Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 988 ราชันมังกรแดงแห่งแปดราชันอสูรมาร

ตอนที่ 988 ราชันมังกรแดงแห่งแปดราชันอสูรมาร

“ผู้ดูแล ผ่าหินได้แล้ว”

เห็นว่าหลินสวินเลือกศิลาอุกกาบาตชิ้นนั้น หนานกงสุ่ยจึงพูดขึ้นราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ

“ได้”

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา ในมือถือดาบไม้สีเขียวเล่มหนึ่ง

นี่คือ ‘ดาบตัดวิญญาณ’ ตีขึ้นด้วยไม้มรกตล้ำค่าชนิดหนึ่ง ตอนที่ผ่าหินจะไม่ทำลายกลิ่นอายของสมบัติที่อยู่ภายใน

ชายวัยกลางคนนามว่าเจี่ยเจิ้ง เป็นผู้เชี่ยวชาญในการผ่าหิน เขาเดินเข้ามาแล้วพินิจศิลาอุกกาบาตนั่นอย่างละเอียดก่อน ค่อยยกดาบขึ้นมาผ่า

แกร๊กๆ

ผิวหินค่อยๆ ถูกผ่าออก เศษหินปลิวกระจาย

ทักษะการผ่าหินของเจี่ยเจิ้งนั้นมีความประณีตและชำนาญ ดุจดั่งเมฆเคลื่อนน้ำไหล คล่องมือเป็นธรรมชาติ มีความงดงามที่ใกล้เคียงกับมรรค

ทุกคนต่างลอบชื่นชมอย่างอดไม่ได้ ดังคำกล่าวที่ว่าทุกคนมีด้านที่ถนัดไม่เหมือนกัน แม้เจี่ยเจิ้งจะเป็นคนผ่าหิน แต่ในด้านนี้เขามีทักษะที่น่าชื่นชมอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่นานศิลาอุกกาบาตที่หนานกงสุ่ยเลือกก็ถูกผ่าออก เผยให้เห็นแร่กระดูกหยกสีชมพูระยิบระยับ ขนาดประมาณกำปั้น แผ่ประกายแสงราวกับภาพในฝัน

แร่กระดูกหยกรุ้งดารา

ในลานฮือฮาขึ้นมาระลอกหนึ่ง หลายคนเผยสีหน้าตกใจ นี่เป็นถึงสมบัติชั้นดี เป็นกระสายยาที่ใช้หลอมลูกกลอนโอสถระดับราชัน ล้ำค่าอย่างยิ่ง

ขนาดประมาณกำปั้นเช่นนี้ก็เทียบเท่าหนึ่งพันกว่าแกนวิญญาณขั้นสูงแล้ว!

“ยินดีกับคุณชาย ผ่าออกมาเป็นแร่กระดูกหยกรุ้งดารา จากคุณลักษณะของสมบัตินี้ ราคาประมาณหนึ่งพันสามร้อยแกนวิญญาณขั้นสูง” คนผ่าหินเจี่ยเจิ้งพูด

“พี่หนานกงสายตาเฉียบคม ทำให้พวกข้าได้เปิดหูเปิดตา!”

“นี่จึงจะเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญ วันนี้หากพี่หนานกงไม่สำแดงความสามารถแต่แรกเริ่ม ใครจะรู้ว่าพี่หนานกงเองก็ชำนาญการประเมินหินถึงเพียงนี้”

หนุ่มสาวเหล่านั้นตื่นเต้นมาก สรรเสริญเยินยอหนานกงสุ่ย

จุดสำคัญคือ ถ้าหลินสวินแพ้ ตามข้อตกลงในการพนัน จะต้องจ่ายพวกเขาคนละหนึ่งพันสามร้อยแกนวิญญาณขั้นสูง!

นี่ต่างหากที่ทำให้พวกเขาดีใจ

นี่แหละที่เรียกว่าเชือดแกะอ้วน ไม่จำเป็นต้องเสียแรงก็ได้ผลประโยชน์กำใหญ่

หนานกงสุ่ยเองก็ย่ามใจมาก แต่กลับพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทุกท่านชมเกินไปแล้ว มีทักษะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง”

“ภิกษุ ตาเจ้าแล้ว!” มีคนทนรอไม่ไหว อยากเห็นหลินสวินขายหน้าแล้ว

ทันใดนั้นสายตามากมายต่างมองไปทางหลินสวิน สีหน้าแฝงความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นอยู่ไม่มากก็น้อย

เพราะต่างดูออกว่าศิลาอุกกาบาตที่หลินสวินเลือก เป็นไปไม่ได้ที่จะผ่าเจอสมบัติชั้นดีอะไร ถึงขั้นที่มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นเปล่าไร้ประโยชน์

หลินสวินกัดฟันพูด “ทุกท่าน ครั้งนี้หากอาตมาชนะ พวกเจ้าห้ามคืนคำเชียว ถอนสัญญาพนันตอนนี้ยังทัน”

คำพูดนี้ฟังอย่างไรก็ล้วนรู้สึกถึงความไม่มั่นใจ

หนุ่มสาวเหล่านั้นยิ่งเบิกบานใจ ต่างรับปากว่าจะไม่คืนคำอย่างแน่นอน

หลินสวินกลับยังไม่เชื่อ พูดกับเหล่าผู้ฝึกปราณที่มุงดู “ทุกท่านก็ช่วยเป็นพยานด้วย หากอาตมาชนะ…”

พูดยังไม่ทันจบก็ถูกตัดบทเสียก่อน “ภิกษุ เหตุใดเจ้าจึงมากความเช่นนี้ นี่เป็นถึงงานประเมินหิน ในงานล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตา หากเจ้าชนะจริงๆ ใครจะเบี้ยวเจ้าได้”

“ก็ดี เริ่มเถอะ” หลินสวินถอนหายใจยาว ท่าทางเหมือนปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม

กลับเห็นคนผ่าหินเจี่ยเจิ้งลังเลครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวเสียงทอดถอนหายใจ “ภิกษุ หินชิ้นนี้ไม่ต้องผ่าหรอก พื้นผิวไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เต็มไปด้วยหลุมโพรง เป็น ‘เศษหินรังผึ้ง’ ชิ้นหนึ่ง ครั้งนี้เจ้าแพ้พนันแล้ว”

ทุกคนหัวเราะ แม้แต่คนผ่าหินยังพูดเช่นนี้ นี่ทำร้ายจิตใจภิกษุเกินไปแล้ว

“ภิกษุ เจ้าพนันหินครั้งแรกย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะผิดพลาด ถือซะว่าใช้เงินซื้อบทเรียน” มีคนเย้ยหยัน

“มาๆๆ ข้าคำนวณให้เจ้าสักหน่อย บวกกับการพนันของพี่หนานกง ฝั่งเรามีทั้งหมดเก้าคน รวมกันแล้วเจ้าต้องจ่ายพวกข้าหนึ่งหมื่นหนึ่งพันเจ็ดร้อยแกนวิญญาณขั้นสูง” ชายหนุ่มคนหนึ่งอดทวงผลการพนันไม่ได้แล้ว

หนานกงสุ่ยโบกมืออย่างใจกว้าง พูดสบายๆ

“ช่างเถอะ ภิกษุเล่นเป็นครั้งแรก อย่าให้คนอื่นคิดว่าพวกเรารังแกเขา เก็บแค่หนึ่งหมื่นแกนวิญญาณขั้นสูงแล้วกัน”

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้หลายคนสูดหายใจด้วยความตกใจ

พนันครั้งหนึ่งก็ต้องจ่ายเป็นหมื่นแกนวิญญาณขั้นสูงแล้ว ดาบนี้เชือดเฉือนได้รุนแรงจริงๆ!

แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน ตอนนี้หลินสวินเหมือนรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ไม่ไหว พลันพูดว่า “ข้าไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้ เจ้าไม่ผ่า ข้าผ่าเอง!”

พูดแล้วเขาก็แย่งดาบผ่าหินจากมือเจี่ยเจิ้ง สับลงไปราวกับเป็นการระบายอารมณ์

เพียงแค่การกระทำนี้ ก็ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่าภิกษุนี่โกรธจนคลั่งแล้ว

การผ่าหินเป็นงานที่พิถีพิถันในด้านทักษะอย่างมาก เขาตัดไปเช่นนี้ แม้มีสมบัติอะไรก็คงถูกผ่าจนเสียหายไม่เหลือสภาพแล้ว

แกร๊ก!

ศิลาอุกกาบาตแยกออก ด้านในว่างเปล่า เศษหินที่แตกหักกองอยู่ที่พื้นแทน

ทุกคนเกือบจะหัวเราะออกมา เป็นของไร้ประโยชน์ตามคาด!

“ภิกษุ เจ้ายังไม่ตายใจอีกหรือ” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดยั่วโทสะ

หลินสวินกลับตาเป็นประกาย ตะโกนว่า “อาตมาชนะแล้ว!”

ทุกคนต่างตะลึงโดยพร้อมเพรียง พลันเห็นหลินสวินโน้มตัวลงเก็บลูกปัดหินสีเทาหม่นเม็ดหนึ่งขึ้นมาจากกองเศษหิน ขนาดเพียงไข่นกพิราบเท่านั้น ไม่โดดเด่นเลยสักนิด

นี่คืออะไร

ทุกสายตาต่างมองไป

หลินสวินเริ่มใช้ดาบผ่าหินผ่าลูกปัดหินขนาดเล็กที่ไม่โดดเด่นเม็ดนี้อย่างคล่องแคล่ว

ไม่นานแสงสีม่วงแพรวพราวสะท้อนออกมา งดงามสะดุดตา แสงสีม่วงระยิบระยับชั้นหนึ่งย้อมบนฝ่ามือหลินสวิน ดูบริสุทธิ์และโปร่งแสง

“เดี๋ยวๆ! ภิกษุรูปนี้ได้รับสมบัติจริงๆ หรือนี่”

“ซ่อนหินในหิน ดูจากลักษณะแล้วสมบัตินี้ไม่ธรรมดาเลย!”

ทุกคนฮือฮา ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างอุทานด้วยความตกใจ

แม้แต่คนผ่าหินอย่างเจี่ยเจิ้งยังตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พึมพำว่า “ศิลาอุกกาบาตชิ้นนั้นไม่มีทางปรากฏสมบัติได้ เหตุใด…”

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ผลึกสีม่วงขนาดประมาณเท่าเมล็ดแตงโมผลึกหนึ่งปรากฏขึ้น มันมีขนาดเล็กมาก แต่กลับปลดปล่อยประกายสีม่วงแรงกล้าราวกับกระแสน้ำออกมา ทำให้ทุกคนรู้สึกแสบตา

นี่คืออะไร

หลายคนสงสัย

เพียงแค่ดูจากลักษณะก็รู้ว่าของสิ่งนี้อัศจรรย์มาก ดูสูงค่ากว่าแร่กระดูกหยกรุ้งดาราที่หนานกงสุ่ยผ่าออกมาก่อนหน้านี้ไม่เพียงแค่เท่าเดียว

“นี่… เป็นไปได้อย่างไร หินไร้ประโยชน์ชิ้นหนึ่งยังปรากฏสมบัติได้งั้นหรือ” หนานกงสุ่ยพูดไม่ออก สีหน้าอึมครึมสับสน

“ฮ่าๆ พุทธะท่านสำแดงฤทธิ์ ประทานวาสนาแก่ข้า นี่เป็นการยืมมือข้าช่วยโปรดสัตว์ให้ทุกคนพ้นทุกข์และกลับใจเสีย!” หลินสวินยิ้ม

เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ผนวกกับรอยยิ้มของเขา กลับทำให้รู้สึกเหมือนวอนหาเรื่อง

“นี่แม่งผิดปกติไปแล้วจริงๆ!” สีหน้าของหนุ่มสาวเหล่านั้นก็ยอดเยี่ยมอย่างมาก ปากอ้าตาถลึง ในใจเหมือนมีม้าป่าหมื่นตัวห้อทะยานผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ทุกท่านอย่าคิดมาก เชี่ยวชาญแค่ไหนก็ล้วนมีช่วงที่ผิดพลาด นี่ถือซะว่าใช้เงินซื้อบทเรียน”

หลินสวินสีหน้าเคร่งขรึม แต่คำพูดนี้กลับทำให้พวกหนานกงสุ่ยทำหน้าไม่ถูก เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเขาพูดไว้เมื่อครู่นี้ แต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินสวนกลับมา

“ภิกษุ ยังไม่ทันประเมินราคาของสมบัติชิ้นนี้ออกมาด้วยซ้ำ เจ้าก็คิดว่าตนชนะแล้วหรือ” มีคนไม่จำยอม

ทันใดนั้นพวกหนานกงสุ่ยต่างมีความหวังขึ้นมา จริงด้วย ยังไม่รู้ที่มาของสมบัตินี้ด้วยซ้ำ ราคาก็ยังไม่ได้ประเมิน นี่ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะหรอกนะ!

“ทุกท่าน พวกท่านคงไม่คิดจะบิดพลิ้วกระมัง นักบวชไม่พูดปด ผู้ฝึกปราณที่แยกแยะเป็นล้วนดูออกว่า สมบัติของข้ามีค่ากว่าสมบัติของพวกเจ้ามาก” หลินสวินขมวดคิ้วพูด

“อย่าพูดเหลวไหล ก็แค่เจิดจ้ากว่าหน่อยเดียวเท่านั้น ยังไม่ได้ตัดสินเลยว่ามีค่าเท่าไหร่กันแน่” หนุ่มสาวเหล่านั้นเถียง

“ทุกท่านล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตา หรือว่ารับความพ่ายแพ้ไม่ไหว” หลินสวินถอนหายใจ

ทุกคนแค้นจนกัดฟันกรอด ก่อนหน้านี้ภิกษุนี่ยังวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียอยู่เลย ตอนนี้พอโชคดีขึ้นมากลับอวดดีทันใด น่ารังเกียจจริงๆ

“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตัดสินราคาของสมบัติชิ้นนี้ก่อน” หนานกงสุ่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดเสียงขรึม “หากพวกข้าเป็นฝ่ายแพ้จริงๆ แน่นอนว่าย่อมยอมรับความพ่ายแพ้”

สวบ!

เพิ่งจะสิ้นเสียง จู่ๆ เงาร่างของชายชราคนหนึ่งก็ปรากฏในลาน เขาสวมชุดนักพรตเก่าแก่ ดูเหมือนจะผ่านกาลเวลามาไม่น้อยและซักจนซีดแล้ว

“แกนมรรคยอดม่วง! ใช่จริงๆ ด้วย…” นักพรตเฒ่าผิวออกสีน้ำตาลแดง หนวดเคราเผ้าผมสีเทายุ่งเหยิง ร่างกายผอมแห้ง แต่ท่าทางกระปรี้กระเปร่าอย่างที่สุด

ตอนนี้ดวงตาสีทองอ่อนคู่นั้นของเขาจ้องหินม่วงในมือหลินสวินเขม็ง ราวกับตื่นเต้นอย่างมาก ร่างกายที่ผอมแห้งปลดปล่อยอานุภาพกดดันอันไร้รูป

ทันใดนั้นทุกคนพลันรู้สึกอย่างเลือนรางว่า นักพรตเฒ่าคนนี้ไม่เหมือนเป็นคน แต่เหมือนเป็นสัตว์ใหญ่มหึมาที่เบิกจักรวาล ราวกับเทพปีศาจที่ไม่ข้องเกี่ยวทางโลกมานับหมื่นปี ทำให้ผู้ฝึกปราณบริเวณรอบๆ รู้สึกถึงความกดดันที่หายใจไม่ออก

หลายคนยิ่งทรุดลงกับพื้น

หลินสวินเองก็สูดหายใจหนาวเยือก กลิ่นอายทรงพลังของนักพรตเฒ่าผู้นี้ แข็งแกร่งและน่ากลัวกว่าระดับราชันทุกคนที่เขาเคยเจอ ทำให้เขารู้สึกถึงความกดดันที่ชวนอกสั่นขวัญแขวน

“เสียดายที่เล็กเกินไป ยังไม่พอเลยสักนิด…” จู่ๆ นักพรตเฒ่าก็ถอนหายใจเบาๆ พลานุภาพไร้รูปรอบกายหายไปราวกับกระแสน้ำ กลับคืนสู่สภาวะปกติ

ทุกคนราวกับยกภูเขาออกจากอก เพียงแต่ตอนที่มองนักพรตเฒ่าก็ยังคงใจสั่น นี่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!

“หากผู้อาวุโสชอบก็เอาไปได้เลย” หลินสวินพูด

นักพรตเฒ่าสะบัดแขนเสื้อ ทิ้งถุงเก็บของใบหนึ่งให้หลินสวิน “ข้าเองก็ไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก นี่ห้าพันแกนวิญญาณขั้นสูง สามารถซื้อแกนมรรคยอดม่วงชิ้นเล็กนี้”

จากนั้นเขาก็หยิบหินม่วงจากมือหลินสวินไป เงาร่างพริบไหววูบหนึ่งก็หายจากไปไกลในทันที

ชั่วพริบตานั้นทุกคนราวกับเห็นมังกรตัวหนึ่งทะยานอากาศจากไป ทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือนไปด้วย!

ในส่วนลึกของสวน ผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยต่างตกใจ ล้วนหันไปมอง

ไม่นานฐานะของนักพรตเฒ่าก็ถูกเผยแพร่ออกมา…

ราชันมังกรแดง หนึ่งในแปดราชันอสูรมารแห่งทะเลครามลอยล่อง!

ทะเลครามลอยล่อง ผืนน้ำกว้างใหญ่ที่อันตรายจนผู้คนพูดถึงแล้วหน้าเปลี่ยนสี พื้นที่ภายในถูกเผ่าอสูรมารยึดครอง มีราชันอสูรมารแปดตนคุมอำนาจ

ราชันมังกรแดงก็คือหนึ่งในแปดราชันอสูรมาร ร่างเดิมของเขาคือชือโลหิตตัวหนึ่ง ชื่อเสียงเลื่องลือมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว เป็นอสูรมารเฒ่าน่าสะพรึงที่ก้าวสู่หนทางอมตะ อานุภาพล้นฟ้า!

เพียงแต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ราชันมังกรแดงผู้นี้จะปรากฏตัวในงานประเมินหิน ทั้งยังซื้อแกนมรรคยอดม่วงไปเม็ดหนึ่ง!

หลังจากความตกตะลึงผ่านไป สายตาที่ทุกคนมองหลินสวินต่างซับซ้อนขึ้นมา ภิกษุรูปนี้ช่างโชคดีจริงๆ

เพียงแค่สุ่มเลือกมา ก็ผ่าออกมาเจอแกนมรรคที่ทำให้บุคคลที่น่ากลัวระดับราชันมังกรแดงยังไม่สามารถต้านทานได้ ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด

แต่หลินสวินกลับยิ้มแล้ว มองพวกหนานกงสุ่ยพร้อมพูดว่า “ตอนนี้ตัดสินแพ้ชนะได้หรือยัง”

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท