี้ไร้ยางอายเกินไป ได้กำไรไปมหาศาลยังจะพูดแดกดันเช่นนี้ นี่จะยั่วจนพวกหนานกงสุ่ยโกรธตายเลยหรือ
พลันเห็นหนานกงสุ่ยเหมือนรับแรงจู่โจมไม่ไหว กัดฟันกรอด สายตาที่มองหลินสวินราวกับดาบเยียบเย็น ท่าทางเหมือนอยากฆ่าคน
แต่สุดท้ายเขาก็ทนไว้ ที่นี่คืองานประเมินหิน หลายสายตาจับจ้อง มีผู้ฝึกปราณมากมาย หากเขาแสดงท่าทีว่าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เช่นนั้นต่อไปก็อย่าคิดว่าจะมีที่ยืนในแคว้นกู่ชางอีก
ฟึ่บ!
เขาโยนดักแด้เย็นเยียบตัวนั้นออกไปอย่างแรงราวกับเป็นการระบายอารมณ์ จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ พูด “ภิกษุ เจ้าอย่าได้ใจไป แค่แกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นก้อนมิใช่หรือ ข้าหนานกงสุ่ยยังไม่ถึงขั้นรับความพ่ายแพ้ไม่ได้!”
พูดแล้วเขาก็โยนถุงเก็บของออกมา แล้วหมุนตัวเดินออกไป
ขืนยังไม่ไปกลัวว่าเขาจะควบคุมความเดือดดาลในใจไม่ไหว ลงมือฆ่าคน!
“พุทธะท่านว่า ทิ้งแกนวิญญาณไว้ กลับใจคือฟากฝั่ง สหายยุทธ์หนานกงถือได้ปล่อยวางได้ ช่างสมกับที่เป็นแบบอย่างของคนรุ่นเยาว์เยี่ยงเราๆ แกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นก้อนนี้อาตมาขอรับไปด้วยความยินดี” หลินสวินยิ้มพูด
พลันเห็นหนานกงสุ่ยที่อยู่ในระยะไกลเซเกือบจะล้ม เห็นได้ชัดว่าโกรธจนแทบคลั่งแล้ว
ในใจทุกคนต่างลอบก่นด่าว่าภิกษุรูปนี้ไม่ใช่คนดีอะไร พุทธะท่านเคยพูดคำพูดน่าชังอย่างวางแกนวิญญาณเมื่อไหร่กัน
“ทุกท่านล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตา เหตุใดยังไม่จ่ายแกนวิญญาณก็คิดจะไปแล้ว นี่เป็นงานประเมินหินนะ หากหนีไปเช่นนี้จะดูขายหน้าหรือเปล่า”
จู่ๆ หลินสวินก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาพบว่าหนุ่มสาวกลุ่มนั้นมีท่าทีว่าจะแอบหนี จึงรีบส่งเสียงห้าม
หนุ่มสาวเหล่านั้นอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ทีแรกอยากจะเข้าร่วมกระบวนการเชือดแกะอ้วน แต่คิดไม่ถึงว่า แกะอ้วนตัวนี้กลับโต้กลับในช่วงเวลาสุดท้าย!
ท่ามกลางสายตาของทุกคน พวกเขาไม่มีหน้าเบี้ยวจริงๆ มิฉะนั้นคงวิ่งหนีหรือฆ่าคนปิดปากไปตั้งนานแล้ว
สุดท้ายพวกเขาทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม
หลายคนพกแกนวิญญาณมาไม่พอ จึงจำนองด้วยทรัพย์สินทั้งหมดที่มี
และมีคนที่แม้จะจำนองด้วยทรัพย์สินทั้งหมดที่มีแล้วก็ยังไม่ถึงสี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง เดิมทีคิดว่าในฐานะนักบวช ภิกษุที่อยู่ตรงหน้าไม่มีทางจริงจังขนาดนั้น อย่างไรก็คงปล่อยพวกเขาไป
ใครจะคิดว่าภิกษุนี่กลับเรียกร้องตรงๆ ไม่มีเงินก็ได้ แต่ต้องลงนามในหนังสือหนี้! หากไม่จ่ายภายในสามเดือน ทบดอกทบต้นเป็นเท่าตัว!
นี่ยังใช่ภิกษุที่จิตใจเมตตาอยู่หรือ
เป็นโจรที่กินคนไม่คายกระดูกชัดๆ!
แต่สุดท้ายพวกเขาก็จำต้องลงนามในหนังสือหนี้ที่โหดร้ายและเรียกได้ว่าน่าอับอายเช่นนั้น
กลุ่มผู้ฝึกปราณที่มุงดูอยู่เห็นทุกอย่างในสายตา ต่างอดถอนหายใจด้วยความสลดใจไม่ได้ ภิกษุรูปนี้ไม่มีความรู้ด้านการประเมินหินเลย โชคก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ดันชนะในตอนสุดท้าย เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว!
หรือนี่คือฟ้าลิขิตจริงๆ งั้นหรือ
“เอ๊ะ ดักแด้นั่นไปไหนแล้ว” จู่ๆ ก็มีคนสังเกตเห็นว่าดักแด้สีดำในลานหายไปแล้ว
“ถูกหนานกงสุ่ยทิ้งไปตั้งนานแล้ว ของนั่นสูญเสียคลื่นชีวิต ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ยังจะห่วงทำไมอีก” มีคนยิ้มเยาะ
ในเวลาเดียวกันหลินสวินกระชับฝ่ามือ ดักแด้สีดำนั่นถูกเขาฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ทันสังเกตเก็บไปตั้งนานแล้ว
เพียงแต่ตอนที่เขาเตรียมจะจากไป กลับถูกขวางทางไว้กะทันหัน